“คุณมาหาฉันมีเรื่องอะไร?” ฉันขมวดคิ้วและมองไปที่เขา ในใจก็คิดเรื่องเกี่ยวกับจะเปลี่ยนบ้านทันทีในวันพรุ่งนี้ จากนั้นก็จะไปจัดการเรื่องที่บริษัทเช่ารถ
ฉินจวิ้นเฟยรู้ว่าตอนนี้ฉันอาศัยอยู่ที่ไหน ดังนั้นถ้าเช่าบ้านอีกฉันจะไม่ใช้ข้อมูลของตัวเอง!
พี่จางกับพี่หลิวกลับมาประเทศจีนกับฉัน ฉินจวิ้นเฟยไม่รู้จักพวกเขายิ่งไม่เคยเห็นหน้าพวกเขาด้วย ในวันพรุ่งนี้ฉันตัดสินใจจะเช่าบ้านโดยใช้ชื่อพี่จาง ดังนั้นถ้าฉินจุนเฟยต้องการตรวจสอบที่อยู่ของฉันอีกเขาก็ไม่สามารถลงมือได้อีก
“ฉันเป็นห่วงคุณ วันนี้ผมทำให้คุณรู้สึกแย่” ฉินจวิ้นเฟยมองมาที่ฉัน แล้วก็ยื่นมือมาหาฉันเพื่ออยากจะจับมือฉัน ฉันสังเกตเห็นถึงความตั้งใจของเขาเลยรีบดึงมือออกทันที ทำให้ฉินจวิ้นเฟยทำไปเสียเปล่า
เขาเองก็ไม่รู้สึกโกรธ เขาเลยหยิบเมนูบนโต๊ะขึ้นมาแล้วเลิกคิ้วมองมาที่ฉัน “กินข้าวหรือยัง?สั่งอะไรสักหน่อยสิ”
ฉันไม่รู้สึกอยากอาหารแม้แต่นิด และเม้มริมฝีปากโดยไม่พูดอะไรสักคำพลางคิดว่าฉินจวิ้นเฟยมีอะไรแผงอยู่กันแน่
“ผมสั่งสเต็กโทมาฮอว์กให้คุณแล้วกัน จำได้ว่าคุณชอบกิน” ฉินจวิ้นเฟยเรียกพนักงานเพื่อสั่งอาหาร เขาทำเหมือนก่อนหน้านี้เขารู้จักฉันดี จากนั้นก็ช่วยฉันตัดสินใจ
ฉันพูดอย่างเย็นชาว่า “ฉันกินข้าวมาแล้ว”
เหมือนสุภาษิตที่ว่าลงเรือแป๊ะตามใจแป๊ะ แม้ว่าฉันอยากจะแก้แค้นจิ้นเหวินเชี่ยนและฉินจวิ้นเฟย แต่ฉันไม่ต้องการใช้ประโยชน์จากฉินจวิ้นเฟย
ไม่เพียงแค่นั้น ที่ฉันกลับมาที่จีนครั้งนี้ฉันจะไปเอาเงินยี่สิบล้านจากซ่งเสวี่ยเหมยคืน แม้ว่าฉันจะใช้เงินยี่สิบล้านนี้หาเงินมาได้แล้วบ้าง แต่ฉันไม่จำเป็นต้อง “คิดทบต้นทบดอก” ขนาดนั้นเพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาเงินต้นทุนและดอกเบี้ยกับซ่งเสวี่ยเหมย
เงินยี่สิบล้านนั้นไม่ว่าเธอต้องการช่วยฉันหรือทำให้ฉันอับอาย ฉันคิดว่าตอนนี้ก็ถือว่าฉันสามารถมีชีวิตที่ดีได้แล้ว
“งั้นสั่งของหวานให้คุณหน่อยแล้วกัน” ฉินจวิ้นเฟยยิ้ม แล้วชี้ไปที่เมนูเพื่อสั่งของหวานกับพนักงาน
ฉันอยากบอกว่าฉันลดน้ำหนักและไม่กิน แต่ก็ขี้เกียจที่จะพูดกับเขา ถ้าเขาอยากสั่งก็ปล่อยให้เขาสั่งไป ฉันไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้
หลังจากที่ฉินจวิ้นเฟยสั่งของหวานไปแล้วเขาก็ค่อยๆวางเมนูลงและในที่สุดก็หันมามองฉัน เขากอดอกข้างหนึ่งส่วนอีกข้างก็หนุนคางไว้ ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อยเพราะความอ้วน
“อีอี คุณเปลี่ยนไปมากจริงๆ” เขามองมาที่ฉันด้วยรอยยิ้มแต่ฉันมองเขาอย่างเย็นชาและไม่ได้พูดอะไร
ตอนเจอกันช่วงบ่ายวันนี้เขาก็เคยพูดแบบนี้ แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้ใช้น้ำเสียงแบบนี้
ฉันเดาไม่ค่อยได้ว่าตอนนี้ความคิดของฉินจวิ้นเฟยเป็นอย่างไร ตอนเขาเห็น ออดี้ Q7 ที่ฉันขับในวันนี้เขารู้สึกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด แต่พอเขามาหาฉันคืนนี้เขากลับพูดตรงๆว่าไปเจอเขาไม่จำเป็นต้องเช่ารถ ดังนั้นด้วยความเข้าใจของฉันเกี่ยวกับความหลงตัวเองของฉินจุนเฟย ฉันสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดายว่าตอนนี้ฉินจุนเฟยคิดว่าฉันไปเช่ารถดีๆเพื่อไปหาเขา
พูดตามความจริง หลังจากเช่ารถฉันรู้สึกจริงๆว่าฉินจวิ้นเฟยจะต้องประหลาดใจที่เห็นฉันขับรถคันนี้ และรอคอยที่จะเห็นท่าทางตกใจของเขา แต่ฉันไม่คิดว่าสมองของเขาจะเป็นแบบนี้ มันกลายเป็นว่าสามารถสร้างพล็อตเรื่องต่างๆได้ด้วยตัวเอง
ฉันมองดูฉินจวิ้นเฟยที่ที่ยังไม่พูด เขายิ้มอีกครั้งและพูดต่อ: “ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาคุณไปอยู่ที่ไหนมา? ตอนเฉิงอี้เฉินหย่ากับคุณได้ให้เงินชดเชยคุณไหม? ช่วงหกเดือนที่ผ่านมาคุณใช้ชีวิตมาอย่างไรบ้าง?
คำพูดเหล่านี้เผยออกมาด้วยคำถามที่จะสำรวจอย่างลึกซึ้ง แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันกำลังหลอกให้ฉันพูดบางอย่างออกมา
ฉันเข้าใจความหมายของฉินจวิ้นเฟยดี ฉันหายไปครึ่งปีและตอนนี้ฉันกลับมาเช่าบ้านดีๆและเช่ารถดีๆ แม้ว่าทั้งหมดนี้จะเช่ามา “ให้แล้ว”ฉันพูดเบา ๆ โดยไม่ปฏิเสธ
“ แล้วคุณเริ่มทำงานหรือยัง?”
“อืม ฉันก็ทำงานด้วย” ฉันพยักหน้าและจิบน้ำมะนาวบนโต๊ะ
อาหารที่ฉินจวิ้นเฟยสั่งมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว เขาหยิบมีดและส้อมขึ้นมาแล้วมองมาที่ฉัน “ฉันยังไม่ได้กินข้าว ขอกินก่อนนะ เธอกินของหวานก่อนก็ได้”
“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรฉันขอกลับก่อน” ฉันวางแก้วลงและลุกขึ้นทันที สีหน้าของฉินจวิ้นเฟยเปลี่ยนไปทันที
“ลั่วอีอี” เขาเรียกฉันด้วยชื่อและนามสกุล ใบหน้าของเขาหม่นหมองเล็กน้อย ฉันยืนมองเขาอยู่กับที่ รู้สึกขยะแขยงกับพฤติกรรมตีหน้าไหว้หลังหลอกของฉินจวิ้นเฟย
“ ถ้าผมเดาไม่ผิด ในห้องนั้นต้องมีแม่คุณอยู่หรือไม่ก็มีเศรษฐีของคุณอยู่ ถ้าคุณไม่กลัวว่าพวกเขาจะเห็นผม คุณก็มานั่งนิ่งๆแล้วกินข้าวเป็นเพื่อนผม” ฉินจวิ้นเฟยมีการแสดงออกที่เย็นชาในดวงตาของเขา
ฉันรู้สึกอยากหัวเราะออกมา เมื่อกี้ฉินจวิ้นเฟยยังยิ้มแย้มท่าทางดูอ่อนโยน แต่ตอนนี้เขากลับกำลังขู่ฉันงั้นหรอ นี่มันน่าสนใจจริงๆ
นี่เรียกว่าเจรจาก่อนหากไม่ได้ผลค่อยใช้กำลังหรือเรียกว่าใช้วิธีนิ่มทั้งแข็ง?
ฉันกอดอกมองเขาราวกับกำลังคิดไตร่ตรองถึงประโยคที่เขาพูด จากนั้นก็นั่งลงอีกครั้ง
ฉันมองไปที่เขาด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มของฉันทำให้ฉินจวิ้นเฟยขนลุกเล็กน้อย และขมวดคิ้วอย่างไม่สามารถสังเกตเห็นได้
“ ดูเหมือนว่าผมจะเดาถูกแล้ว ในห้องนั้นคือใคร?… เศรษฐี?” เขาถามอย่างไม่แน่ใจ
“แม่ฉันเอง” ฉันพูดเบา ๆ และชำเหลืองมองเขาอย่างเย็นชา “อย่าคิดว่าทุกคนจะน่ารังเกียจเหมือนคุณกับจิ้นเหวินเชี่ยน”
ฉันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและท่าทางรังเกียจ บอกฉินจวิ้นเฟยจากด้านข้างด้วยประโยคที่ว่า ฉันไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “เศรษฐี” พูดอีกอย่างคือในชีวิตฉันตอนนี้ไม่มีผู้ชายคนอื่น
ฉันพูดแบบส่งเดช แต่ฉันมั่นใจมากว่าฉินจวิ้นเฟยจะเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคของฉัน
แน่นอนใบหน้าของฉินจวิ้นเฟยเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา
“ผมรู้ว่าผมทำผิดต่อคุณ แต่พูดถึงคนเราก็ต้องมีช่วงที่ผิดพลาดบ้าง สิ่งที่ผมพูดกับคุณในร้านกาแฟวันนี้เป็นเรื่องจริงทั้งหมด อีอี เริ่มต้นใหม่กันเถอะ”
ฉินจวิ้นเฟยมองมาที่ฉัน น้ำเสียงของเขานุ่มนวลมาก เขามักจะมองฉันในขณะที่พูดราวกับว่าเขาต้องการเห็นปฏิกิริยาของฉัน
ฉันขมวดคิ้วและมองไปที่เขา ฉันไม่ได้รีบพูด ฉินจวิ้นเฟยดูเหมือนจะรู้สึกว่าความคิดของฉันยังไม่หนักแน่นพอและพูดต่อ: “ผมจะดูแลคุณและแม่ของคุณอย่างดี ถ้าคุณชอบบ้านหลังนี้และรถคันนี้ผมซื้อให้คุณเลยก็ได้ คุณก็ไม่จำเป็นต้องไปเช่าอีก แบบนี้คุณก็สามารถรับประกันได้ใช่ไหม? ”
ฮ่า……
ฉันแอบหัวเราะอยู่ในใจ ตอนนั้นขู่ แต่ตอนนี้ล่อซะแล้ว?
ในใจของฉินจวิ้นเฟย ฉันเป็นคนโลภขนาดนั้นเลยเหรอ?
แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ก่อนหน้านี้ฉันได้เงินเพียงสองแสนหนึ่งหมื่นหนึ่งพันสามร้อยสิบสี่หยวนเป็นเงินสินสอด สุดท้ายคนที่ขอเงินคืนกลับไปทั้งหมดตอนนี้มาบอกว่าจะซื้อบ้านและรถให้ฉันฉันประหลาดใจจริงๆ
“บ้านและรถเป็นชื่อฉันไหม?” ฉันตามถามเขา พลางมองไปที่ฉินจุนเฟยอย่างตั้งหน้าตั้งตารอคำตอบ
ฉินจวิ้นเฟยตะลึงเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่ฉันพูดราวกับว่าเขาไม่คาดคิดว่าฉันจะถามเขาแบบนั้น
เมื่อเห็นท่าทางตกใจและไม่คาดคิดของเขาฉันก็นึกขำอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าฉินจวิ้นเฟยอยากรับปากในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้ เขาแค่ให้เช็คเปล่ามาเพื่อหลอกให้ฉันดีใจ หรือพูดทำนอกว่าเขาอยากซื้อบ้านแต่งงานเหมือนเมื่อก่อน แต่เขากลับมีเงินไม่ถึงครึ่งของฉัน
MANGA DISCUSSION