ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 600 มันได้ผล
บทที่ 600 มันได้ผล
……….
บทที่ 600 มันได้ผล
คำอธิบายของชิงหลีค่อนข้างเปลี่ยนแปลงไปบ้าง หากเทียบกับการใช้วิชาตรวจสอบเมื่อครั้งก่อน ส่วนเรื่องทักษะทั้งหลาย อู๋ฝานพบว่าไม่ผิดคาดแต่อย่างใด
และจากคำอธิบายที่ได้รับมานั้น ก็ได้เห็นว่าการเติบโตของชิงหลีเป็นไปได้ด้วยดี โดยเฉพาะทักษะกลืนกินที่ทำให้มันสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ ส่วนทักษะอื่น ๆ ก็ดีไม่แพ้กัน ปัจจุบันแม้มันจะเลเวลสามสิบ แต่ก็สามารถต่อกรกับบอสมอนสเตอร์เลเวลห้าสิบได้ด้วยซ้ำ เรียกได้ว่ามีทั้งศักยภาพและความแข็งแกร่ง ทำให้เขาค่อนข้างคาดหวังว่าวันหนึ่งมันจะเติบโตเต็มที่จนเก่งกาจยิ่งกว่านี้
‘ชักสงสัยว่าจะรับแมวเมฆหิมะเป็นสัตว์เลี้ยงได้ไหม เจ้านั่นก็แข็งแกร่งไม่น้อย’ ในห้วงความคิดของเขากำลังนึกถึงมิตรสหายผู้ติดตามตัวน้อยจากหมู่บ้านเร้นลับ
เพราะแม้ก่อนหน้านี้แมวเมฆหิมะจะติดตามเขามาตลอด แต่ก็ไม่คล้ายจะมีท่าทีได้เป็นสัตว์เลี้ยง ไม่ทราบว่าเพราะจังหวะเวลาไม่ถูกต้อง หรือเพราะตัวแมวเมฆหิมะไม่ต้องการเป็นสัตว์เลี้ยงกันแน่
ดังนั้นอู๋ฝานจึงตัดสินใจว่า เมื่อไหร่กลับไปยังหมู่บ้านเร้นลับแล้วจะไปพบมันอีกครั้ง ในเมื่อมีสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่งให้เห็นตรงหน้า หากพลาดไปก็นับว่าน่าเสียดายแย่
ตำแหน่งคนขับรถลากครั้งนี้ได้ส่งกลับคืนให้ลั่วหยางแล้ว ขณะนี้พวกเขากำลังเดินทางไปยังอาณาจักรหนานปิงกันต่อ
ในช่วงเย็น คนทั้งสี่ก็หาโรงเตี๊ยมภายในเมืองเพื่อพักผ่อน ครั้งนี้อูหย่าไม่ได้เร่งขอให้อู๋ฝานเดินทางต่อแล้ว รวมถึงหยุดล้อเลียนชายหนุ่มเรื่องที่ไม่สามารถหลับนอนกลางป่ากลางเขาด้วย
เพราะเหตุการณ์ได้พิสูจน์แล้วว่าอู๋ฝานทั้งแข็งแกร่งและกล้าหาญถึงขนาดไหน
เมื่อกลับสู่โลกความเป็นจริง ก่อนจะรุ่งสาง อู๋ฝานนอนอยู่บนเตียงอยู่สักพัก ก่อนจะลุกขึ้นเตรียมไปมหาวิทยาลัยเจียงโจว
วันนี้เขามีคาบเรียนต้องเข้าสอน
แม้ด้วยฐานะปัจจุบันของอู๋ฝานจะไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาตำแหน่งอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเจียงโจวแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะลาออกจากงาน กระทั่งรู้สึกสนุกกับช่วงเวลาในมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ แม้จะอยู่ในฐานะอาจารย์ แต่การได้เห็นนักศึกษาต่างมีความกระตือรือร้นก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุขได้
…
“จื่อฉี เธออาบน้ำรึยัง? พวกเราได้เวลาออกเดินทางแล้วนะ” ที่โรงแรม พี่จ้าวเคาะประตูห้องสวี่จื่อฉีตั้งแต่เช้าตรู่
เธอต้องรอหลังเคาะอยู่นานประตูจึงจะเปิดออก
“จื่อฉี เธอเป็นอะไรไปน่ะ? ฉันเคาะประตูอยู่ตั้งนานแต่ก็ไม่มีเสียงตอบ” พี่จ้าวที่เข้ามาจึงเริ่มบ่น
แต่สวี่จื่อฉีกำลังจ้องมือขวาของตัวเองราวกับเหม่อลอย ทั้งยังเมินเฉยคำถามของอีกฝ่าย
“พี่จ้าว ฉันว่ารอยแผลเป็นนี่ดูจางลงนะ” สวี่จื่อฉีไม่ตอบคำถามของพี่จ้าว สายตาของเธอยังคงมองแผลเป็นบริเวณข้อมือด้วยสีหน้าฉงนและงุนงง
“มันจางลงงั้นเหรอ?” พี่จ้าวมองตามสวี่จื่อฉี “เธอกำลังบอกว่าแผลเป็นที่ข้อมือจางลงงั้นเหรอ? แต่สำหรับฉันมันดูไม่ค่อยต่างจากเมื่อวานเลยนะ ฉันรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ ตลอดมาเธออยากจะกำจัดแผลเป็นนี่ แต่พวกเราลองด้วยวิธีการต่าง ๆ มามากมายแล้ว ทว่าสุดท้ายไม่เคยมีอะไรสำเร็จจนต้องยอมแพ้กันไปนิ”
“ไม่ค่ะพี่จ้าว ถ้ามองให้ดีจะเห็นว่ามันจางลงจริง ๆ นะคะ” สวี่จื่อฉีเอ่ยด้วยความตื่นเต้นยินดี
พี่จ้าวก้มหน้าลงเพื่อมองให้แน่ชัด แม้จับจ้องอยู่นาน แต่เธอก็ยังคงส่ายศีรษะ “ฉันไม่เห็นว่ามันต่าง”
“มันจะไม่ต่างได้ยังไงกันล่ะคะ เห็นชัด ๆ ว่ามันจางลงกว่าเมื่อวานตั้งเยอะ” สวี่จื่อฉีรีบตอบกลับ
พี่จ้าวมองอาการตื่นเต้นของหญิงสาวพลางถาม “เธอใช้ยาทาลบรอยแผลเป็นของอู๋ฝานใช่ไหม?”
“คะ?” สวี่จื่อฉีพยักหน้ารับ “เมื่อคืนพอกลับมาฉันก็ใช้กับแผลเป็นที่ข้อมือเพื่อดูว่าจะเป็นยังไง ผลลัพธ์ที่ได้คือวันนี้มันออกฤทธิ์จริง เมื่อเช้าตอนฉันตื่นขึ้นมาก็พบว่าแผลเป็นตรงข้อมือจางลงค่ะ”
ยิ่งสวี่จื่อฉีพูดออกมาเท่าไหร่เธอก็ยิ่งมีอาการตื่นเต้นยินดีมากขึ้นเท่านั้น เพราะเพื่อลบรอยแผลเป็นนี้ เธอได้พยายามมาหลายครั้งหลายคราตลอดช่วงเวลาหลายปี ทว่าทุกวิธีล้วนสูญเปล่า แผลเป็นยังคงอยู่ และสุดท้ายเธอก็สูญเสียกำลังใจจนอยากจะยอมรับความพ่ายแพ้แล้วด้วยซ้ำ
และเธอก็ไม่ได้คาดคิดว่าสิ่งที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ให้ได้จะเป็นของที่เจอในช่วงที่เธอมาเจียงโจว เมื่อนึกถึงตอนที่พวกเธอโยนสินค้าของคนอื่นทิ้งไปก่อนหน้าจนเกือบจะพลาดโอกาสได้ลบเลือนรอยแผลเป็น ในใจเธอก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
“จื่อฉี อย่าเพิ่งตื่นเต้นไป” พี่จ้าวยังคงมั่นคง “ต่อให้สินค้าของอู๋ฝานจะดีกว่าสินค้าอื่น ๆ แต่มันก็ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะส่งผลในชั่วข้ามคืน ถ้าทำได้ก็เกินไปแล้ว ฉันคิดว่าเธอคงคิดไปเองมากกว่า”
พี่จ้าวยังคงไม่เชื่อว่ายาทาลบรอยแผลเป็นของอู๋ฝานจะมีสรรพคุณถึงขนาดนั้น ดังนั้นเธอจึงมองว่าที่สวี่จื่อฉีพูดออกมานั้น เป็นเพราะอีกฝ่ายรู้สึกต้องการกำจัดรอยแผลเป็นนี้จนเกินไป
“พี่จ้าว ฉันไม่ได้คิดไปเองแน่ค่ะ รอยแผลเป็นมันจางลงจริง ๆ” สวี่จื่อฉีตอบกลับ
แม้ยาทาลบรอยแผลเป็นของอู๋ฝานจะผ่านการเจือจางมาแล้ว แต่สรรพคุณของมันก็ยังคงดีเยี่ยม ถึงพี่จ้าวจะทราบดีว่าสวี่จื่อฉีมีแผลเป็นที่ข้อมือ แต่เธอไม่ได้ใส่ใจและคอยตระหนักถึงมันเท่าเจ้าตัวอย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจึงไม่อาจสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอันเล็กน้อย
แต่สวี่จื่อฉีไม่ใช่ เธอเป็นคนที่เฝ้ามองแผลเป็นนี้มานานหลายปี ตลอดมาทุกวันและทุกช่วงเวลาจะมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ตลอด ดังนั้นเมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อยเธอก็สามารถรับรู้ได้
“เข้าใจแล้ว เธอไม่ได้คิดไปเองก็ได้ มันได้ผลจริง ๆ” พี่จ้าวคร้านจะโต้เถียงกับอีกฝ่าย เธอเริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคุยเรื่องนี้นะ ตอนนี้เธอควรไปอาบน้ำ พวกเราควรจะออกเดินทางกันแล้ว”
ตามตารางงานที่บริษัทจัดการให้ กำหนดการของสวี่จื่อฉีในเจียงโจวนับได้ว่าเต็มแน่น พี่จ้าวไม่อยากเสียเวลาที่มีไปโดยเปล่าประโยชน์ ส่วนเรื่องยาทาลบรอยแผลเป็น เธอไม่เชื่อและไม่คิดสนใจ ยังไงแฟนคลับของหญิงสาวก็ทราบดีและยอมรับแผลเป็นนี้ได้มานานแล้ว การจะลบมันออกได้หรือไม่นั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออาชีพการงานแม้แต่น้อย
สิ่งเดียวที่พี่จ้าวกังวลคืออาชีพการงานของสวี่จื่อฉี ส่วนเรื่องความรู้สึกนั้น …เธอไม่สนใจแม้แต่น้อย
สวี่จื่อฉีได้เห็นก็ทราบว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อคำพูดของเธอแม้แต่น้อย ดังนั้นหญิงสาวจึงคร้านจะอธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก เพราะไม่ว่าจะอธิบายเท่าไหร่อีกฝ่ายก็คงไม่เชื่ออยู่ดี
ทันใดนั้นหญิงสาวก็นึกถึงความมั่นใจที่อู๋ฝานแสดงออกให้เห็น ก่อนจะครุ่นคิดกับตัวเองอยู่ในใจ ‘ไม่แปลกใจเลยที่ตอนนั้นเขาจะมั่นใจขนาดนั้น ที่แท้เป็นเพราะสินค้าของเขาดีจริง ๆ อย่างที่บอกนี่เอง’
สวี่จื่อฉีเคยลองสินค้าลบเลือนรอยแผลเป็นมากมายในตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา และเธอไม่เคยได้เห็นสินค้าใดที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่าของอู๋ฝาน เพราะมันออกฤทธิ์รวดเร็วอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อคิดถึงเดิมพันที่ทำเอาไว้กับอู๋ฝาน สวี่จื่อฉีจึงถึงกับยิ้มอยู่ในใจ ต่อให้เธอได้เงินค่าจ้างน้อยลงมากแค่ไหน แต่มันก็ยังเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เพราะสินค้าดังกล่าวมีความสำคัญกับตนจริง ๆ ตอนนี้เธอกระทั่งรู้สึกนับถือและขอบคุณอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
เพราะพี่จ้าวยังคงเร่งไม่หยุด สวี่จื่อฉีจึงรีบไปอาบน้ำพร้อมแต่งตัวเตรียมออกไปจัดการงานต่อ ส่วนเรื่องโทรหาอู๋ฝาน ตอนนี้เธอยังไม่มีเวลา และนับเป็นโชคดีที่อีกฝ่ายให้เวลาเธอสามวัน ดังนั้นจึงยังไม่ใช่เรื่องที่ควรเร่งร้อนแต่อย่างใด
……….