ผู้กำกับต่งมองชื่อบริษัทในสัญญาที่เขียนไว้ข้างต้น “หวงเจวี๋ยกรุ๊ป” “คิดไม่ถึงเลยว่า ผู้จัดการเฉิงจะละทิ้งซานเซิงกรุ๊ปที่เป็นที่พักพิงของเธอ เพื่อมาร่วมงานกับบริษัทที่เพิ่งเปิดใหม่ในเมืองหลวงอย่างนี้”
หวงเจวี๋ยกรุ๊ป
เบื้องหลังของ บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์แห่งนี้ มีความยิ่งใหญ่และสำคัญยังไง ถึงสามารถจ้างงานเฉิงเฉิงได้ ทั้งที่ตัวเฉิงเฉิงถูกทางแสงดาวกรุ๊ปทำการแบนไปแล้ว
ผู้กำกับต่งเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากเท่ากับทักษะการแสดงของเยี่ยหลานซาน
ดังนั้น หลังจากที่ทั้งสองได้เซ็นสัญญากันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก่อนที่เฉิงเฉิงจะพาเยี่ยหลานซานออกมาด้วยกัน เธอก็พูดกับผู้กำกับต่งว่า “ในเมื่อเยี่ยหลานซานก็ได้ออกไปเป็นนักแสดงอย่างเต็มตัวแล้ว หลังจากนี้เธอก็คงไม่เหมาะกับการเป็นสตั๊นแมนให้กับบทมู่หรงฉิงอีก ดังนั้นรบกวนผู้กำกับต่งหาคนที่เหมาะสมมารับช่วงต่อทีนะคะ”
ผู้กำกับต่งพยักหน้าตอบรับ "นั่นเป็นหน้าที่ผมอยู่แล้วครับ"
เฉิงเฉิงชำเลืองมองตารางงานของเยี่ยหลานซานอยู่แวบนึง “เช้าวันศุกร์หน้า หลานซานจะต้องไปรายงานตัวกับกองละครในฐานะนักแสดงสมทบหญิงนะ”
หลังพูดจบเธอก็พาเยี่ยหลานซานกับเยี่ยเสียวหมิ่นออกเดินทางไปด้วยกัน
มีเพียงผู้กำกับต่งที่ยืนมองพวกเขาจากข้างหลังและถอนหายใจออกมา
หลังจากคิดไปคิดมา เขาก็โทรศัพท์หาเฉียวหย่วนฟานเพื่อรายงานเรื่องนี้ด้วยตนเอง “ประธานเฉียวครับ ทักษะการแสดงของเยี่ยหลานซานเนี่ย สามารถทำให้ภาพยนตร์เรื่องนั้นโดดเด่นขึ้นมาได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย เพียงแต่ผมคิดไม่ถึงว่า ผู้จัดการส่วนตัวของเธอจะเป็น เฉิงเฉิง”
เฉียวหย่วนฟานที่เพิ่งจะทราบเรื่อง และกำลังจะโทรหาผู้กำกับต่งเพื่อบีบให้เขาตอบมาว่าเขาได้ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามไปรึเปล่า!
เมื่อได้ยินเขาสารภาพออกมาด้วยตนเอง และยังชี้แจงข้อสงสัยภายในใจของตัวเองออกมาด้วยแล้วนั้น ทำให้เขารู้สึกจุกอกอยู่เล็กน้อย
ไม่ว่าจะเป็นเฉิงเฉิงหรือว่าเยี่ยหลานซาน เธอสองคนล้วนอยู่เหนือการควบคุมของเขาเองแล้ว เมื่อปล่อยให้พวกเธอได้ออกไปสร้างชื่อเสียงเอง จะต้องมีผลกระทบต่อแสงดาวกรุ๊ปอย่างแน่นอน
แต่มีอีกเรื่องหนึ่งในตอนนี้ที่เขาสงสัย
เขาถามต่อว่า “บริษัทที่ผู้จัดการของเยี่ยหลานซานเข้าไปร่วมงานตอนนี้คือที่ไหน”
“หวงเจวี๋ยกรุ๊ปครับ”
“หวงเจวี๋ยกรุ๊ป? ในเมืองหลวงมีบริษัทชื่อนี้ด้วยเหรอ? ทำไมฉันไม่เคยได้ยินเลย”
ผู้กำกับต่งอธิบายต่อว่า “เป็นบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์หน้าใหม่ครับ”
“เหอะ พวกหน้าใหม่นี่เอง” เฉียวเฟยฝานพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “โอเค ฉันรู้ละ”
ผู้กำกับต่งถามต่อ “งั้นเรื่องที่เยี่ยหลานซานออกไปเป็นนักแสดงเต็มตัวล่ะครับท่าน?”
“ในเมื่อสัญญาก็เซ็นกันไปแล้ว ก็ให้เธอแสดงให้ฉันดูเป็นขวัญตาสักหน่อยสิ”
พูดจบเขาก็วางสายไปทันที
เมื่อได้รู้แล้วว่าบริษัทที่เยี่ยหลานซานเข้าไปร่วมงานด้วยคือที่ไหน เขาก็เร่งสั่งงานเลขาส่วนตัวทันที “สืบหาข้อมูลทุกอย่างของหวงเจวี๋ยกรุ๊ปมาเดี๋ยวนี้! ภายในวันนี้ ฉันต้องรู้ให้ได้ ว่าเบื้องหลังของบริษัทนี้ทั้งหมดมันเป็นยังไง!”
…………
แม้เยี่ยหลานซานจะเชื่อว่า การริเริ่มทำบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ของฉืออวี้เฟิงนั้นไม่ได้เป็นเรื่องเล่น ๆ แต่เมื่อเธอได้เห็นว่าอาคารสำนักงานทั้งหมดเป็นของหวงเจวี๋ยกรุ๊ป เธอก็ตกตะลึงอยู่ไม่น้อย
โอ้!
เห็นโลภ ๆ อย่างนี้ ไม่คิดเลยว่าจะทุ่มทุนสร้างจนใหญ่โต!
โอเค เห็นว่าเขาตั้งใจขนาดนี้ ฉันก็จะไม่เรียกเขาว่า คนโลภก็ได้ หลังจากวันนี้เป็นต้นไปเธอกับกงเส่าถิงจะเรียกเขาว่า เจ้าบ่อจิ๋ว
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วเปิดวีแชทของเจ้าเปาหมูแดงขึ้นมา แล้วส่งสติ๊กเกอร์กดไลค์ใหญ่ ๆ ที่มีข้อความใต้ภาพว่า [เถ้าแก่ช่างยอดเดยี่ยมเสียนี่กะไร!]
วินาทีต่อมา ฉืออวี้เฟิงก็ได้ตอบกลับมาด้วยสติ๊กเกอร์ที่สื่อถึงความภาคภูมิ ที่มีข้อความใต้ภาพว่า [รีบคุกเข่าลงแล้วเรียกพ่อสิลูก!]
เยี่ยหลานซานกลอกตามองบน กำลังจะด่าเขาว่าหน้าไม่อายอยู่แล้วเชียว แต่ก็เห็นเขาเรียกคืนข้อความนั้นไปเสียก่อน
เยี่ยหลานซานตอบกลับไปว่า [ดีที่เธอยังรู้จักเอาตัวรอดนะ!]
ฉืออวี้เฟิงตอบกลับด้วยอีโมจิหน้ายิ้มโต ๆ พร้อมกับข้อความต่อมาว่า [ผมกับน้าเล็กเสร็จธุระแล้ว จะให้เขาบริษัทไปรับน้าสะไภ้กลับบ้านเลยมั้ยครับ?]
เยี่ยหลานซานรีบปฏิเสธอย่างเร็ว [ฉันเป็นแค่พนักงาน เธอเป็นถึงเจ้าหัวหน้า รบกวนเธออย่าลืมว่าตัวเองอยู่ในสถานะไหนด้วย เข้าใจมั้ย! ฉันไม่อยากให้มีคนนินทาลับหลังได้ว่าฉันมีอะไรไม่ชอบมาพากลกับเจ้านาย! อีกอย่าง หลังจากนี้ถ้าเราต้องเจอกันที่บริษัท เรารักษาระยะห่างกันไว้ด้วยก็ดีนะ!]
ฉืออวี้เฟิงส่งสติ๊กเกอร์กลอกตามองบนกลับมา และไม่พูดอะไรต่อ
เขากับเยี่ยหลานซานซุบซิบอะไรกัน?
บ้าจริง! แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว! อย่างไรเสียเขาก็ยังหนุ่มยังแน่น ยังมีอนาคตที่สดใสกว่านี้ได้อีก ไม่งั้นคงจะถูกน้าเล็กของเขาจับหักขาแน่…
“ฮู้วว”
เยี่ยหลานซานถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หลังจากที่เธอเตือนฉืออวี้เฟิงไว้ได้ทัน
เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเยี่ยเสียวหมิ่นจ้องมองด้วยความสงสัย แล้วก็พูดลอย ๆ ขึ้นมา “พระเจ้า! บะ บริษัทนี่ใหญ่เกินไปแล้วนะ!”
อาคารสำนักงานทั้งหลัง!
นับตั้งแต่ที่เฉิงเฉิงลาออกจากซานเซิงกรุ๊ปมาเข้าร่วมกับหวงเจวี๋ยกรุ๊ป เธอก็เข้าใจกฎเกณฑ์การทำงานของหวงเจวี๋ยกรุ๊ปได้อย่างลึกซึ้งดีแล้ว
เธออธิบายว่า “แม้ว่าหวงเจวี๋ยกรุ๊ปจะเป็นบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ที่สร้างขึ้นใหม่ แต่ห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ นอกจากได้ก่อสร้างสำนักงานแห่งนี้ขึ้นมาแล้วนั้น ตอนนี้ก็กำลังสร้างเว็บไซต์ของบริษัทอยู่ด้วย สตูดิโอถ่ายละครก็อยู่ในช่วงของการเตรียมความพร้อมอยู่ แต่ในวันข้างหน้า บริษัทหวงเจวี๋ยของเราจะกลายเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมภาพยนต์และการละครอย่างแน่นอน!
“ยอดไปเลยค่ะ”
ดวงตาของเยี่ยเสียวหมิ่นเปล่งประกายเจิดจ้า และความกังวลก่อนหน้านี้ของเธอก็ค่อย ๆ ถูกครอบงำด้วยความยิ่งใหญ่โอ่อ่าของบริษัทแห่งนี้ “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องกลายเป็นแสงดาวกรุ๊ปเวอร์ชั่น 2 รึเปล่าคะ”
เฉิงเฉิงหรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเธอเองกำลังคิดอะไรอยู่ สายตาของเธอถึงได้ดูลึกล้ำเหมือนแฝงอะไรบางอย่าง “ไม่มีทาง หวงเจวี๋ยกรุ๊ปจะต้องอยู่เหนือแสงดาวกรุ๊ปได้อย่างแน่นอน!” มีเพียงที่นี่เท่านั้น ที่จะทำให้เธอสามารถสู้รบปรบมือกับแสงดาวกรุ๊ปได้!
เมื่อเยี่ยเสียวหมิ่นสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่แปลกไปของเฉิงเฉิง เธอก็ไม่กล้าจะพูดอะไรมากไปกว่านี้อีก และเอนตัวไปหลบอยู่หลังเยี่ยหลานซานอย่างเงียบ ๆ
เมื่อลิฟต์หยุดถึงชั้นเป้าหมาย เฉิงเฉิงก็สั่งให้ผู้ช่วยพาเยี่ยเสียวหมิ่นไปประเมินสัญญา ส่วนตัวเธอจะพาตัวเยี่ยหลานซานไปยังห้องทำงานของเธอเอง
ห้องทำงานของเฉิงเฉิงนั้น มีสไตล์ที่ไม่ต่างจากตัวเจ้าของเลย มันถูกตกแต่งด้วยสีขาวดำ ทำให้บรรยากาศภายในห้องแลดูเรียบง่าย
เมื่อเยี่ยหลานซานเดินตามเธอเข้าไปในห้อง ก็ยืนรอเธออยู่ที่หน้าโต๊ะทำงาน
เฉิงเฉิงมองรูปร่างหน้าตาภายนอกของเยี่ยหลานซานอยู่เป็นเวลานานพอสมควร และเธอก็ไปนั่งอมยิ้มอยู่บนเก้าอี้ทำงาน ก่อนจะพูดออกมาว่า “เอาจริง ๆ นะ ที่ฉันต้องออกจากซานเซิงกรุ๊ปเพื่อมาเข้าร่วมกับหวงเจวี๋ยกรุ๊ปเนี่ย ความจริงแล้วมันไม่ได้ตัดสินใจง่ายอย่างที่คิดเลย เพราะฉันไม่รู้จริง ๆ ว่า สตั๊นแมนสาวคนนั้นเป็นอย่างไร คุ้มค่ากับการที่ฉันจะทุ่มเทหัวใจและจิตวิญญาณให้กับเธอคนนั้นรึเปล่า”
เยี่ยหลานซานยังคงรักษาท่าทางไว้ให้อ่อนน้อมถ่อมตนและยิ้มออกมา ก่อนจะถามว่า “แล้วตอนนี้พี่เฉิงคิดว่าอย่างไรคะ?”
“ฉันมั่นใจ ว่าฉันเลือกไม่ผิด”
เฉิงเฉิงพูดพลางจ้องมองไปที่หลานซาน
เธอมีใบหน้าที่งดงามจริง ๆ เป็นใบหน้าที่สวยแบบธรรมชาติโดยที่ไม่ต้องแต่งเติมอะไรอีก ท่ามกลางผู้คนในวงการที่มักจะแต่งเติมศัลยกรรมกันแทบทุกคน ความงดงามเป็นธรรมชาติแบบนี้ ทำให้สะดุดตาต่อผู้พบเห็นได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ยังได้รับการยกย่องจากผู้กำกับต่งมาอีกด้วย แสดงว่าทักษะการแสดงของเธอคนนี้ไม่ธรรมดา
บวกกับเฉิงเฉิงรู้สึกถึงความไม่เย่อหยิ่งและนอบน้อมของเธอ อีกทั้งยังไม่มีความเจ้ากี้เจ้าการเหมือนคนอื่น ๆ เธอผู้นี้เหมือนเป็นสุภาพสตรีชนชั้นสูงจริง ๆ คนที่สุภาพและมีการศึกษาเช่นนี้ รู้จักที่จะยับยั้งชั่งใจจนเป็นนิสัย สามารถเอาชนะศิลปินที่ได้รับการฝึกฝนมาจากค่ายต่าง ๆ ได้อย่างราบคาบแน่นอน
และที่สำคัญที่สุด แม้ว่าเธอจะโลดแล่นในวงการมาจนเกือบ 2 ปีเต็มด้วยบาทบาทของนักแสดงแทนที่ไม่ค่อยจะมีตัวตนในสายตาคนดู แต่นั่นก็ไม่ทำให้เธอรู้สึกด้อยค่าหรือสมเพชตัวเองเลย ความอดทนอดกลั้นของเธอ มันพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอมีจิตใจที่แข็งแกร่งจริง ๆ
บุคคลประเภทนี้ ขอเพียงแค่มีชื่อเสียงขึ้นมาซักนิดหน่อย ก็ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลอีกแล้ว ที่เหลือก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ
แต่มีสิ่งนึงที่ทำให้เฉิงเฉิงยังคงประหลาดใจ เป็นไปได้อย่างไร? ที่เพชรเม็ดงามอย่างนี้โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมานานแต่กลับไม่มีใครขุดพบเลย
ช่างไม่รู้อะไรเสียแล้ว ว่าเพชรเม็ดงามเม็ดนี้ยังมีแสงที่สว่างจ้าซ่อนอยู่ภายใน
MANGA DISCUSSION