ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 593 สัตว์ร้ายปรากฏตัว
บทที่ 593 สัตว์ร้ายปรากฏตัว
……….
บทที่ 593 สัตว์ร้ายปรากฏตัว
“นายท่าน คิดว่าสัตว์ร้ายในแม่น้ำมีจริงหรือไม่ขอรับ?” หลังชายชราจากไปแล้ว ลั่วหยางจึงมองแม่น้ำกว้างใหญ่ตรงหน้าพลางถามออกมา “เท่าที่ข้าเห็นคือคลื่นลมต่างก็สงบ ไม่คิดว่าจะมีสัตว์ร้ายแม้แต่น้อย”
“มี!” อู๋ฝานตอบกลับด้วยความมั่นใจ
เพราะต่อให้ไม่เชื่อคำพูดของชายชรา แต่เขาก็เชื่อในเสียงแจ้งเตือนของระบบ ในเมื่อมีภารกิจให้รับ ก็หมายความถึงมันต้องมีสัตว์ร้ายอยู่ในแม่น้ำจริง ๆ
“นายท่าน พวกเราทำยังไงดีเจ้าคะ?” ลั่วเยวี่ยเอ่ยถาม
หากอู๋ฝานพูดแล้ว ลั่วเยวี่ยก็ไม่คิดสงสัย หากชายหนุ่มบอกว่ามีก็คือมี ส่วนคำถามตอนนี้คือพวกเขาจะทำยังไงกันต่อ
อู๋ฝานมองประกายบนผืนน้ำพลางตอบกลับ “ทุกคนอยู่บนฝั่ง ข้าจะขึ้นเรือไปเพียงลำพัง หากสัตว์ร้ายนั่นไม่แสดงตัวออกมา เมื่อนั้นจะกลับมารับพวกเจ้า หากว่ามันโผล่มา ข้าจะสังหารมันทิ้งเสีย!”
“ไม่ได้!” คนทั้งสามต่างตะโกนออกมาโดยพร้อมกัน
“นายท่าน เรื่องราวนี้อันตรายเกินไปแล้ว ให้ข้าไปแทนดีกว่าเจ้าค่ะ” ลั่วเยวี่ยเอ่ยขึ้น
“จริงขอรับนายท่าน เรื่องนี้อันตรายเกินไป นายท่านควรอยู่บนฝั่ง ข้าอาสาไปเอง ข้าว่ายน้ำเก่งนะขอรับ” ลั่วหยางเอ่ยขึ้นมา
“อู๋ฝาน ทำไมพวกเราไม่รอคอยจนถึงพรุ่งนี้แล้วค่อยข้ามแม่น้ำกันเล่า” หลังลังเลอยู่นานอูหย่าก็เอ่ยขึ้น
ท่ามกลางกลุ่มคน อูหย่าคือคนที่ควรจะเร่งร้อนที่สุด ทว่าตอนนี้เอ่ยปากออกมาด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่านางเชื่อเรื่องสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งในแม่น้ำ ขณะเดียวกันก็กังวลถึงความปลอดภัยของอู๋ฝานเหมือนดังผู้อื่น
“รีบเดินทางไม่ใช่หรือ?” อู๋ฝานมองอูหย่าพลางยิ้มถาม
“ก็ใช่” อูหย่าตอบกลับ “แต่สิ่งที่ผู้อาวุโสบอกเมื่อครู่ไม่น่าจะใช่เรื่องโกหก ในเมื่อมีโอกาสที่ใต้แม่น้ำจะมีสัตว์ร้ายนั่นอยู่ ข้าก็ไม่คิดรีบจนต้องเอาทุกคนไปเสี่ยงอันตรายเพราะข้าหรอก รอคอยแค่สักวันหรือครึ่งวันไม่ได้ทำให้ข้าตาย”
“นายท่าน พี่หญิงอูหย่าพูดถูกต้องแล้ว พวกเรารออีกสักครึ่งค่อนวันก็ได้นะเจ้าคะ” ลั่วเยวี่ยร่วมเอ่ย
“ไม่จำเป็น” อู๋ฝานหันหน้าไปมองยังแม่น้ำอีกครั้ง “ข้าค่อนข้างสนใจในตัวสัตว์ร้ายนั่นและคิดอยากเจอ หากมีโอกาสก็อยากจะสังหาร จะได้กำจัดภัยคุกคามแก่ผู้คนไปด้วยเลย”
“เช่นนั้นข้าไปกับนายท่านเองเจ้าค่ะ” ลั่วเยวี่ยขันอาสา
“ไม่เป็นไร พวกเจ้าไม่ต้องไป” อู๋ฝานตอบกลับ “ข้าไปคนเดียวสะดวกกว่า ให้พวกเจ้าไปด้วยจะกลายเป็นยิ่งไม่สะดวก ถ้าข้าเอาชนะไม่ได้ก็ยังสามารถหลบหนี ดังนั้นรอคอยข้าที่บนฝั่งเสีย”
“ไม่มีแต่แล้ว เชื่อฟังคำพูดข้า” อู๋ฝานลูบศีรษะลั่วเยวี่ยขณะตอบคำ
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ” ลั่วเยวี่ยพยักหน้ารับด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ แม้จะกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอู๋ฝาน แต่นางก็ไร้ซึ่งพลังอำนาจจะโต้แย้งคำของผู้เป็นนายเช่นกัน
“อู๋ฝาน ไม่ว่ายังไงก็คิดไปงั้นหรือ?” อูหย่ามองพลางถาม
“ใช่” อู๋ฝานพยักหน้ารับ “ต่อให้ไม่ใช่เพราะเรื่องรีบเดินทาง ข้าก็ยังอยากจะไปอยู่ดี ดังนั้นพวกเจ้ารอบนฝั่งอย่าไปไหน”
“ก็ได้ ระวังตัวด้วย หากมีอะไรผิดพลาดก็จงรีบกลับมา” อูหย่าตอบกลับ
อาณาจักรหนานปิงมีภูเขาเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่และแม่น้ำเป็นพื้นที่ส่วนน้อย ดังนั้นนางจึงทราบเรื่องราวทางน้ำน้อยนิด ฝีมือการว่ายน้ำก็ไม่ใช่จะดีอะไร ดังนั้นครั้งนี้หญิงสาวจึงรู้ตัวดี พร้อมเลือกไม่ขอไปกับอู๋ฝาน เพราะทราบว่าหากไปด้วยก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วงของชายหนุ่ม
“วางใจเถอะ ข้ายังรอเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของอาณาจักรหนานปิงอยู่ ไม่มีทางเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่แน่นอน” อู๋ฝานหัวเราะตอบ
อูหย่าเองก็เผยยิ้มก่อนจะกลับขึ้นฝั่งไปก่อน ทางด้านลั่วเยวี่ยและลั่วหยางต่างก็ตามไป สายตาของเด็กสาวที่มองอู๋ฝานจากบนฝั่งมีแต่ความกังวลและร้อนใจ
เมื่อคนทั้งสามออกจากท่าเรือไปขึ้นฝั่ง อู๋ฝานจึงคลายเชือกสมอเรือ จากนั้นจึงหยิบไม้ยาวขึ้นมาเพื่อควบคุมและเร่งความเร็วมุ่งหน้าไปทางอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ
“พี่หญิงอูหย่า ท่านคิดว่านายท่านจะเป็นอะไรหรือไม่?” ที่บนฝั่ง ลั่วเยวี่ยยังคงกังวลห่วงหาพลางสอบถามกับอูหย่า
“ข้าเองก็ไม่ทราบ” อูหย่าส่ายหน้า “แต่อู๋ฝานไม่ใช่คนบุ่มบ่าม ในเมื่อเขายืนยันที่จะออกเรือออกไป ก็แปลว่าต้องมีอะไรในใจอย่างแน่นอน”
ลั่วเยวี่ยพยักหน้าตอบรับ “ใช่แล้ว นายท่านไม่เป็นไรแน่!”
ขณะนี้เอง หลังอู๋ฝานควบคุมเรือมาได้สักพักและเริ่มสำรวจรอบข้างด้วยความระแวดระวัง แม้ผืนน้ำยังคงนิ่งสงบ แต่เขาไม่กล้าลดความระวัง
ส่วนพวกอูหย่าที่อยู่บนฝั่ง ตอนนี้กำลังหัวใจเต้นรัวเร็ว อู๋ฝานทราบแน่ ๆ แล้วว่าใต้น้ำมีสัตว์ร้ายอยู่ หากไม่มีก็คงไม่ปรากฏภารกิจให้ตอบรับ และจากปากคำของชายชราก่อนหน้านี้ การข้ามแม่น้ำช่วงวันนี้คือเวลาออกล่าของสัตว์ร้ายดังกล่าว มันพร้อมจะโจมตีเพื่อหาอาหาร ดังนั้นเขาจึงยิ่งไม่กล้าประมาท
อู๋ฝานมีวิชาขับขี่ระดับกลาง จึงไม่ได้มีปัญหาใดกับการควบคุมเรือแม้แต่น้อย กระทั่งว่าเดินทางผ่านผืนน้ำอย่างราบรื่นเสียด้วยซ้ำ เพราะจุดประสงค์ของชายหนุ่มคือต้องการล่อสัตว์ร้ายออกมา ไม่ใช่การข้ามแม่น้ำ ดังนั้นความเร็วการเดินเรือจึงค่อนข้างเชื่องช้าราวกับต้องการเป็นเป้านิ่ง
“ซ่า!”
ผืนน้ำที่เมื่อครู่ยังคงสงบ พลันเกิดคลื่นขนาดยักษ์ประหนึ่งม่านน้ำสูงขึ้นมา มันโหมซัดเข้าหาเรือของอู๋ฝานด้วยความสูงกว่าเจ็ดจั้ง
เรือของอู๋ฝานที่เคยมั่นคงเริ่มสั่นอย่างรุนแรง คลื่นน้ำขนาดยักษ์ที่เข้ามาปะทะทำให้เรือต้องโยกไหวไปมา และที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าคือการที่คลื่นยักษ์ไม่ได้ปรากฏเพียงหนึ่ง แต่เป็นหลายครั้ง คลื่นแล้วคลื่นเล่าสาดซัดเข้ามา คลื่นหลังสูงยิ่งกว่าคลื่นก่อนหน้า ทั้งยังมีความเร็วแรงที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน!
แม้อู๋ฝานจะตกใจไปบ้างแต่ก็ไม่ได้แตกตื่น อีกทั้งยังคอยตรวจสอบสถานการณ์รอบด้าน ขณะพยายามควบคุมเรือไม่ให้พลิกคว่ำเพราะคลื่นยักษ์
“เฮือก!”
ลั่วเยวี่ยที่คอยเฝ้ามองสถานการณ์อยู่บนฝั่ง เมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวถึงกับต้องสูดหายใจเข้าลึก ๆ ทางด้านอูหย่าราวกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ สายตาของนางจ้องภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าตึงเครียด
“สัตว์ร้ายออกมาแล้ว สัตว์ร้ายออกมาอีกครั้งแล้ว!” น้ำเสียงแตกตื่นดังขึ้นให้พวกอูหย่าทั้งสามคนได้ยิน เป็นชายชราที่เพิ่งกลับไปเมื่อครู่ และไม่ทราบว่าอีกฝ่ายวกกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอได้เห็นคลื่นยักษ์กลางแม่น้ำจึงแผดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว
พวกอูหย่าทั้งสามไม่มีเวลาสนใจชายชรา สายตาทั้งสามคู่กำลังจับจ้องอู๋ฝาน กระทั่งว่าแทบไม่กล้ากะพริบตาเสียด้วยซ้ำ กล้ามเนื้อหัวใจยังถึงขนาดหดเกร็ง จิตใจเอาแต่ภาวนาว่าอย่าได้เกิดเรื่องราวใดขึ้นกับชายหนุ่ม
คลื่นยักษ์ยังคงไม่หยุดโหมซัด เรือของอู๋ฝานจึงถูกกระแสน้ำจากคลื่นพัดขึ้นลงไปมา แม้เป็นช่วงเวลาวิกฤตเช่นตอนนี้ แต่ก็ยังสามารถประคองสมดุลเอาไว้ได้
“ซ่า!”
เสียงอะไรบางอย่างปรากฏจากใต้น้ำขึ้นสู่เหนือพื้นผิวน้ำ มันเป็นสิ่งมีชีวิตผิวสีดำสนิททอดตัวยาวกับแนวแม่น้ำ ส่วนแรกที่ปรากฏเหนือน้ำคือหัวอันใหญ่โตของมัน เป็นหัวที่มีดวงตายักษ์สองดวงประหนึ่งโคมตะเกียง ปากของมันอ้าออก ฟันขาวขนาดใหญ่และแหลมคมเผยให้เห็น แม้ยังไม่ได้ปะทะกับมัน อู๋ฝานก็ยังรู้สึกได้ถึงความรู้สึกหนาวจับขั้วหัวใจ
หลังจากหัวของมันคือร่างกายที่ทอดยาว ผิวสีดำสนิทหนาทึบของมันเปรียบดังกำแพงเมืองอันแข็งแกร่งที่ตั้งตระหง่าน แสงตะวันที่สาดส่องรับกับละอองน้ำ ทำให้มันดูส่องประกายประหนึ่งสัตว์วิเศษแห่งห้วงน้ำอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเห็นร่างสัตว์ร้ายร่างมหึมา เสียงอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นในจิตใจของอู๋ฝานอีกครั้งหนึ่ง
[มัจฉาแดนเหนือ นามของมันคือคุน*[1] คุนมีขนาดใหญ่โตมโหฬารไม่อาจใส่ลงหม้อต้ม…]
[1] จากเนื้อหาตำนานคุนเผิงได้กล่าวไว้ ณ ทะเลลึกแดนเหนือ มีพญามัจฉาชื่อ ‘คุน’ ร่างใหญ่โตไม่รู้กี่พันลี้ เมื่อผ่านไปหนึ่งหมื่นปีก็กลายร่างเป็นพญาปักษาชื่อ ‘เผิง’ เรียกรวมว่า ‘คุนเผิง’ แผ่นหลังของเผิงมโหฬารไม่รู้กี่พันลี้ ร่างกายเป็นนก แต่ด้วยปกคลุมเกล็ดเหมือนปลา ยามกระพือปีกเหินสู่เวหา ปีกแผ่กว้างราวแผ่นเมฆปกคลุมฟ้า เมื่อผืนน้ำแห่งท้องสมุทรเริ่มขยับไหว พญาเผิงก็บ่ายหน้าสู่สวรรค์แห่งแดนใต้ ขณะที่คุนเผิงสยายปีกมุ่งสู่แดนใต้ ท้องทะเลก็ปั่นป่วนคลุ้มคลั่งไกลถึงสามพันลี้ ปีกอันมโหฬารของพญานกตีลมเป็นพายุหมุน และบินสูงขึ้นไปถึงเก้าหมื่นลี้ ถลาร่อนไปกับลมพายุนานหกเดือนจึงถลาลงหยุดพัก กระแสลมร้อนพัดเป่าฝุ่นตลบฟุ้ง สรรพสิ่งสั่นไหวกระทบเสียดสีกัน ในตำนานกล่าวว่าเมื่ออยู่ในน้ำจะเป็นปลาแต่เมื่ออยู่บนท้องฟ้าก็จะเป็นนก
……….