ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 611 ความโกลาหล
บทที่ 611 ความโกลาหล
…………….
บทที่ 611 ความโกลาหล
“ฆ่า ฆ่าให้หมด!”
“ช่วงชิงของของพวกมันมา!”
“เก็บคนหนุ่มที่แข็งแรงเอาไว้ เด็กกับคนแก่ฆ่าให้หมด!”
เสียงตะโกนแห่งความโกลาหลดังขึ้น อู๋ฝานและคณะเห็นกลุ่มคนกำลังกวัดแกว่งสารพัดอาวุธ บางคนสวมชุดเกราะที่แตกพัง บ้างก็เสื้อผ้ารุ่งริ่งกำลังมุ่งหน้าเข้ามา อีกฝ่ายคือกลุ่มคนที่ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น สีหน้าและท่าทีของพวกเขาดุร้าย อาวุธในมือกวัดแกว่งไปมาโจมตีบรรดาผู้อพยพที่ไม่มีเรี่ยวแรงและผอมแห้ง
คนเหล่านี้ที่กำลังมุ่งหน้ามาเป็นกองทัพกบฏอย่างไม่ต้องสงสัย แต่จากสภาพชุดที่แต่งกาย พวกเขาไม่ได้ดูดีไปกว่าเหล่าผู้อพยพสักเท่าไหร่ หากไม่มีอาวุธในมือกับสีหน้าที่ดูคลุ้มคลั่ง ก็คงมองว่าเป็นผู้อพยพเหมือนคนอื่นในที่นี้
ไม่นานมานี้พวกเขาอาจจะเป็นกลุ่มผู้อพยพ ทว่าตอนนี้กลับกำลังใช้อาวุธในมือเล่นงานคนอื่นอย่างไร้ความปรานี กระทั่งมีท่าทีคลุ้มคลั่งกระหายเลือดยิ่งกว่ากองทัพประจำการแห่งราชสำนักเสียด้วยซ้ำ
บางทีอาจเพราะความหิวโหยกัดกินจิตใจมานาน จึงทำให้พวกเขาสูญเสียเหตุและผล สุดท้ายจึงเริ่มนึกคิดเรื่องการฆ่าฟันกับปล้นชิง กระทั่งสนุกไปกับเสียงร้องโหยหวนของผู้คนที่กำลังสิ้นหวัง
“นายท่าน พวกเราจะทำยังไงดีขอรับ?” ลั่วหยางเอ่ยถามอู๋ฝาน
เดิมนั้นรถลากของพวกเขาก็ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องอะไรกับผู้อพยพเหล่านี้ แต่อีกฝ่ายถูกกลุ่มทหารกบฏโจมตี รถลากจึงไม่อาจขยับเพราะกลุ่มคนที่กำลังหนีตายท่ามกลางความโกลาหล
ขณะเดียวกันนี้เอง ท่ามกลางผู้อพยพที่มีเพียงรถเข็นคันเตี้ยไม่กี่คัน รถลากของพวกเขาก็โดดเด่นท่ามกลางฝูงชนขึ้นมา
“อย่าเพิ่งแตกตื่น ดูให้ดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน” อู๋ฝานตอบกลับ
สถานการณ์ปัจจุบันค่อนข้างชวนให้ลำบากใจ เพราะอยู่ท่ามกลางฝูงชนทำให้พวกเขาไม่อาจขยับรถลากไปไหน ต่อให้คิดจะบุกฝ่าออกไปก็ยังเป็นเรื่องยาก
แต่การละทิ้งรถลากก็ไม่ใช่ทางเลือกเช่นกัน พวกเขายังต้องเดินทางอีกไกล และจากที่นี่อยู่ห่างจากเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดพอสมควร หากไม่มีรถลากก็เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะไปถึงเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อนฟ้าจะมืด ด้วยเหตุนั้น บางทีพวกเขาอาจต้องค้างแรมกลางป่ากลางเขา
ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอู๋ฝานไม่ต้องการแบบนั้น
ด้วยเหตุดังกล่าว หากไม่จำเป็นหรือจวนตัวจนถึงที่สุด พวกเขาก็จะไม่ทิ้งรถลาก
“ตึก ตึก ตึก!”
ขณะนี้เองที่ด้านหลังกลุ่มทหารกบฏเริ่มปรากฏเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น อู๋ฝานและคณะหันไปมองจึงเห็นม้านับร้อยตัวกำลังมุ่งหน้ามา แม้พวกมันจะมีขนาดหลากหลาย แต่เพียงมองก็ทราบว่าไม่ใช่ม้าที่ใช้สำหรับออกศึกสงคราม แต่เมื่อมีม้าจำนวนมากวิ่งมาพร้อมกัน ภาพที่เกิดขึ้นก็ยังถือได้ว่ายิ่งใหญ่
บนหลังม้าเหล่านั้นคือกลุ่มคนที่น่าจะเป็นทหารและสวมใส่ชุดที่ค่อนข้างดี อาวุธในมือของพวกเขามีสภาพที่ดีกว่าทหารกองทัพกบฏที่บุกเข้ามาก่อนหน้านี้ อย่างน้อยชุดเกราะของพวกเขาก็สภาพดี อาวุธที่ถือในมือก็เป็นกระบี่ยาว ดาบใหญ่ หอก และอาวุธมีคมอื่น ๆ ไม่ใช่แท่งไม้ เสียม จอบ หรือกระบี่ไม้ไผ่
“ดูเหมือนความแข็งแกร่งของกองทัพกบฏพวกนี้จะไม่ใช่เล่น ๆ เลย” อูหย่ามองกลุ่มคนที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาพลางแสดงความกังวล
ทหารม้าที่สวมชุดเกราะซึ่งถือได้ว่าดูดีตามมาด้านหลัง เห็นได้ว่าเป็นกลุ่มเดียวกับทหารกบฏที่กำลังมุ่งหน้ามาปล้นสะดม เมื่อผนวกกำลังรวมเข้าด้วยกันแล้วก็ถือว่าแข็งแกร่งอยู่พอสมควร
อู๋ฝานพยักหน้ารับเป็นการเห็นพ้อง ในยุคนี้แม้กองทัพกบฏจะแตกแยกย่อยออกเป็นหลายฝ่าย แต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็คือคนกลุ่มแรก ๆ ที่ลุกขึ้นสูง อาวุธและเครื่องมือของพวกเขาไม่ได้ดีอะไร ส่วนใหญ่จะอาศัยจำนวนในการบุกโจมตีเล่นงาน ด้วยกำลังดังกล่าว พวกเขามักจะไปกลั่นแกล้งรังแกคนธรรมดา เพราะหากพบกองทัพประจำการแห่งราชสำนักที่แข็งแกร่งขึ้นมาก็จบสิ้น พวกเขาไม่ใช่ทหารที่ถูกเคี่ยวกรำผ่านศึกสงคราม ดังนั้นจึงไม่มีทางต่อกรทหารประจำการที่แท้จริงได้
แต่ก็เห็นได้ว่ากลุ่มคนที่ปรากฏตรงหน้านับได้ว่าเป็นกลุ่มทหารม้าจำนวนนับร้อยคน พวกเขาต่างก็เป็นทหารที่สวมชุดเกราะดีเยี่ยม เทียบได้กับทหารประจำราชสำนัก ความแข็งแกร่งของพวกเขาในกองทัพกบฏคงจะโดดเด่นเป็นพิเศษ
อย่างน้อยพวกโฉวหย่งเชาที่เคยบุกโจมตีหมู่บ้านเร้นลับก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่านี้ จำนวนคนที่โฉวหย่งเชานำมามีไม่น้อยก็จริง แต่เมื่อเทียบเปรียบกับกลุ่มทหารม้าที่ดีเยี่ยมตรงหน้าเหล่านี้ ก็ยังถือได้ว่าด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
“ชักจะมีปัญหาแล้วสิ” อู๋ฝานเอ่ยขึ้นมา
พวกเขากำลังติดอยู่กลางกลุ่มคน ไม่ช้าก็เร็วกองทัพกบฏจะเห็นพวกตน และเมื่อไหร่ที่ถูกพบย่อมไม่มีทางสลัดพ้น คนเหล่านี้มีเป้าหมายคือการปล้นชิง กระทั่งผู้อพยพที่หิวโหยอยู่แล้วก็ไม่มีการละเว้น ดังนั้นยิ่งไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปล่อยหมูอ้วนเช่นรถลากอันสะดุดตาของอู๋ฝานไป
“ฆ่าให้หมด! ข้าไม่ต้องการคนแก่และเด็กที่เป็นภาระ เอามาแต่คนหนุ่มสาว!” ท่ามกลางกองทหารม้าจำนวนนับร้อยคน มีชายร่างกำยำผู้หนึ่งนั่งอยู่บนม้าศึกที่ดูแข็งแกร่ง อีกฝ่ายควบม้ามาอยู่แถวหน้าของกองทหารม้า สีหน้าท่าทีดูจริงจังขณะมองทหารกบฏเริ่มเข่นฆ่าผู้อพยพไม่วางตา
หลางเหยี่ยคือหัวหน้ากองทัพกบฏ เดิมเป็นพรานป่า ทว่าภายหลังออกรวบรวมคนก่อกบฏ เผาบ้านเรือน ฆ่าฟันผู้คน และออกปล้นสะดมไปทั่วแห่งหน เขาเป็นคนมีนิสัยโหดร้ายกระหายเลือดและบ้าผู้หญิง อีกทั้งยังใช้ดาบยาวได้เก่งกาจและแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปอยู่พอสมควร
อู๋ฝานส่งวิชาตรวจสอบไปยังเป้าหมายที่อยู่ไกล ๆ เมื่อพิจารณาจากความจริงที่ว่าอีกฝ่ายยังไม่พบพวกตน ก็เห็นได้ว่าหลางเหยี่ยอ่อนแอกว่าเขาอยู่พอสมควร
แท้จริงแล้ว ต่อให้ไม่ใช้วิชาตรวจสอบอู๋ฝานก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นหัวหน้ากองทัพกบฏ เพราะม้าที่อีกฝ่ายขี่ดูแข็งแกร่ง ชุดเกราะที่สวมใส่ก็มีสภาพดีที่สุด อีกทั้งจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากร่างยังมากกว่าคนอื่น
หลางเหยี่ยไม่ได้ตระหนักว่าถูกอู๋ฝานใช้วิชาตรวจสอบใส่ตนเอง สีหน้าของเขายังคงแสดงอาการตื่นเต้นขณะดูคนของตนเองสังหารเหล่าผู้อพยพราวกับอิ่มเอม
คนธรรมดาไม่มีใครชอบความโกลาหลและวุ่นวาย เพราะท่ามกลางดินแดนเช่นนั้นชีวิตของพวกเขาเลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์ในป่า ขณะที่หลางเหยี่ยกำลังดื่มด่ำกับความโกลาหล ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นก็ทำให้ทั้งร่างของเขาตระหนักรู้ ว่าตนเองชื่นชอบความเป็นอยู่แบบนี้อย่างถึงที่สุด กระทั่งหวังจะทำให้มันยิ่งวุ่นวายมากขึ้น มันเป็นแรงทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ก็ไม่ผิด!
ดังนั้นตอนที่ปัญหามาเยือนถึงตน เขาจึงนำกลุ่มคนก่อการกบฏและตั้งกองทัพกบฏขึ้นมา จนสุดท้ายเริ่มหลงผิด และยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ยิ่งรุนแรงและแข็งแกร่งมากขึ้น
กลุ่มคนจำนวนมากในฝั่งกองทัพกบฏของหลางเหยี่ยต่างถูกบังคับให้มาติดตามรับใช้ เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีอาหารให้ได้กิน เมื่อใดเข้าไปอยู่ในวงจรอุบาทว์ดังกล่าวแล้ว ก็ยิ่งยากที่จะถอนตัวออกมาเพราะหลงมัวเมา พวกเขาเริ่มปล้นชิงชาวบ้าน ตระกูลใหญ่ กระทั่งลุกลามมาจนถึงเหล่าผู้อพยพ เรียกได้ว่าโหดเหี้ยมจนไม่หลงเหลือความดี พวกเขาต้องเอาตัวรอดเช่นนี้ในยุคแห่งความโกลาหล เพราะมันคือหนทางเดียวที่จะทำให้มีชีวิตอยู่ต่อ
ดังนั้นแม้เหล่าผู้อพยพที่อยู่ตรงหน้าจะมีสภาพเลวร้ายเพียงใด พวกเขาก็ยังปล้นชิงได้หน้าตาเฉย ทั้งยังฆ่าก่อนแล้วค่อยชิงของที่ต้องการ!
“หือ?” หลางเหยี่ยที่ดูเรื่องราวอยู่ พลันสะดุดตาเห็นรถลากของอู๋ฝานที่ถูกเบียดเสียดท่ามกลางกลุ่มคนที่หนีตาย
“ไปปล้นรถลากคันนั้นมาให้ข้า จำไว้ว่าอย่าทำร้ายม้า ยุคนี้ม้ามีค่ายิ่งกว่าชีวิตมนุษย์” หลางเหยี่ยชี้นิ้วไปยังรถลากของพวกอู๋ฝานก่อนจะออกคำสั่ง
…………….