ลุงใหญ่กดวางโทรศัพท์ จากนั้นก็จ้องหน้าลูกพี่ลูกน้อง “แกมันโง่หรือไง! ไปบอกเขาทำไมว่าพวกเรามีห้าคน ทำไมไมไม่บอกสิบคนกันเล่า?”
พอลูกพี่ลูกน้องได้สติ ก็ดึงผมตัวเองอย่างหงุดหงิด ฉันมองท่าทางที่ตื่นเต้นดีใจของพวกเขา ภายในใจฉันกลับรู้สึกหวาดกลัวมากกับสายที่ถูกตัดไป
“คนละห้าแสนก็ไม่น้อยแล้ว พี่ใหญ่ พี่ว่าเขาจะเอาเงินมาจริงๆ มั้ย?” ลุงรองมีสีหน้าตื่นเต้น
ลุงใหญ่ขมวดคิ้วตามองฉันแล้วพูดว่า “แกกับเขาคบกันมานานแค่ไหนแล้ว? เขายอมทุ่มเงินให้แกใช้บ้างมั้ย?”
คำพูดนี้เห็นได้ชัดว่าคงมองฉันเป็นเมียเก็บของเฉิงอี้เฉินแล้ว ฉันคิดในใจอย่างรวดเร็ว ตอนนี้พวกเขานึกว่าฉันคือเมียเก็บของเฉิงอี้เฉินจึงกล้าละโมบเอ่ยปากขอเงินห้าแสน ถ้าหากรู้ว่าฉันเป็นภรรยาที่ผ่านการจดทะเบียนสมรสกันมาแล้วจะต้องยื่นข้อเสนอมากกว่านี้อีกแน่
ฉันทำท่าร้องไห้ด้วยความโศกเศร้า “คุณลุงก็รู้นี่คะว่าฉันเพิ่งหย่าได้ไม่กี่วัน เขาจะมาหรือไม่มาก็ยังไม่แน่เลย……”
“เมื่อกี้เขาตอบตกลงแล้วไม่ใช่เหรอ!” ลุงรองร้อนรนขึ้นมา
“เขาตอบตกลงแล้วไม่มาก็ได้นี่คะ พวกคุณก็น่าจะสืบเรื่องของเขามาแล้วใช่มั้ยคะ? คุณลุงลองคิดดูเขาสามารถจ่ายเงินสองล้านห้าแสนได้ แล้วเขาจะหาผู้หญิงที่อยากได้ไม่ได้เลยเชียวหรือ ถึงต้องมาเอาฉัน?”
พอฉันเห็นพวกเขาเงียบไปก็พยายามพูดต่ออย่างไม่ลดละว่า “ยังมีอีกนะคะ คุณลุงคิดว่าที่คุณพ่อและพี่ชายเข้าคุกเป็นเพราะฉันหรือคะ? นั่นเพราะไปล่วงเกินเขาต่างหาก……ฉันจะไปมีฝีมือทำให้พวกเขาเข้าคุกได้อย่างไรกันคะ……พวกคุณอย่าได้ไปล่วงเกินเขานะคะ ไม่งั้นล่ะก็……”
“พอ ไม่ต้องพูดแล้ว ถ้าเขาไม่มา แกก็รอหน่อย ถ้าขายแกกับนังหญิงชั่วแม่ของแกได้ พวกเราก็ได้เงินเหมือนกัน จะไม่ปล่อยให้มือเปล่ากลับไปเด็ดขาด” ลุงใหญ่พูดอย่างหงุดหงิด
ฉันรู้สึกร้อนใจ ลุงใหญ่ก็เร่งให้ฉันโทรหาเฉิงอี้เฉินเพื่อบอกตำแหน่งที่จะนัดเจอกัน
ฉันทำตัวเชื่องช้าไม่กล้าโทร เบอร์โทรยังไม่ทันได้กด จู่ๆ รถก็เบรกอย่างกะทันหัน ทำให้ฉันตัวกระโดดออกจากที่นั่ง
“อา……” ฉันชนเข้ากับที่นั่งด้านหน้าอย่างรุนแรง รู้สึกเจ็บจนต้องร้องออกมา บริเวณท้องน้อยเกิดอาการปวดอย่างรุนแรงในฉับพลัน ฉันตกใจจนแทบหายใจไม่ทัน แต่แล้วฉันก็ถูกลูกพี่ลูกน้องจับกลับมานั่งที่
“เกิดอะไรขึ้น รถชนเหรอ?”
“จู่ๆ รถคันนั้นก็พุ่งออกมา ผมยัง……” คนที่ขับรถคือลูกพี่ลูกน้องอีกคนของฉัน เขาตกใจขวัญหายอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วต้องทำยังไง…ยังขับต่ออยู่ได้มั้ย? ถ้าขับได้ก็ขับต่อไปเลย รอให้ชายคนนั้นเอาเงินมาพวกเราก็ไม่ต้องมาสนใจรถเก่าๆ คันนี้แล้ว”
ฉันเอามือกุมท้องน้อยแน่น รู้สึกหายใจไม่ค่อยออก ตัวงอขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความตกใจของพวกลุงใหญ่
“เชี้ย ตำรวจมาจากไหนเยอะแยะ!”
พวกเขาตื่นตระหนก จากนั้นประตูรถก็ถูกเปิดออก ฉันถูกคนผลักอย่างแรงสองสามที แต่ทำได้เพียงปกป้องท้องตัวเองอย่างแน่นหนา จนกระทั่งฉันตกเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่น
“อี้เฉิน……” ฉันเงยหน้ามองเขา น้ำตาไหลไม่หยุด
“ไปโรงพยาบาล” เขาพูดเสียงต่ำแล้วอุ้มฉันขึ้นรถ ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้ฉันจมลงสู่ความมืดมิดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อฉันตื่นขึ้นมาอีกครั้งในโรงพยาบาล ก็เห็นเฉิงอี้เฉินนั่งอยู่ข้างเตียงฉันด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง
ความเจ็บปวดบริเวณท้องน้อยยังมีอยู่ชัดเจน แล้วยังมีกลิ่นใบยาสูบจางๆ ตลบไปทั่วห้องพักผู้ป่วยทำให้ใจฉันจมดิ่งลงไป
“ลูกของฉัน……” ฉันเอ่ยปากพูดอย่างกระวนกระวายใจ
เขาขมวดคิ้ว กุมมือฉันจากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำมาก “ลูกไม่มีแล้ว”
ใจฉันเจ็บ น้ำตาพรั่งพรูออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
ลูกไม่มีแล้ว? ไม่มีแล้วจริงๆ หรือ?
เขารีบเช็ดน้ำตาให้ฉัน “อย่าร้องอีอี ดูแลตัวเองด้วย ลูกอีกหน่อยก็ยังมีได้ เรายังมีลูกกันได้อีกหลายคน……”
คำปลอบโยนของเฉิงอี้เฉินไม่ได้เข้าหูฉันเลย ตอนนี้ฉันแค้นมาก แค้นพวกเขามากกว่าความแค้นที่มีต่อฉินจวิ้นเฟยเสียอีก
ฉันตั้งตารอวันที่จะคลอดเด็กคนนี้ออกมา เฝ้าขอบคุณเขาที่ทำให้ฉันได้มีโอกาสอยู่ร่วมกับเฉิงอี้เฉิน แต่ว่าตอนนี้ เขาไม่อยู่แล้วหรือ?
“แล้วพวกเขาล่ะ……” ฉันกัดฟันเอ่ยปากออกมา
“อยู่โรงพักแล้ว โดนคดีลักพาตัว” เฉิงอี้เฉินหยุดไปสักพักแล้วมองฉันอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษด้วยอีอี ถ้าหากผมไม่ไปพบตำรวจ แล้วเอาเงินไปแทนล่ะก็ คงจะไม่……”
เขากัดริมฝีปากแน่นไม่พูดอะไรออกมาอีก ฉันรู้ที่เฉิงอี้เฉินไปแจ้งตำรวจก็เพื่อจะช่วยฉัน มันเป็นเหตุสุดวิสัย ฉันไม่ถือโทษโกรธเขา แต่ตอนนี้ฉันไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว
ฉันรู้สึกได้แค่อาการปวดท้องน้อยยังอยู่ ที่ใจก็เจ็บ เจ็บถึงขนาดจะหายใจยังลำบาก
ฉันหลับไปอีกรอบ จนกระทั่งฟ้ามืดจึงตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เฉิงอี้เฉินยังอยู่ที่ข้างเตียง และป้าหวังก็มาแล้ว
ป้าหวังตุ๋นน้ำแกงมาให้ พวกเขายังคะยั้นคะยอให้ฉันกินสักหน่อย แต่ฉันไม่มีความอยากอาหารเลย แค่จะขยับตัวยังไม่อยาก เอาแต่เหม่อมองเพดานอยู่อย่างนั้น
เฉิงอี้เฉินบอกว่าเขาได้ฟ้องร้องพวกคุณลุงแล้ว ฉันฟังอย่างมึนชา ไม่มีความสนใจใดๆ เขาอยู่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนฉันตลอดทั้งคืน จับมือฉันแน่นๆ ตลอดเวลา ฉันรู้เฉิงอี้เฉินมีคำพูดหลายคำที่อยากจะพูดกับฉัน แต่ฉันก็ทำเป็นนอนหลับตลอด ทั้งคืนฉันได้ยินเสียงเขาถอนหายใจนับครั้งไม่ถ้วน
หลังจากนั้นเฉิงอี้เฉินก็งานยุ่งมาก ฉันออกจากโรงพยาบาลแล้วไปพักรักษาตัวที่บ้านพักตากอากาศ โดยมีป้าหวังที่คอยดูแลฉันเอาใจใส่ฉันอยู่ตลอด ร่างกายฉันก็ค่อยๆ ฟื้นตัว แต่ความที่เฉิงอี้เฉินงานยุ่งตลอดเวลากลับทำให้ฉันหวั่นไหว และเปลี่ยนไปเป็นคนเงียบครึมมากขึ้น
ฉันไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเฉิงอี้เฉินอย่างไรดี ฉันไม่ได้จะตำหนิเขา แต่การที่ฉันกับเฉิงอี้เฉินมาอยู่ด้วยกันก็เป็นเพราะเด็กคนนี้ มาตอนนี้เด็กไม่อยู่แล้ว ฉันไม่รู้ว่าจะอยู่ร่วมกันกับเขาได้อย่างไร แล้วยังมีเรื่องที่คนในครอบครัวของพ่อเลี้ยงมาก่อกวนในครั้งนี้อีก มันทำให้ฉันวางตัวไม่ถูก จึงไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไรแบบไหนดี
ถึงแม้ว่าเฉิงอี้เฉินจะเคยพูดว่ารักฉัน แต่ตอนนี้ไม่มีเด็กแล้ว เขายังมาเห็นฉากที่น่ารังเกียจนี่อีก เขายังจะรักฉันอยู่อีกหรือ?
ในทุกๆ วันฉันจะกังวลและกระวนกระวายใจอยู่ตลอดว่าเฉิงอี้เฉินจะต้องมาไล่ฉันออกไป แต่ไม่คิดว่าจะเป็นซ่งเสวี่ยเหมยที่มาก่อน
“ลั่วอีอี วันนี้เรามาคุยกันอย่างตรงไปตรงมากันดีกว่า ฉันไม่เห็นด้วยที่เธอและเฉิงอี้เฉินมาอยู่ด้วยกัน ก่อนหน้านี้เธอตั้งครรภ์แล้วคิดจะอาศัยบารมีลูกเพื่อยกตัวเองขึ้นมา ฉันก็พอทน แต่ตอนนี้ไม่มีเด็กแล้ว เธอก็อย่ามาตอแยอี้เฉินอีกเลย จะได้ไม่วุ่นวายจนไม่น่าดูไปเปล่าๆ”
ซ่งเสวี่ยเหมยพูดอย่างเย็นชา ฉันก้มศีรษะไม่พูดจา สับสนอยู่ในใจ
เขาไม่สนใจในคำตอบของฉัน จากนั้นก็พูดต่อว่า “ฉันยังรู้มาอีกว่าเธอกับอี้เฉินเคยเซ็นสัญญากันเอาไว้ ดังนั้นเรื่องค่ารักษาในโรงพยาบาลของคุณแม่เธอฉันจะจ่ายต่อให้เอง ตอนนี้ฉันจะจ่ายเป็นเงินสดตามจำนวนที่ระบุในสัญญา ยังมีอสังหาริมทรัพย์ และค่ารถให้ จะเอาเป็นเช็คเงินสดหรือบ้านก็แล้วแต่เธอจะตัดสินใจ แต่เนื่องจากเธอไม่มีลูกแล้ว จึงไม่สามารถให้เป็นหุ้นได้ และเมื่อจ่ายเรียบร้อยหมดแล้วอีกหน่อยก็อย่าอยู่ที่นี่อีกเลย
ฉันเงยหน้าขึ้นมาด้วยใจเต้นรัว ซ่งเสวี่ยเหมยรู้เรื่องที่ฉันกับเฉิงอี้เฉินเซ็นสัญญากันด้วยหรือ? หรือว่าเฉิงอี้เฉินบอกเรื่องนี้กับคนในบ้านแล้ว?
ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามพูดออกไปว่า “เรื่องนี้ฉันจะรอให้อี้เฉินกลับมาก่อนค่อยคุยกันค่ะ”
ซ่งเสวี่ยเหมยไม่ชอบฉันมาโดยตลอด และเฉิงอี้เฉินเคยบอกว่าคนที่แต่งงานด้วยคือเขา ไม่ใช่คุณย่าของเขา แล้วก็ไม่ใช่คุณแม่เขา เขาตัดสินใจเองได้ ดังนั้นถ้าเฉิงอี้เฉินเป็นคนมาบอกให้ฉันไป ฉันถึงจะไป
“เธอคิดว่ายังจำเป็นจะต้องคุยกับเฉิงอี้เฉินอีกหรือ?” ซ่งเสวี่ยเหมยมองฉันด้วยสายตาที่เย็นชา แล้วโยนรูปถ่ายกองหนึ่งมาตรงหน้าฉัน
ฉันมองมันโดยไม่ทันรู้ตัว จากนั้นก็ตัวเย็นขึ้นในพริบตา แล้วความมั่นใจที่สะสมไว้อย่างยากลำบากก็พังทลายลง
MANGA DISCUSSION