ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 605 กลับคำ
บทที่ 605 กลับคำ
……….
บทที่ 605 กลับคำ
“นายน้อยอู๋ ที่นี่ยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ จื่อฉีกับฉันเดินทางไปทั่วประเทศอยู่บ่อย ๆ ได้แวะเวียนไปร้านอาหารมากมายหลายแห่ง ร้านอาหารที่ดีเหมือนที่นี่ยากจะหาเจอจริง ๆ ค่ะ” เมื่อพี่จ้าวเข้ามายังห้องส่วนตัวจึงเอ่ยชื่นชม
ระหว่างทาง เธอเห็นว่ากิจการของที่นี่เฟื่องฟูขนาดไหน ทั้งยังได้เห็นคนมากมายที่เคยพบจากงานเลี้ยงของตระกูลเจียงก่อนหน้านี้มาใช้บริการที่นี่ การที่กลุ่มคนเหล่านั้นมาเป็นลูกค้า มันก็มากพอจะบอกได้แล้วว่าร้านโลกในแหวนได้รับความนิยมในเจียงโจวเพียงไหน
อู๋ฝานยิ้มตอบรับ “ร้านโลกในแหวนของผมก็เหมือนยาทาลบรอยแผลเป็นนั่นแหละครับ มันคือสิ่งที่ดีที่สุดของวงการ”
เมื่อได้ยินชายหนุ่มเอ่ยถึงยาทาลบรอยแผลเป็น ทั้งพี่จ้าวและสวี่จื่อฉีต่างก็เผยสีหน้าผิดธรรมชาติออกมา เขาย่อมเห็น ในใจจึงรู้สึกสับสนและสงสัย
ภายใต้การดูแลของอู๋ฝาน อาหารถูกเรียงรายมาเสิร์ฟในห้องส่วนตัวอย่างรวดเร็ว ระหว่างนี้พี่จ้าวชมอาหารแต่ละจานไม่หยุด ส่วนสวี่จื่อฉีราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว บ่อยครั้งจะเผยอาการราวกับเหม่อลอย
“คุณหนูสวี่รู้สึกไม่สบายรึเปล่าครับ? หรือว่ามีเรื่องอะไร?” อู๋ฝานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ฉัน…” สวี่จื่อฉีลังเลที่จะพูดออกมา แต่แล้วพี่จ้าวกลับพูดแทรก
“หลายวันมานี้จื่อฉีเหนื่อยไปหน่อย ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” พี่จ้าวตอบกลับ
ชายหนุ่มมองสวี่จื่อฉีก่อนจะพยักหน้ารับ ทว่าในใจไม่เชื่อคำอธิบายดังกล่าว
หลังทานอาหารไปสักระยะ อู๋ฝานจึงเริ่มพูดเข้าเรื่อง
“คุณหนูสวี่ได้ทดลองสินค้าทั้งหมดแล้วใช่ไหมครับ ตอนที่พวกเราพูดคุยกันผ่านโทรศัพท์ผลออกมาก็น่าพึงพอใจ ตอนนี้พวกเรามาพูดคุยเรื่องการจ้างงานเลยดีไหมครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
สวี่จื่อฉีมองข้อมือขวาของตัวเอง รอยแผลเป็นที่อยู่กับเธอมานานหลายปีจางลงไปมาก หากให้พูดออกมา เธอพึงพอใจในสินค้าของอีกฝ่ายอย่างถึงที่สุด
แต่หญิงสาวก็เป็นเพียงดาราในสังกัด ไม่ใช่เถ้าแก่ใหญ่หรือประธานบริษัท หลายส่วนในงานเธอไม่มีอำนาจตัดสินใจ แม้ด้วยสถานะของตนในวงการบันเทิง เถ้าแก่ใหญ่จะต้องไว้หน้าและนับถือบ้าง ทว่ามันไม่ได้หมายความว่าเธอสามารถตัดสินใจอะไรก็ได้ตามใจอยาก โดยเฉพาะกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกำไรของบริษัท ความเห็นของเธอไม่มีความสำคัญแม้แต่น้อย
สำหรับบริษัท เธอเป็นแค่เครื่องมือใช้ทำมาหากินและเรียกเงินทอง ก่อนหน้านี้ตนไม่รู้ตัว เพราะไม่ว่าจะเถ้าแก่หรือพี่จ้าวต่างก็สุภาพมาโดยตลอด แต่พอเป็นเรื่องแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับสินค้าของอู๋ฝานที่เธอยอมรับด้วยตัวเอง จึงได้ทราบถึงนิสัยแท้จริงของเถ้าแก่ที่เคยเชื่อว่าดีมาตลอด ทั้งยังได้ทราบว่าก่อนหน้านี้ตัวเองอ่อนต่อโลกขนาดไหน
การตัดสินใจก่อนหน้านี้ของเธอไม่สอดคล้องกับกำไรที่ทางบริษัทต้องการ ดังนั้นพี่จ้าวและเถ้าแก่จึงไม่ยอมทำตามสิ่งที่เธอต้องการ แต่เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเงินทองแบบนี้ ต่อให้เป็นเธอก็ไม่มีสิทธิ์พูดหรือว่าตัดสินใจอะไร
เพราะเหตุนั้นเธอจึงรู้สึกละอาย ทั้งยังสิ้นหวัง เพราะตนพึงพอใจกับสินค้าของอู๋ฝานจากก้นบึ้ง ขณะนี้จึงรู้สึกผิดจนไม่กล้าสู้หน้าหรือพูดตอบ
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของอู๋ฝาน สวี่จื่อฉีจึงไม่ทราบว่าควรจะพูดอะไร พี่จ้าวที่อยู่ข้าง ๆ หันมองก่อนจะเอ่ยกับชายหนุ่มด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแทน “นายน้อยอู๋ เรื่องจ้างจื่อฉีเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์นั้น ฉันเป็นคนรับหน้าที่การเจรจาต่อรองค่ะ เรื่องการจ้างงานแบบนี้เธอไม่มีอำนาจตัดสินใจแทนบริษัท”
“โห? งั้นพี่จ้าวคิดยังไงกับเรื่องที่สวี่จื่อฉีจะมาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้สินค้าของบริษัทผมล่ะครับ?” อู๋ฝานเลิกคิ้วขึ้นสูง ในใจกำลังลอบครุ่นคิดถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น อย่างไรคนที่เขาพูดคุยด้วยก็เป็นสวี่จื่อฉี เรื่องเดิมพันก่อนหน้านี้เป็นการตกลงกันเพียงสองคน ขณะนี้พี่จ้าวอ้างเรื่องการเป็นคนเจรจาทางธุรกิจขึ้นมาแทน สรุปคือการเดิมพันก่อนหน้านี้ไม่มีผลอะไรทั้งสิ้น
จากท่าทีผิดปกติของสวี่จื่อฉีตั้งแต่พบหน้าจนถึงตอนนี้ อู๋ฝานก็พอจะเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องมีเรื่องเกิดขึ้น
“สินค้าของนายน้อยอู๋มีคุณภาพดีเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นการตอบรับเป็นแบรนด์แอมบาสจึงไม่มีปัญหาอะไรค่ะ” พี่จ้าวยิ้มตอบรับ “พวกเราหวังจะได้ร่วมงานกับนายน้อยอู๋นะคะ”
อู๋ฝานพยักหน้าตอบรับ “งั้นเรื่องค่าจ้าง…”
“เนื่องจากสินค้าของนายน้อยอู๋คุณภาพดีเยี่ยม ทางเราเองก็ต้องการเชื่อมมิตรไมตรีด้วย ดังนั้นจึงไม่ขอเรียกค่าจ้างมากมายค่ะ” พี่จ้าวตอบกลับ
“ไม่มากที่ว่าคือเท่าไหร่ครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“สิบห้าล้านกับสัญญาสองปี นายน้อยอู๋คิดยังไงคะ?” พี่จ้าวตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยังคงยิ้มแย้ม
เมื่อได้ยินคำตอบของพี่จ้าว สวี่จื่อฉีก็ยิ่งก้มศีรษะลงต่ำ สีหน้าของเธอกำลังบอกว่ารู้สึกผิดอย่างรุนแรง
“สิบห้าล้านกับสองปี?” อู๋ฝานทวนคำ
“ใช่ค่ะ” พี่จ้าวตอบรับ “เพราะทางเราต้องการผูกสัมพันธ์กับทางนายน้อยอู๋ด้วย หากเป็นคนอื่นที่ต้องการจ้างจื่อฉีเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ อย่างน้อยก็ต้องมีสิบแปดล้านขึ้นไปค่ะ”
“งั้นผมควรจะต้องรู้สึกติดค้างและขอบคุณใช่ไหมครับ?” อู๋ฝานเลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ยถาม
“นายน้อยอู๋สุภาพเกินไปแล้วค่ะ นับจากนี้พวกเราถือเป็นมิตรกัน ไม่มีอะไรที่เรียกว่าติดค้างได้หรอกค่ะ” พี่จ้าวตอบกลับ
“แต่ ราคาที่ผมตกลงเอาไว้กับคุณหนูสวี่ก่อนหน้านี้ไม่ใช่จำนวนนี้นะครับ” ชายหนุ่มตอบ
พี่จ้าวมองสวี่จื่อฉีก่อนจะตอบกลับ “ฉันเองก็ทราบเรื่องการเดิมพันระหว่างนายน้อยอู๋และจื่อฉีนะคะ แต่เพราะจื่อฉีไม่รู้ว่าทำอะไรลงไป ปกติแล้วเธอไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องค่าจ้างและสัญญาค่ะ ดังนั้นราคานี้จึงถือว่าถูกต้องแล้ว ข้อเสนอที่เคยเดิมพันกันไปนั้น เป็นเธอทำไปเพราะไม่รู้ความ จนทำให้นายน้อยอู๋เข้าใจผิดไปค่ะ”
“คำพูดนี้หมายความว่าอะไรครับ? คำสัญญาที่คุณหนูสวี่รับปากไม่มีผลใช่ไหม?” อู๋ฝานถามกลับ
“ใช่ค่ะ” พี่จ้าวพยักหน้าตอบ “พวกเราต้องขออภัยที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้กับคุณอู๋ด้วยนะคะ”
“คุณหนูสวี่ คิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้บ้างครับ?” อู๋ฝานหันไปถามหญิงสาวที่นิ่งเงียบมาตลอด ความประทับใจของเขาที่มีให้เธอซึ่งเริ่มกลับมาดีแล้ว มันพังทลายลงหมดเพราะการกระทำครั้งนี้
“ฉัน…” สวี่จื่อฉีอ้าปากอยากจะเอ่ยอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็เอ่ยออกมาได้เพียง “ฉันขอโทษค่ะ”
อู๋ฝานมองเธอ จากนั้นก็มองพี่จ้าว สุดท้ายจึงพยักหน้าตอบรับ “ผมเข้าใจแล้วครับ”
“ค่ะนายน้อยอู๋ เรื่องสัญญาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์นั้น พวกเราตกลงทำสัญญากันช่วงไหนดีคะ?” พี่จ้าวคิดว่าอู๋ฝานยอมรับจึงตอบกลับ “จื่อฉียังอยู่ที่เจียงโจวอีกหนึ่งวัน หลังจากนั้นพวกเราจะเดินทางกลับ เรื่องสัญญาเป็นวันพรุ่งนี้ดีไหมคะ?”
“คุณหนูสวี่สมกับเป็นดาราระดับประเทศจริง ๆ ตารางงานแน่นจนไม่มีเวลาว่าง” อู๋ฝานยิ้มตอบ
“นายน้อยอู๋ก็พูดเกินไปค่ะ” พี่จ้าวตอบรับ “จื่อฉียังเป็นเด็กในวงการที่ต้องมีการสนับสนุนจากคนอย่างนายน้อยอู๋อยู่ค่ะ”
“ไม่หรอกครับ ผมไม่มีคุณสมบัติแบบนั้นหรอก” ชายหนุ่มพูดจบจึงลุกพรวดขึ้นมา “แล้วผมก็ไม่มีเวลามาล้อเล่นด้วยครับ”
จบคำ อู๋ฝานที่ลุกขึ้นจึงเดินออกไป
“เอ่อ… นายน้อยอู๋จะทำอะไรคะ?” พี่จ้าวถามด้วยความสับสน
“เรื่องแบรนด์แอมบาสเดอร์ ถือซะว่าผมไม่เคยพูดถึงมาก่อนก็แล้วกัน ผมคงจ้างคุณหนูสวี่ไม่ได้” อู๋ฝานตอบกลับโดยไม่หันไปมอง “ส่วนพวกคุณก็ทานอาหารกันไป มื้อนี้ถือว่าผมเลี้ยง”
เพียงจบคำ ชายหนุ่มก็เปิดประตูห้องส่วนตัวและก้าวออกไป ทิ้งพี่จ้าวและสวี่จื่อฉีเอาไว้ในห้องที่เงียบงัน
ผ่านไปสักพัก พี่จ้าวจึงเริ่มเอ่ยด้วยความโกรธ “คนอะไรกันเนี่ย ไม่มีมารยาทเลยสักนิด! อยากพูดอะไรก็พูด แล้วก็ไปซะอย่างนั้น ไม่พอใจราคาก็ต้องต่อรองสิ พวกคนรวยก็เป็นกันแบบนี้ ไม่มีอารยธรรมเลยสักนิด!”
สวี่จื่อฉีนั่งมองอาหารตรงหน้าอย่างเงียบงันโดยไม่พูดอะไรออกมา
……….