รักของเรา เริ่มต้นจากคืนนั้น - ตอนที่ 45หัดเจียมตัวสะบ้าง
เขากอดฉันไว้ในอ้อมกอดเขา"ไม่ต้องกลัว"
"จะให้ฉันไม่กลัวได้ไง " ฉันยิ้มอย่างเจื่อนๆ และเมื่อฉันมองขึ้นไปฉันก็เห็นลูกกระเดือกและกรามสีเขียวเซ็กซี่ของเขา
ดูจากมุมนี้ไปแล้วเขาหล่อมาก หล่อจนวัวตายควายล้ม
ฉันบึงปากแล้วบอกกับเขา "นายคิดดูนะ นายหล่อขนาดนี้ แค่หน้าตานายผู้หญิงก็แทบบ้าไปแล้ว และนายยังเก่งทุกๆด้านอีก แถมเป็นถึงท่านประธานในบริษัทสกุลเฉิง นายรู้ไหม ในไป่ตู้ไป่เค่อ เขาว่ากันว่านายเป็นเศรษฐีคนแรกที่โสดเลยนะ "
เขาอึ่งกับคำพูดของฉันเล็กน้อย สายตาบ่งบอกถึงเขากำลังยิ้มในใจ "แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว และฉันก็แต่งงานแล้วด้วย ไป่ตู้ไป่เค่อไม่ได้อัพเดตข้อมูลใหม่ต่างหาก"
"ถึงนายจะไม่โสด นายมันก็ยั่วคนอื่นอยู่ดี ผู้หญิงเยอะแยะที่อยากเข้าใกล้คุณ"ฉันบ่นพึมพำในปาก
"แล้วเธอละอยากเข้าหาฉันไหม"อยู่ดีดีเขาก็พูดแล้วมองมาที่ฉัน คำพูดดูจริงจังสุดๆ
ใจฉันแอบหวั่น เมื่อวันฉันยังหนีเขาอยู่เลย แต่ตอนนี้ฉันก็กลับมาอยู่ที่คฤหาสน์เขาอีกครั้ง แต่ว่าตอนนี้ฉันติดค้างคำตอบให้เขา
ฉันเลียริมฝีปากของฉันและกอดเขาไว้แน่นๆ“ ฉันได้เข้าใกล้คุณแล้วไง”
เขายิ้มออกมาแล้วค่อยๆดันฉันออกจากอกเขา
เขามองฉันด้วยสายตาแล้วล้วงบางอย่างในกระเป๋า พอเอาออกมาเป็นกล่องเล็กๆอันนึ่ง มันเป็นแหวนเพชรที่เขาเคยขอฉันแต่งงานครั้งก่อน
"ลั่วยียี แต่งงานกับฉันนะ " เขามองฉันด้วยสายตาจริงใจ
เขาขอฉันแต่งงานครั้งที่สอง ฉันอึ้งกับการกระทำเขา เพราะฉันไม่เคยคิดว่าคนอย่างเขาจะขอฉันแต่งงานครั้งที่สอง แต่ฉันก็พยักหน้าให้เขาอย่างไม่ลังเล
"ได้ "
บางครั้งระหว่างฉันกับเขาอาจปัญหากันมากมาย แต่เป็นไปอย่างที่หลินปิงชิงพูด ฉันไม่ควรเป็นเพราะความกลัวของตัวเองทำให้ฉันเสียเขาไป อย่างน้อยดูจากวันนี้ เราสองคนก็สื่อสารกันมากขึ้น ไม่ว่าปัญหาอะไร เราก็ต้องแก้ไขมันได้
สำหรับความแตกต่างระหว่างฉันกับเขา มันเป็นเรื่องจริงที่ฉันไม่สามารถเพิกเฉยได้
ฉันรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง แต่ถ้าหากเขาให้เวลากับฉันมากพอ ฉันจะพยายามเป็นสองเท่าเพื่อให้เป็นผู้หญิงที่เหมาะสมกับเขามากที่สุด
ฉันรู้ว่ามันยากไปสำหรับฉัน ทั้งชีวิตนี้ฉันอาจทำไม่สำเร็จก็เป็นไปได้ แต่ฉันรักเขา ฉันควรที่จะลงมือทำสักครั้ง
รอยยิ้มที่สดใสปรากฏบนหน้าเขา เขาดึงฉันเขาไปกอดอย่างมีความสุข ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุ้นเคยมันกลับมาอีกครั้ง และใจฉันก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที
หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็ปล่อยเขา แต่เขากลับกอดฉันไว้เหมือนเดิม แล้วเอาแหวนขึ้นมาแล้วสวมใส่ที่นิ้ว
แหวนเย็นเล็กน้อย รู้สึกได้ถึงความหนักนิ้ว แต่มันทำให้ใจฉันว่างใจมากขึ้น
"ห้ามถอดมันออก"เขาสั่ง
ฉันพยักหน้าให้เขา วันนี้อารมณ์ฉันดีเป็นพิเศษ เราสองคนกินข้าวเช้าด้วยกัน หลังจากนั้นก็นั่งรถเขาไปทำงานที่บริษัท ระหว่างทางฉันมองไปที่แหวนบนนิ้วบ่อยๆ มันทำให้รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้ง
แต่ว่า ระยะทางไปบริษัทยิ่งเข้าใกล้ทุกที ฉันตื่นเต้นน้อยลงความกังวลกลับมาแทนที่
รถจอดอยู่ที่ลานจอดรถ ฉันไม่กล้าลงจากรถ
ฉันจับที่เปิดประตูไว้แน่นๆ สีหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติ ถึงแม้เรื่องเมื่อวันถูกปิดตายแล้ว แต่กำแพงมีหูประตูมีตา เพราะฉนั้น คนในบริษัทไม่มีใครหรอกที่จะไม่รู้เรื่องนี้
ฉันกลัวที่จะถูกคนรอบข้างนินทา ยิ่งกลัวซ่งเสวี่ยเหมยจะรอฉันที่หน้าบริษัท เรื่องแบบนี้เขาเคยทำมาหลายครั้งแล้ว เขามาเพื่อเตื่อนไม่ให้ฉันคบกับเฉิงอี้เฉิน ถ้าฉันลงไปแล้วเจอซ่งเสวี่ยเหมย…….
เฉิงอี้เฉินเอามือพลัดไว้ที่พวงมาลัย อีกมือหนึ่งเอาบุหรี่ขึ้นมาสูบ พ่นควันขาวขุ่นออกมา ท่าทางเขาหล่อเหมือนในเทพนิยายไม่มีผิด
เขามองฉันอย่างสงสัย "กลัวเหรอ?"
ฉันพยักหน้า "อืม"
เขาเห็นท่าทีฉันตื่นเต้น เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เขายื่นมือมาทางฉัน ฉันคิดว่าเขาจะปลอบใจฉันโดยการลูบหัวฉัน แต่ที่ไหนได้ เขายื่นมือมาดีดหน้าผากฉันไปทีหนึ่ง
"ก่อนจะทำอะไรให้คิดถึงผลที่ตามมาด้วย มากลัวตอนนี้ มันสายไปแล้ว" เขาประชดฉัน
ฉันไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วเขายังมัวเก๊กหล่อข้างฉันอีก
เขาเอื้อมมือมาจับมือฉันแล้วบีบมันสองสามที “มีฉันอยู่ เธอไม่ต้องกลัวอะไร ”
เขาจับมือฉันและเข้าไปในบริษัท เขาจงใจเดินผ่านล็อบบี้ของบริษัท โดยไม่ขึ้นลิฟต์ และเดินไปส่งฉันเข้าไปในห้องทำงาน เหมือนกำลังโอ้อวด
"ทำงานดีดีละ ทำงานเสร็จกลับบ้านด้วยกัน "
“อื้ม”ฉันพยักหน้าใส่เขา
เขาก้มลงมาจูบหน้าผากฉันแล้วก็เดินไปทำงานอย่างไม่รีรอ ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วเดินเข้าไปห้องทำงาน
โปรเจ็กต์กวางหมิงติ้งอยู่ในมือฉันแล้ว ฉันเป็นถึงผู้รับผิดชอบโปรเจ็กต์ฉันจะต้องว่างแผนมอบหมายหน้าที่อีกมากมาย ตอนนี้ฉันยุงมากกก
"ก๊อกก๊อกก๊อก ……."เสียงเคาะประตูดังขึ้น ฉันกำลังจะตะโกนให้เข้ามา แต่ประตูดันเปิดสะก่อน
ฉันตกใจเล็กน้อยเมื่อผงะเห็นคนที่เข้ามาคือ สวีเฟยเฟย
แม้ว่าฉันจะได้พบกับสวีเฟยเฟยตัวต่อตัวเพียงครั้งเดียว แต่ฉันก็จำลักษณะของเธอได้อย่างชัดเจน ยังไงเธอก็เป็นคนที่ซ่งเสวี่ยเหมยระบุว่าเป็นจะ ลูกสะใภ้ นั้นก็คือคู่อริฉันนั้นแหละ
วันนี้เขาแต่งตัวมีสไตล์มาก ส้นสูงกว่าสิบเซนติเมตร กระเป๋าถือสีแดงขนาดใหญ่ในมือซึ่งเป็นรุ่นลิมิเต็ดที่แบรนด์ใหญ่เพิ่งเปิดตัวในปีนี้
ก็ไม่โทษที่ซ่งเสวี่ยเหมยเกลียดฉัน ในเมื่อไม่ว่า การแต่งตัว บุคลิก ฉันก็สู้สวีเฟยเฟยไม่ได้สักอย่าง
เพียงแค่ได้เจอกันครั้งหนึ่ง ความไม่มั่นใจของฉันฉุดขึ้นมันทันที
"ลั่วอีอี เรามาคุยกันหน่อยไหม " เขาลากเก้าอี้มานั่งลงโดยไม่แคร์ฉัน นั่งลงอย่างสง่าเหมือนดั่งเจ้าหญิง
“ว่ามาสิจะคุยอะไร ”ฉันเอยปากพูด
“เลิกยุ่งกับพี่อี้เฉิน ” หล่อนพูดพร้อมมองมาที่ฉัน
ฉันพูดอะไรไม่ออก ใจฉันเต้นแรงจนหัวสมองไม่สั่งการ
“เธอมันไม่เหมาะสมกับพี่อี้เฉินเลยสักนิด ยังจะตามตื้อเขาไปถึงเมื่อไหร่ ฉันไม่รู้นะว่าเธอใช้ท่าไหน ทำให้พี่อี้เฉินขอเธอแต่งงานได้ แต่เธอกลับวิ่งหนีตอนเขาขอแต่งงาน ทำให้พี่อี้เฉินต้องอับอายกลางผู้คน เธอมีหน้าที่ไหนมาตามตื้อพี่อี้เฉินไม่ปล่อยอีก ”
หล่อนพูดโดยไม่รอฉันตอบ ยิงคำบ่นด่ามาไม่ยั้ง
“เมื่อวานป้าไม่สบายก็เพราะเธอ พี่อี้เฉินไม่เคยขัดแย้งกับป้าเลยสักครั้ง แต่ตอนนี้เพราะเธอคุณป้าและพี่อี้เฉินทะเลาะกัน เธอจะทำให้ครอบครัวตระกุลเฉิงไม่เป็นสงบสุขเหรอ ”
“ลั่วอีอี คนเรานะต้องรู้จักหัดเจียมตัวสะบ้าง พี่อี้เฉินไม่ใช่คนอย่างเธอที่อยากจะเอื้อมก็เอื้อมถึงหรอกนะ ตอนนี้พี่อี้เฉินดีกับเธอก็จริง แต่มันเป็นเพียงแค่ความสุขชั่วคราวตอนเอื้อมเท่านั้น ยิ่งหวังสูงเท่าไหร่ ตกลงมาก็ยิ่งทรมานและน่าสมเพชเท่านั้น เธอคิดว่าพี่อี้เฉินรักเธอจริงงั้นเหรอ เขาคบกับเธอก็เพียงเพราะ……. ”
"เพราะอะไร" เสียงที่เย็นชาดังมาจากประตูที่ที่ทำงานฉันเปิด