เมื่อเห็นท่าทางจิ้นเหวินเชี่ยนที่ดูเอาจริงเอาจัง ในใจฉันก็สั่นไหวเกือบจะตอบตกลงไปแล้ว
แต่พอมาคิดถึงเรื่องที่จิ้นเหวินเชี่ยนเคยทำเอาไว้ในอดีต ฉันก็ยิ้มเย็นๆ ลุกขึ้น จากนั้นก็หยิบของที่ในมือแกว่งให้เธอดู
“ถ้าฉันอยากรู้เรื่องของเฉิงอี้เฉิน ฉันย่อมถามจากเขาเองได้ ไม่จำเป็นต้องรู้จากปากของคุณเลย ส่วนของที่อยู่ในมือฉันฉินจวิ้นเฟยคงจะสนใจน่าดูจริงมั้ยคะ?”
ของที่อยู่ในมือฉันคือปากกาบันทึกเสียงเล่มหนึ่ง ฉันกดอัดเอาไว้ตั้งแต่เข้ามาในร้านกาแฟ เพราะฉะนั้นสิ่งที่พูดคุยกับจิ้นเหวินเชี่ยนไปเมื่อสักครู่นี้จึงได้ถูกบันทึกไว้หมดแล้ว
เมื่อครู่นี้ฉันจงใจพูดว่าลูกของเธอไม่ใช่ลูกของฉินจวิ้นเฟย ซึ่งจิ้นเหวินเชี่ยนไม่ได้แย้งกลับมา แต่กลับจะให้ฉันช่วยทำลายหลักฐานที่อยู่ในมือของเฉิงอี้เฉินแทน เห็นได้ชัดว่าจิ้นเหวินเชี่ยนรู้สึกหวาดกลัว ก็เท่ากับยอมรับโดยดุษฎีแล้วนั่นเอง
แม้ว่าสิ่งที่อยู่ในมือของเฉิงอี้เฉินจะเป็นบันทึกการเปิดห้องและคลิปวีดิโอของจิ้นเหวินเชี่ยนกับชายอื่น แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าเด็กที่อยู่ในท้องของจิ้นเหวินเชี่ยนเป็นลูกของชายอื่น ทว่าบทสนทนาระหว่างฉันกับจิ้นเหวินเชี่ยนเมื่อครู่นี้ถือเป็นหลักฐานชั้นดีทีเดียว
เมื่อเห็นปากกาบันทึกเสียงสีหน้าของจิ้นเหวินเชี่ยนก็เปลี่ยนไป เธอลุกขึ้นจะเข้ามาแย่ง แต่ก็ระวังท้องของตัวเองด้วย ฉันมองพฤติกรรมเช่นนี้ของเธอด้วยความไม่แน่ใจ จึงยกมือขึ้นแล้วหลบไปด้านหลัง บอดี้การ์ดทั้งสองคนก็รีบรุดมาด้านหน้า คนหนึ่งดันฉันไปอยู่ด้านหลังเขาเพื่อคุ้มกัน ส่วนอีกคนจับแขนของจิ้นเหวินเชี่ยนเอาไว้
“ลั่วอีอี ยัยสารเลว กล้าวางแผนให้ร้ายฉัน!”
“วางแผนให้ร้ายคุณแล้วจะทำไมหรือคะ?” น้ำเสียงของฉันเย็นราวกับน้ำแข็ง
“ฉันไม่มีความคิดที่จะตอแยฉินจวิ้นเฟย แม้ว่าจะหย่ากันฉันก็อยากจบกันด้วยดี แต่เป็นเพราะพวกคุณคอยแต่บีบบังคับผู้อื่น ก่อกวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระต่ายยามตกใจก็กัดคนเป็นนะคะ เพราะฉะนั้นถ้าคุณยังไม่อยากให้ฉินจวิ้นเฟยได้เห็นของเหล่านี้ก็ทำตัวให้ดีๆ หน่อยค่ะ”
หลังจากพูดกับจิ้นเหวินเชี่ยนด้วยน้ำเสียงเย็นชาแล้ว ฉันก็คิดจะหมุนตัวออกไป จิ้นเหวินเชี่ยนที่ถูกบอดี้การ์ดจับให้นั่งลงก็ทำใบหน้าดุร้ายและตะโกนเสียงดังว่า “ลั่วอีอี คุณจะต้องเสียใจ! คุณจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน”
“คุณคิดว่าเฉิงอี้เฉินจะชอบคุณหรือ? คุณนึกหรือว่าคุณกับเฉิงอี้เฉินจะมีความสุขได้จริงๆ คุณคอยดูไปเถอะ วันที่ดีของคุณกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว……”
ฉันเดินขึ้นรถมุ่งตรงไปที่บริษัทโดยไม่สนใจเสียงร้องของจิ้นเหวินเชี่ยน แล้วก็ทิ้งเรื่องที่พบกันในครั้งนี้ออกไปจากความทรงจำ จากนั้นก็ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจไปกับการเตรียมงานโครงการ
เฉิงอี้เฉินเก็บตำแหน่งผู้ช่วยพิเศษของประธานใหญ่ของฉันเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ให้ฉันไปดำรงตำแหน่งผู้จัดการของบริษัทย่อยแห่งหนึ่ง ฉันรู้ว่ามีคนจำนวนมากที่ไม่ยอมรับการกระโดดข้ามแผนกของฉัน แต่ฉันก็ไม่คิดที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ ฉันรู้ดีว่าผลการทำงานจะทำให้คนยอมรับได้ดีที่สุด จึงยิ่งมุมานะไปกับการเตรียมการประมูลในครั้งนี้
ในระหว่างนั้นเฉิงอี้เฉินก็ให้คำแนะนำฉันมากมาย แม้ว่าฉันจะรับผิดชอบโครงการนี้ แต่เกือบจะเป็นเฉิงอี้เฉินสอนฉันด้วยตนเองทั้งนั้น จนในที่สุดแผนงานก็สมบูรณ์แบบ
ในที่สุดก็ถึงวันประมูล
ฉันในชุดยูนิฟอร์มที่สั่งตัดกำลังเหยียบรองเท้าส้นสูงพาพนักงานของกลุ่มบริษัทสกุลเฉิงเข้าห้องประชุมในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการ คนที่ฉันเห็นเป็นคนแรกในกลุ่มฝูงชนก็คือฉินจวิ้นเฟย
ท้ายที่สุดแล้วคนเราก็ต้องพึ่งเครื่องแต่งกาย ฉินจวิ้นเฟยในยามนี้กำลังนั่งวางมาดขรึมอยู่ ชุดสูทสีดำบนตัวทำให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่และมั่นคงมากขึ้นไม่น้อย ไม่เหมือนมาดคุณชายเพลย์บอยแบบเมื่อสมัยก่อน แต่สำหรับในใจฉันเมื่อเอามาเทียบกับมาดของเฉิงอี้เฉินที่ปรากฎในความคิดคำนึงแรกของฉันก็รู้สึกว่าฉินจวิ้นเฟยยังห่างอยู่หลายขุมนัก
ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เสียงรองเท้าส้นสูงยามกระทบพื้นส่งเสียงดังชัดเจนมาก
“อีอี?!” พอฉินจวิ้นเฟยมองเห็นฉันก็มีสีหน้าประหลาดใจ ลุกขึ้นในทันที
เสียงของเขาเรียกความสนใจจากคนรอบข้าง แล้วสายตาของทุกคนก็ตกมาอยู่ตรงนี้ คนข้างๆ รีบดึงแขนเขา พอฉินจวิ้นเฟยกลับคืนสติแล้วก็รีบนั่งลง ขมวดคิ้วคอยมองฉันตลอด
ฉันยิ้มน้อยๆ ให้เขา ตอบอย่างไม่ถ่อมตัวและไม่เย่อหยิ่งออกไปว่า “ประธานฉิน ไม่ได้เจอกันซะนานเลยนะคะ”
“คุณมาทำอะไรที่นี่?” ฉินจวิ้นเฟยขมวดคิ้ว และมองฉันอย่างระมัดระวัง
แต่ฉันไม่ตอบ แล้วก็ไม่มองเขาอีก จากนั้นก็ไปนั่งตรงที่นั่งของกลุ่มบริษัทสกุลเฉิงแล้วก้มศีรษะไปค้นเอกสารในมือ
แม้ฉันจะอ่านเอกสารนี้อยู่หลายรอบมากจนจำได้เกือบขึ้นใจแล้วก็ตาม แต่เวลานี้ฉันตื่นเต้นมาก มีเหงื่อขึ้นเต็มฝ่ามือ ฉันกังวลว่าอีกสักครู่หนึ่งจะแสดงผลงานออกมาได้ไม่ดี
อีกอย่างฉันพอจะรู้สึกได้ว่าฉินจวิ้นเฟยคอยจ้องมองฉันอยู่ตลอด ทำให้ฉันกังวลใจสุดขีด
ฉันบังคับตัวเองให้จดจ่ออยู่กับเอกสาร คอยเตือนตัวเองให้ใจเย็นอยู่ตลอดเวลา โครงการที่จะประมูลในครั้งนี้คือโครงการกวงหมิงติ่ง คนบ้านสกุลฉินได้เตรียมตัวมาตั้งแต่ช่วงแรกที่ไปบีบบังคับฉันที่โรงพยาบาลให้ส่งคืนสินสอด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบ้านสกุลฉินให้ความสำคัญกับโครงการนี้เป็นอย่างมาก
แต่ทว่าแม้โครงการนี้จะไม่เล็ก แต่กลับไม่มีความสำคัญอะไรมากนักสำหรับกลุ่มบริษัทสกุลเฉิง ด้วยเหตุนี้ฉันถึงกล้ารับช่วงมาทำงานต่อ
เฉิงอี้เฉินบอกว่าโครงการนี้เขาเตรียมไว้ให้ฉันฝึกฝีมือ หากการประมูลประสบความสำเร็จก็นับว่าเป็นสนามพลิกความล้มเหลวขั้นแรก แต่หากล้มเหลวก็ถือเป็นบันไดก้าวไปสู่ความสำเร็จของฉัน การสนับสนุนเช่นนี้ของเขาไม่ว่าจะทำเพื่อฉันหรือเพื่อเด็กที่ไม่ได้เกิดมา ก็ล้วนทำให้ฉันรู้สึกตื้นตันใจอย่างยากจะเปรียบเปรยได้
ทีมงานของกลุ่มบริษัทสกุลเฉิงล้วนเป็นพนักงานที่มากด้วยประสบการณ์ยกเว้นฉัน แม้
เฉิงอี้เฉินจะไม่ได้พูดอะไร แต่ฉันก็รู้ว่าเขากำลังปกป้องฉันอยู่
การประมูลใกล้จะเริ่มในเร็วๆนี้แล้ว ฉันต้องขึ้นไปกล่าวบนเวทีในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการ ซึ่งเวทีนั้นสูงมาก แต่พอได้เห็นฉินจวิ้นเฟยมีสีหน้าวิตกกังวลอยู่ด้านล่างของเวที ฉันกลับรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่เหนือกว่า จึงรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนและไม่ตื่นเต้นอีกต่อไป
เนื่องจากมีการเตรียมตัวที่มากพอ การนำเสนอของฉันจึงชัดเจนและเป็นระเบียบเรียบร้อยดีมาก ฉันยังสามารถตอบคำถามที่อีกฝ่ายสอบถามมาได้อย่างคล่องแคล่ว ขณะที่ลงจากเวที ฉันเห็นได้ชัดว่าดวงตาของฉินจวิ้นเฟยทั้งตกตะลึงและตื่นตระหนก ส่วนในสายตาของฝ่ายประมูลเผยให้เห็นถึงความพึงพอใจและชื่นชมเป็นอย่างมาก
ผลลัพธ์ออกมาเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้ง ในยามที่ฝ่ายประมูลประกาศชื่อผู้ชนะการประมูลว่าเป็นกลุ่มบริษัทสกุลเฉิง ฉันตื่นเต้นจนแทบจะกระโดดออกมาจากเก้าอี้อยู่แล้ว แต่ต้องพยายามข่มอารมณ์ของตัวเองเข้าไว้ คงไว้เพียงรอยยิ้มที่เหมาะสมแล้วออกไปเซ็นสัญญากับพวกเขา
เมื่อออกจากห้องประชุม ฉันก็พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมา มุมปากโค้งขึ้นอย่างอดไม่อยู่
ตอนที่ฉินจวิ้นเฟยได้ยินผลลัพธ์ที่ออกมาสีหน้าเขามืดมนเป็นอย่างมาก เมื่อครู่นี้ถือว่าฉันได้พลิกความล้มเหลวแล้วใช่มั้ย?
“ลั่วอีอี คุณหมายความว่าอะไรกัน!” ฉินจวิ้นเฟยขวางตรงหน้าประตูไว้แล้วจ้องมองฉันหน้าอย่างเขียว
“หืม?”
“คุณจงใจใช่มั้ย? จงใจที่จะแย่งโครงการกวงหมิงติ่งกับบ้านสกุลฉินสินะ!” สีหน้าของฉินจวิ้นเฟยดูฮึกเหิม ดวงตาจับจ้องราวกับจะทะลักออกมาแล้ว
ฉันมองเขาผ่านๆ รู้สึกว่าทั้งใบหน้าและท่าทางที่ดูโหดร้ายของเขานั้นอัปลักษณ์เกินจะเปรียบได้
“โครงการกวงหมิงติ่งมีการเปิดประมูลอย่างเปิดเผย บริษัทที่มีคุณสมบัติตรงกันล้วนเข้าร่วมได้ กลุ่มบริษัทสกุลเฉิงก็ย่อมเข้าร่วมได้เช่นกัน
“เฉิงอี้เฉินจะมาสนใจโครงการเล็กๆ อย่างนี้ได้อย่างไร? จะต้องเป็นเธอแน่ๆ เธอต้องการจะล้างแค้นฉันซินะ”
ตอนที่พูดประโยชน์นี้ออกมา บังเอิญฝ่ายประมูลโครงการกวงหมิงติ่งเพิ่งจะเดินออกมาจากห้องประชุมจึงได้ยินคำพูดของฉินจวิ้นเฟย แล้วใบหน้าก็อึมครึมขึ้นมาในพริบตา
เขาพูดกับฉินจวิ้นเฟยอย่างเย็นชาว่า “ที่แท้โครงการกวงหมิงติ่งก็เป็นโครงการเล็กๆ ในสายตาประธานฉินนี่เอง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมประธานฉินจึงไม่นำเสนอแผนโครงการที่ดีในครั้งนี้ เป็นเพราะดูถูกโครงการกวงหมิงติ่งเองหรือครับเนี่ย”
“แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่ตอนนี้บริษัทเรากำลังจะมีโครงการ「ใหญ่」ดูท่าว่าอีกหน่อยคงจะไม่มีโอกาสได้ร่วมมือกับประธานฉินอีกแล้วล่ะครับ”
เขาจงใจเน้นเสียงคำว่า “ใหญ่” ออกมาอย่างหนัก ทำให้ใบหน้าของฉินจวิ้นเฟยแข็งขึ้นมา ดวงตาฉายแววลุกลี้ลุกลน รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อจะอธิบาย
แต่ฉันออกเท้าเร็วกว่าฉินจวิ้นเฟยก้าวหนึ่ง ฉันมองไปทางผู้รับผิดชอบโครงการด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจแล้วพูดว่า “ดิฉันมองว่าโครงการกวงหมิงติ่งมีอนาคตที่น่าจับตามองมาก และเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อการพัฒนาเมืองไห่อีกด้วยค่ะ ซึ่งกลุ่มบริษัทสกุลเฉิงให้ความสำคัญกับโครงการกวงหมิงติ่งเป็นอย่างมาก โดยในหนังสือการวางแผนโครงการในครั้งนี้ก็มีประธานเฉิงเป็นผู้ให้คำแนะนำเองเลยนะคะ ดูท่าการร่วมมือกันของพวกเราจะต้องเป็นไปด้วยดีแน่ๆ ค่ะ”
MANGA DISCUSSION