รักของเรา เริ่มต้นจากคืนนั้น - ตอนที่ 27ผู้ช่วยพิเศษของประธานใหญ่
"เฉิงอี้เฉิน คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม?"ฉันอุตลุดพูด
"อึม? ว่ามา"เฉิงอี้เฉินมองฉันแปลก
"คุณช่วยให้แม่ฉันกับพ่อเลี้ยงอย่ากันได้ไหม?"
พ่อของฉันเสียตอนที่ฉันเรียนอยู่ม.ต้น ตอนนั้นแม่เลี้ยงฉันคนเดียวมีคนพูดใส่ร้ายตั้งมากมาย พ่อเลี้ยงก็อาศัยคำพูดพวกนี้มาบังคับให้แม่ฉันรับปากแต่งงานกับเขา
พ่อเลี้ยงกับแม่ฉันเป็นสามีภรรยากัน หลายปีที่ผ่านมาฉันไม่เคยเห็นพ่อเลี้ยงดีกับแม่ฉันแม้แต่น้อย
ตระกูลฉินให้สินสอดกับฉันแต่พ่อเลี้ยงยึดเอาไปซื้อบ้านให้หวังต้าจ้วง พวกเขามาวุ่นวายถึงโรงพยาบาลพ่อเลี้ยงก็ไม่พูดเลยอะไรสักคำ แม่ฉันเข้าโรงพยาบาลก็ไม่ไปดูแล แถมยังช่วยฉินจวิ้นเฟยจับตัวฉันอีก
พูดจริงนะ พ่อเลี้ยงแบบนี้ฉันไม่อยากยอมรับเลย
เฉิงอี้เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้ววางตะเกียบ "นี้เป็นความคิดของคุณหรือว่าเป็นของแม่คุณ?"
"เป็นความคิดของฉัน แต่พ่อเลี้ยงฉันเขาก็…."
เฉิงอี้เฉินเขาพยักหน้ากับฉัน "ผมรู้ว่าคุณคิดว่าพ่อเลี้ยงคุณไม่ดี แต่ว่าเรื่องนี้ต้องให้แม่คุณเป็นคนตัดสินใจเอง"
"แบบนี้แล้วกัน คุณไปถามแม่ของคุณก่อน ถ้าเธอตกลง ผมช่วยคุณได้"
ฉันลังเลสักพักก็ได้พยักหน้า เฉิงอี้เฉินพูดมาก็ถูก ไม่ว่าจะยังไงเขาก็รับปากที่จะช่วยแล้ว
ทานข้าวเที่ยงเสร็จฉันก็ไปโรงพยาบาลทันที ฉันได้พูดถึงเรื่องที่จะให้แม่กับพ่อเลี้ยงอย่ากัน
ฉันกังวลเล็กน้อย เพราะแม่ฉันเป็นคนหัวโบราณ กลัวจะรับไม่ได้ แต่ก็ทำให้ฉันแปลกใจ แม่ฉันอุตลุดตอบตกลง
ฉันพึ่งรู้ว่าเฉิงอี้เฉินได้บอกเรื่องพ่อเลี้ยงกับหวังต้าจ้วงที่ช่วยฉินจวิ้นเฟยจับตัวฉันกับแม่ฉันฟัง ทั้งครั้งก่อนคนตระกูลฉินได้กลับมาทวงสินสอดคืน พ่อเลี้ยงดื้อดึงไม่คืน ในใจแม่ฉันคงโกรธแค้นเขาแล้ว
ฉันได้ถอนหายใจ คุยกับแม่นานมากแล้ว พอออกจากโรงพยาบาลก็รีบโทรไปหาเฉิงอี้เฉิน ให้เขาไปจัดการเรื่องนี้
ตอนกลับคฤหาสน์ฉันก็ได้เผลอคิดเรื่องของตัวเอง
ได้พิสูจน์แล้วว่ายิ่งอ่อนแอยิ่งโดนคนอื่นลังแกง่าย เรื่องที่ถอนฟ้องฉินจวิ้นเฟยก็คงถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว ฉันจะอยู่เฉยๆไม่ได้อีกต่อไป
โรงพยาบาลถูกกำหนดให้เป็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์แล้ว ครั้งแรกฉินจวิ้นเฟยกับจิ้นเหวินเชี่ยนมาป่วนจนทำให้ฉันต้องถูกไล่ออก ตอนนี้ฉันยังต้องเข้าร่วมการสอบกลับเข้าไปอีก ถ้าพวกเขายังมาป่วนอีก ฉันจะหลบได้ไหม?
ฉันขมวดคิ้วแน่น ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเข้าร่วมการสอบครั้งนี้อาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดี คิดคำพูดของเฉิงอี้เฉินแล้วทำให้ใจสับสน
เวลาอาการค่ำเฉิงอี้เฉินกลับบ้าน ฉันรีบเข้าไป
"ทำงานเหนื่อยไหม?"
"ไม่ค่อยเท่าไหร่"เฉิงอี้เฉินพูดเบาๆ แต่ใบหน้าแสดงอาการเหนื่อยออกมาให้เห็น
ฉันคิดหาทางออก มองไปเฉิงอี้เฉินลังเลจะพูดกับเขายังไง
เฉิงอี้เฉินเงยหน้ามองฉัน "มีเรื่องอะไรหรอพูดมาได้เลย"
ฉันถูกจับได้ถึงความทุกข์ที่มี เม้มริมฝีปากแล้วพูด "ฉันอยากเรียนการทำธุระกิจกับคุณ"
ตอนพูดประโยคนี้ฉันมีความตั้งใจมาก ใจก็เต้นเร็ว
นี้เป็นเรื่องที่ฉันพิจารณาตัดสินใจอยู่ตั้งนาน ฉันต้องการบรรยากาศทำงานที่ตระกูลฉินไม่สามารถทำร้ายได้ ต้องการทำบริษัทที่มีผลกระทบกับตระกูลฉิน เฉิงอี้เฉินเป็นคนที่ฉันเลือก
ฉันยังมีความคิดที่ใจกล้ามาก ตระกูลฉินทำธุระกิจ ถ้าฉันทำได้แล้วจะสามารถไปทำลายตระกูลฉินด้วยตัวฉันเอง?
ตาดำๆของเฉิงอี้เฉินมองมาที่ฉัน ในตาลึกๆเผลอมีการยิ้มออกมาให้เห็น "การทำธุระกิจก็ไม่ดีเท่าไหร่หรอก"
"ฉันจะพยายาม"ฉันรีบตอบ
เฉิงอี้เฉินยักคิ้ว"เพื่อจะได้แก้แค้นฉินจวิ้นเฟย?"
ฉันพยักหน้า สงสัยในคำพูดของเขา แล้วได้แก้ต่างว่า ไม่นับเป็นการแก้แค้น ฉันก็แค่เบื่อกับการถูกรังแกเท่านั้น"
ความจริงคือฉันอยากทำธุรกิจไม่เพียงแค่ฉินจวิ้นเฟย แต่เป็นเพราะลูกในท้องของฉัน
ไม่สนว่าจะเป็นจางเหม่ยเอ๋อหรือแม่ของเฉิงอี้เฉินก็ตาม พวกเขาชอบว่าฉันไม่เหมาะสมกับลูกของเขา ถึงฉันจะรู้ว่าฉันคบผู้ที่มีฐานะดีกว่า แต่ถูกคนพูดเยาะเย้ยมาก็โต้ตอบไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่มาก
ในโลกนี้มีคนมากมายที่รังเกียจคนจนรักแต่คนรวย ตัวฉันยังเคยมีการอย่าร้าง ฉันคิดได้ว่าเพียงแค่ได้อยู่กับเฉิงอี้เฉินต่อไปคงจะมีคนรอถากถางมากกว่าเดิม
ดังนั้น ฉันต้องทำให้ได้
เฉิงอี้เฉินมองเงียบๆ สายตาที่ยิ้มยิ่งทำให้ชัดเจนขึ้น "ความจริง เป็นภรรยาผม ก็ไม่มีใครกล้าว่าคุณแล้ว"
ฉันหัวเราะ "นั้นเป็นภายนอก แต่ภายในยังไม่มีใครรู้ อีกอย่างฉันไม่สามารถจะให้คุณปกป้องไปตลอดได้"
เฉิงอี้เฉิงมองฉันแล้วพูดขึ้น"หลัวอีอี คุณพิเศษมาก"
ฉันอึ้งไปสักพัก ไม่รู้จะตอบยังไง
ฉันคิดว่าธรรมดานะ ยังต้องว่าพิเศษ อาจจะจนกว่าทุกคน? ฉันคิดเย้ยตัวเองว่าสงสัยเฉิงอี้เฉินได้เจอแต่คนรวยๆ เลยคิดว่าฉันพิเศษ
ยังดีที่เขาไม่ได้พูดต่อประโยคนั้น ได้แต่มองฉัน"คิดอยากจะเรียนทำธุระกิจ ก็ตั้งใจเรียนล่ะ ผมจะเอาหนังสือการทำธุรกิจให้คุณอ่านก่อน รอแม่คุณหายดีแล้วค่อยไปทำงานที่บริษัท"
ฉันพยักหน้าเก็บอาการตื่นเต้นไม่อยู่ "ฉันทำงานอะไร?"
เขามองหน้าฉันแล้วนั่งบนโต๊ะอาหาร ฉันก็รีบนั่งลงรอคำตอบจากเขา แต่ว่าเขาได้หยิบกุ้งขึ้นมาค่อยๆแกะเปลือกออก ท่าทางดูงดงามมาก
ใจร้อนจนรู้สึกจั๊กจี้ ทั้งไม่กล้าเค้นเอาคำตอบ แล้วแปลกใจที่เห็นว่ากุ้งที่เขาแกะมาอยู่ที่จานตรงหน้าฉัน
เขาหยิบเอาทิชชู่เปียกมาเช็ดที่นิ้วมือของเขา เม้มปากพูด"ทำผู้ช่วยพิเศษของประธานใหญ่"
ฉันมองเขาด้วยความไม่เข้าใจในใจนึกไม่ถึง "นอกจากการแพทย์แล้วฉันก็ไม่มีความรู้ด้านอื่นเลยนะ ภาษาต่างประเทศก็พอได้ ภาษาอังกฤษระดับหก ภาษาญี่ปุ่นระดับหนึ่ง จะ….จะได้ไหม?"
ผู้ช่วยพิเศษของประธานใหญ่ฟังดูคงเป็นตำแหน่งที่สำคัญมาก ตอนที่ฉันเรียนอยู่ไม่เคยทำงานเลย ในใจคิดแต่ตั้งใจเรียนรีบได้เป็นหมอ ตอนนี้ได้ปล่อยไปแล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้สำเร็จไหม
"ไม่เป็นไร"เฉิงอี้เฉินไม่ได้คิดก็ตอบฉันมาก กลับมาที่ฉันคิดยังไงก็คิดไม่ถึง
ฉันมีคำถามเกี่ยวกับงานมากมาย แต่เขาไม่อยากจะพูดต่อ เขาว่าที่บ้านไม่ใช่ที่จะพูดเรื่องงาน ให้ฉันรอไป
ทำความเข้าใจงานที่บริษัทเอง ฉันได้แต่นั่งทานข้าวอย่างเงียบๆ
หลังจากนั้นไม่กี่วันฉันได้ไปหาหลินปิงชิงเพื่อบอกจะไม่เข้ารวมการสมัครงานครั้งนี้ ต่อไปจะได้หอบหนังสือไปอ่านที่โรงพยาบาลทุกวัน ดูศัพท์วิชาการพวกนั้นแล้วทำให้ฉัน เหมือนกับว่าโดนตำราแพทย์โกหกมาตั้งหลายปี ฉันได้อ่านหนังสือที่เฉิงอี้เฉินให้ไปคร่าวๆแล้ว
ถึงแม้เป็นการดูอย่างคร่าวๆ แต่ก็มีการเข้าใจเรื่องทั่วไปธุรกิจบ้าง ที่สำคัญฉันได้รู้เนื้อหางานของตัวเองแล้ว
พูดง่ายๆ งานของฉันคือช่วยเหลืองานทุกอย่างของเฉิงอี้เฉินให้สำเร็จ ฉันเข้าใจความหมายของเฉิงอี้เฉินทันที ฉันอยากจะทำธุรกิจ ต้องอยู่ข้างๆเขาก็จะเรียนรู้ได้เร็วขึ้น
ตอนนั้นฉันตั้งใจเตรียมตัวรอเวลาไปรายงานตัวที่บริษัทตระกูลเฉิง ซ่งเสวี่ยเหม่ยก็ได้มาทำลายมันลง