ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 613 ผู้ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน
บทที่ 613 ผู้ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน
…………….
บทที่ 613 ผู้ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน
“นี่มัน…”
หลางเหยี่ยที่มองมาจากระยะไกลถึงกับตะลึงในความเปลี่ยนแปลง เหมือนทหารม้าเหล่านั้นที่โดนเล่นงาน เขาเองก็ไม่คิดว่ารถลากคันดังกล่าวจะมีปัญหาอะไร เพราะหากเป็นรถลากที่มีคนคุ้มกันรอบข้าง พวกเขาก็คงระมัดระวังตั้งแต่แรก แต่รถลากตรงหน้าเป็นเพียงรถลากที่มีคนนั่งอยู่ด้านใน รอบ ๆ ไม่มีการคุ้มกัน คนที่สามารถเดินทางด้วยรถลากเทียมม้าได้ย่อมต้องร่ำรวย คนเหล่านั้นปกติแล้วแทบจะไม่ได้มีฝีมืออะไร
แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้า มันเกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้มาก
“สารเลว! บุกไปฆ่าพวกมัน!” หลังได้สติ หลางเหยี่ยก็โกรธจัด เพราะทหารม้าไม่ใช่อะไรที่ฝึกฝนขึ้นมาได้ง่าย ๆ ขณะนี้สูญเสียไปแล้วถึงห้าคนภายในเวลาอันรวดเร็ว สำหรับฝ่ายเขาถือเป็นความเสียหายอันหนักหนาเกินจะกล่าว
แน่นอนว่าหากเป็นเพียงคนธรรมดาตายไปมากสักหน่อยเขาคงไม่ใส่ใจ แผ่นดินที่วุ่นวายเช่นทุกวันนี้ชีวิตมนุษย์ก็ไม่ต่างอะไรกับผักปลา แต่สิ่งที่ทำให้เขาโกรธคือกลุ่มคนที่กล้าต่อต้านและสังหารคนของตนต่อหน้าต่อตา มันคือการยั่วยุซึ่งหน้าและเพิกเฉยต่อความยิ่งใหญ่ของพวกเขา
มันคือประเด็นที่ไม่อาจทนได้!
ภายใต้คำสั่งการของหลางเหยี่ย ทหารม้าราวสามสิบคนบุกทะยานเข้าหาพวกอู๋ฝานอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นกองทหารม้าบุกเข้าไปแล้ว หลางเหยี่ยจึงเผยยิ้มโฉดชั่ว กลุ่มคนที่กล้าต่อต้านเขา ไม่ช้ามันก็จะต้องกลายเป็นศพที่สภาพดูไม่ได้
ทว่าความอวดดีของหลางเหยี่ยไม่อาจดำรงอยู่ได้นาน เพราะขณะนี้เองที่เขารู้สึกเจ็บตรงหัวใจราวถูกไฟเผา เพราะใช้ชีวิตอยู่บนปากเหวแห่งความตายและแม่น้ำเลือดมานาน ทำให้เขามีสัญชาตญาณรับรู้ถึงอันตราย ร่างกายจึงเคลื่อนหลบเลี่ยงไปด้วยตัวมันเอง
“ฟึ่บ!”
เพียงหลางเหยี่ยเคลื่อนหลบ ลูกธนูอันเยือกเย็นพลันยิงทะลุไหล่ของเขา และแรงอันมหาศาลของลูกธนูก็ทำให้เขาหล่นจากหลังม้าจนร่างกระแทกพื้น
หลางเหยี่ยแผดร้อง ขณะกึ่งนั่งกึ่งนอนกับพื้น สายตานั้นก็หันไปมองยังทิศทางที่ลูกธนูพุ่งมา บริเวณข้างรถลาก เขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่พร้อมเผยสีหน้าราวกับเสียดายที่ยิงพลาด ในมืออีกฝ่ายถือลูกธนูยาวพร้อมคันธนูสีดำเอาไว้
เห็นได้ชัดว่าลูกธนูเมื่อครู่นี้ใครเป็นคนยิงมา เพราะเมื่อครู่มัวแต่สนใจอูหย่าและลั่วเยวี่ย ทำให้ไม่ได้สนใจอีกสองคนที่อยู่บนรถลาก เพราะความประมาทจึงทำให้เขาเกือบตายคาที่โดยลูกธนูของอีกฝ่ายแล้ว
“ฆ่ามัน ฆ่าพวกแม่งให้หมด ฆ่าไม่ให้เหลือ!” หลางเหยี่ยที่โกรธจัดตะโกนออกมา เสียงนี้แผดคำรามบอกทหารชั้นยอดของตนที่ยังไม่ได้เคลื่อนไหวลงมือ
ลูกธนูเมื่อครู่จุดประกายไฟแห่งโทสะขึ้นมา เขาจึงอยากจะสับตัวบัดซบที่บังอาจเล่นงานตนเองให้กลายเป็นชิ้นเนื้อ!
อู๋ฝานถอนหายใจอย่างนึกเสียดาย เพราะมันพลาดไปเพียงนิดเดียว
เขาคือคนที่ยิงลูกธนูเมื่อครู่ เนื่องจากเป็นการยิงกะทันหันในช่วงที่หลางเหยี่ยไม่ทันสังเกตเห็น แต่ไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะมีสัญชาตญาณที่ดีจนรอดพ้น ลูกธนูปักโดนตัวเป้าหมายก็จริง แต่ไม่อาจสังหารให้ตายคาที่ และตอนนี้ที่หลางเหยี่ยสั่งให้ทหารชั้นยอดของตนเองบุกออกมาฆ่าฟัน เขาก็ยังสั่งให้ส่วนหนึ่งปิดล้อมตนเองเพื่อคุ้มกันเอาไว้ด้วย ทำให้อู๋ฝานไม่อาจเล็งยิงเป้าหมายเช่นเมื่อครู่ได้อีก
“วิชาธนูยังระดับต่ำเกินไปสินะ” อู๋ฝานบ่นพึมพำขณะโน้มสายธนูอีกครั้ง แต่เป้าหมายครั้งนี้ไม่ใช่หลางเหยี่ย แต่เป็นทหารกบฏที่กำลังบุกเข้ามา
วิชาธนูของชายหนุ่มยังคงเป็นแค่ระดับสูง เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาไม่ค่อยได้ฝึกซ้อม หากเป็นระดับมาสเตอร์ เมื่อครู่หลางเหยี่ยคงไม่มีทางหลบเลี่ยงพ้นแน่นอน
“ไว้มีเวลาคงต้องไปฝึกให้มากขึ้นแล้ว” อู๋ฝานปล่อยมือพร้อมกับลูกธนูที่พุ่งทะยานออกไปอีกครั้ง ทหารม้าที่กำลังบุกเข้ามาจากระยะไกลพลันต้องร่วงหล่นลงจากหลังม้าและแน่นิ่งกับพื้น
ปกติแล้วทหารม้าจะมีความได้เปรียบเหนือทหารราบ และทหารกบฏเหล่านี้ก็ไม่ได้ประมาทเหมือนตอนแรก ทำให้พวกอู๋ฝานตกที่นั่งลำบากอยู่พอสมควร
“ฆ่า!”
ขณะทหารม้าบุกเข้ามาตรงหน้าพวกอู๋ฝาน พวกเขาก็ตะโกนเสียงดังลั่น แม้ระหว่างทางจะโดนคนขวางไปบ้าง ทำให้พวกเขาไม่อาจใช้ความเร็วได้มากนัก ผลลัพธ์ที่ได้คือการบุกที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือแข็งแกร่ง กระทั่งถูกอู๋ฝานยิงเล่นงาน สองคนตายคาที่ไปแล้ว แต่พวกเขาเชื่อว่าด้วยสภาพปัจจุบัน การสังหารคนทั้งสี่ไม่ใช่ปัญหาแม้แต่น้อย
“ฆ่า!”
ขณะที่ทหารม้าเหล่านี้บุกเข้าหาและกำลังจะโจมตีเล่นงานพวกอู๋ฝาน คนหลายสิบคนพลันปรากฏตัวอย่างกะทันหันพร้อมยืนประจันหน้า
“รนหาที่ตาย!”
เมื่อกองทหารม้าเห็นมีคนคิดขัดขวางเส้นทางและคิดโจมตี ในใจพวกเขาก็แค่นเสียงเย้ยหยัน อาวุธในมือเงื้อขึ้นสูงกลางอากาศเตรียมฟันลงไปอย่างหนักหน่วง!
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
เสียงอาวุธปะทะกันดังให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง พร้อมประกายไฟแลบปะทุกลางอากาศ ความมั่นใจแต่เดิมของเหล่าทหารม้าไม่อาจสังหารกลุ่มคนที่โผล่มาขัดขวางอย่างกะทันหันได้ หลายคนกระทั่งถูกแรงกระแทกเล่นงานจนหล่นจากหลังม้า
เป็นไปได้ยังไง?!
ความสงสัยผุดปรากฏขึ้นในใจของเหล่าทหารม้า พวกเขาไม่อาจทราบได้ว่าเพราะอะไรถึงกลายเป็นแบบนี้ พวกเขาคือทหารม้า แม้จะไม่ได้เร่งความเร็วจนถึงที่สุด แต่มันก็เป็นอะไรที่คนธรรมดาไม่มีทางต้านรับเอาไว้ได้
ทหารม้าเหล่านี้ไม่อาจตระหนัก แต่หลางเหยี่ยที่มองสถานการณ์อยู่จากที่ไกล ๆ ทราบเหตุผล เพราะเขาทราบถึงตัวตนของคนเหล่านี้!
“นักรบโลกอสูร! พวกมันคือนักรบโลกอสูร! ทำไมพวกมันถึงมาที่นี่? กองทัพโลกอสูรบุกมาถึงที่นี่แล้วงั้นเหรอ?” หลางเหยี่ยอุทานด้วยอาการหวาดกลัว
แทบทุกคนในโลกมนุษย์ต่างต้องเคยได้ยินชื่อเสียงของนักรบโลกอสูรมาก่อน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้พบเห็น เพราะคนที่เคยเห็นยากจะมีโอกาสรอดชีวิตกลับมา แม้ตอนนี้พวกมันเหล่านั้นจะมาตั้งรกรากอยู่บนปลายจมูก ทว่าพื้นที่ดังกล่าวก็เป็นทุ่งรกร้างที่อยู่ไกลห่าง ดังนั้นจึงมีน้อยคนที่เคยเห็นนักรบโลกอสูรตัวจริง
แต่เมื่อครั้งที่หลางเหยี่ยยังเป็นพรานป่า เขาเคยพบกับนักรบโลกอสูรอยู่ครั้งหนึ่ง และเคยเห็นพวกมันต่อสู้ด้วยตาของตัวเอง ดังนั้นจึงทราบดีว่าพวกมันแข็งแกร่งแค่ไหน นักรบโลกอสูรเพียงสิบคนก็สามารถต่อสู้กับกองทัพประจำการของราชสำนักนับร้อยได้อย่างสูสีแล้ว แน่นอนว่ากองทัพประจำการที่กล่าวถึงเป็นเพียงกองทัพทั่วไป ไม่ใช่กองทัพหัวกะทิอย่างราชองครักษ์
ด้วยเหตุดังกล่าว พวกมันจึงไม่ใช่อะไรที่ทหารกบฏอย่างพวกเขาจะเทียบได้ แม้กองทหารม้ากบฏจะได้รับการฝึกจนมีฝีมือที่แข็งแกร่งกว่าทหารกบฏแห่งอื่น แต่หากนำไปเทียบกับทหารประจำการของราชสำนักก็ยังคงมีระยะห่างอยู่บ้าง และถ้าจะนำไปเทียบกับนักรบโลกอสูรยิ่งไม่ควรนำไปเปรียบ
โชคดีที่หลังหลางเหยี่ยสำรวจมองก็พบว่านักรบโลกอสูรไม่ได้มีจำนวนมากมายอะไร อย่างน้อยก็ทำให้เขาพอจะโล่งใจได้บ้าง
‘น่าจะเป็นหน่วยย่อยจากโลกอสูร ดูจากจำนวนที่น่าจะมีราวยี่สิบคน ถ้ามีแค่จำนวนเท่านี้ เราน่าจะยังพอจัดการได้อยู่’ หลางเหยี่ยเริ่มครุ่นคิด
หลังคิดได้ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งทันที “ทุกคนสังหารพวกมันให้ข้า สังหารพวกชุดเกราะดำนั่นและคนของรถลากคันนั้นให้หมดสิ้น!”
เมื่อออกคำสั่ง ทหารม้าทั้งหมดรวมถึงทหารกองทัพกบฏที่ไล่ล่าผู้อพยพพลันกรูเข้าไปหาพวกอู๋ฝาน กระทั่งทหารม้าที่คุ้มกันหลางเหยี่ยเอาไว้เมื่อครู่ก็ออกไปด้วยเช่นกัน ขอเพียงส่งคนไปเป็นกำแพงมนุษย์ปิดล้อม หลางเหยี่ยก็พอจะรู้สึกปลอดภัยได้บ้าง ต่อให้อีกฝ่ายสามารถยิงธนูได้อีกครั้ง ทว่าก็คงไม่มีทางยิงฝ่ากำแพงมนุษย์ที่หนาขนาดนั้นออกมาได้
…………….