ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 590 เริ่มออกเดินทาง
บทที่ 590 เริ่มออกเดินทาง
……….
บทที่ 590 เริ่มออกเดินทาง
“แล้วพวกเราจะทำอะไรต่อต้านไม่ได้เลยรึไงครับ?” เจียงอวี่ยังคงไม่ยินดีกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่ได้” เจียงฟั่นโจวตอบกลับ “เวลานี้เขาแข็งแกร่งจนถึงขนาดคนจากสำนักอื่นใกล้เคียงยังพยายามเข้าหาและผูกมิตร พวกเราตระกูลเจียงไม่อาจทำอะไรเขาได้ แต่พ่อเชื่อว่าสภาพตอนนี้จะอยู่ไม่นาน คนจากสำนักใกล้เคียงทั้งหลายจะไม่ยอมให้ใครไปอยู่เหนือพวกเขาอย่างแน่นอน”
“แล้วมันต้องใช้เวลาแค่ไหนกันครับ?” เจียงอวี่เอ่ยถาม
“ลูกไม่มีความอดทนเลยรึไง?” เจียงฟั่นโจวตอบกลับด้วยสีหน้าแข็งทื่อ “จิตใจลูกตอนนี้ไม่ควรคิดถึงเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับเขา ที่ควรมุ่งเน้นคือการพัฒนาตัวเอง นับจากวันพรุ่งนี้ลูกจะไปทำอะไรวุ่นวายเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้ว ดูอย่างคนตระกูลหวัง ลูกขัดแย้งกับพวกเขามาตลอดใช่ไหม? ถ้างั้นก็จงใช้หน้าที่การงานสยบพวกเขาเอาไว้!”
เจียงอวี่ทราบดีว่าพ่อของตนเองกำลังพูดถึงหวังจื่อหมิง พวกเขาไม่เคยลงรอยกัน แม้วันนี้คนจากตระกูลหวังมาเข้าร่วมงานเลี้ยง แต่ก็ไม่มีหวังจื่อหมิงหรือทายาทสายตรงของตระกูลหวังมา
“พ่อไม่ต้องกังวลครับ แค่หวังจื่อหมิงผมจัดการได้อยู่แล้ว!” เจียงอวี่รับปากเป็นมั่นเหมาะ
“ดี! ต้องแบบนั้น” เจียงฟั่นโจวพยักหน้ารับด้วยความพึงพอใจ
แต่ความแค้นที่เจียงอวี่มีให้กับอู๋ฝาน มันไม่ได้เลือนหายไปเพราะการเกลี้ยกล่อมเมื่อครู่ เขาเป็นคนที่แค้นก็แค้นอย่างจริงจัง งานเลี้ยงวันนี้เขาที่ควรเป็นตัวหลักกลับถูกอู๋ฝานแย่งชิงแสงไฟที่สาดส่องมายังตัวเอง ทั้งยังโดนขโมยผู้หญิงที่หมายปองเอาไว้จะให้ทนไหวได้ยังไง?
ทว่าเขาเองก็ทราบดีว่าต่อให้คร่ำครวญออกมายังไง พ่อของตนก็คงไม่อาจช่วยจัดการ ดังนั้นจึงต้องยอมกล้ำกลืนและหยุดพูดเอาไว้เพียงเท่านี้
หลังอู๋ฝานและสวี่จื่อฉีแยกกัน เขาก็โทรหาเกาหานเพื่อจะบอกว่าให้ระงับการติดต่อดาราคนอื่นชั่วคราว
“ทางผมติดต่อเรียบร้อยแล้ว สวี่จื่อฉีกำลังพิจารณาอยู่ครับ” อู๋ฝานเอ่ยบอก
“จริงเหรอครับ? เยี่ยมเลยครับ!” เกาหานตอบรับ
แม้เขาจะยังรู้สึกว่าการจ้างสวี่จื่อฉีเป็นค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างมากและดูเป็นไปได้ยาก แต่หากสินค้าของพวกเขาได้หญิงสาวเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์จริง ๆ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะช่วยยอดขายได้ขนาดไหน ดังนั้นพอได้ทราบว่าเรื่องราวกำลังดำเนินไปได้ด้วยดีจึงดีใจ
“อืม” อู๋ฝานตอบรับ “อีกสามวันจะมีคำตอบ แต่คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรครับ”
อู๋ฝานยังคงมีความมั่นใจในตัวสินค้า และจากท่าทีที่สวี่จื่อฉีกับพี่จ้าวมีให้ ตราบใดที่สินค้าไม่มีปัญหาอะไร เขาก็เชื่อว่าเรื่องราวคงดำเนินต่อไปโดยไม่ติดขัด ยังไม่กล่าวว่าสินค้านั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ทั้งยังดีด้วยซ้ำ
“ในเมื่อเถ้าแก่ออกโรงเองก็วางใจได้แล้วครับ” เกาหานเอ่ยเยินยอ
“อย่าเพิ่งรีบชมเลยครับ ตอนนี้จับตามองไลน์การผลิตให้ดี อย่าเพิ่งหย่อนยาน เมื่อไหร่จัดการเรื่องแบรนด์แอมบาสเดอร์ได้เรียบร้อยแล้ว เมื่อนั้นจะเริ่มจำหน่ายสินค้าอย่างเป็นทางการ เมื่อถึงเวลานั้นน่าจะได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม คิดว่าทางโรงงานคงแทบไม่มีเวลาส่งให้ทันด้วยซ้ำ” อู๋ฝานบอก
“เถ้าแก่ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมจะคอยจับตามองการผลิตให้ดี คนอาจต้องพักแต่เครื่องจักรไม่พักครับ ดังนั้นจะไม่มีปัญหาอะไรอย่างแน่นอน การสต็อกสินค้าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพครับ” เกาหานตอบรับ
“งั้นก็ดีแล้ว ตอนนี้แยกย้ายไปพักผ่อนกันก่อน” อู๋ฝานบอก
“ราตรีสวัสดิ์ครับเถ้าแก่”
หลังคุยกับเกาหานเรียบร้อย อู๋ฝานก็เกือบจะกลับถึงบ้านแล้ว
“นายน้อย มีข้อความจากทางเจ้าสำนักสวี เขาสอบถามมาว่านายน้อยสนใจตอบรับคำเชิญของสำนักหลอมกระบี่รึเปล่าคะ” หลังอู๋ฝานกลับมาถึงบ้าน เหมยอวี่ก็ออกมาต้อนรับ
“สำนักหลอมกระบี่?” อู๋ฝานชะงักไปเล็กน้อย เพราะจำได้ว่าตอนอยู่แดนลับแห่งภูเขาเทียนเหลียงก่อนหน้านี้ คนจากสำนักหลอมกระบี่ก็เคยเชิญเขาไปเข้าร่วมงานชุมนุมกระบี่ และยังมีครั้งนี้อีก เหมือนอาจจะต้องไปจริง ๆ
อู๋ฝานครุ่นคิดและตอบรับ “ไปครับ“
ตามที่หลิ่วเหยียนเอ๋อร์บอก สำนักหลอมกระบี่มีสถานะค่อนข้างพิเศษในแวดวงผู้ฝึกตน ในเมื่ออีกฝ่ายเชิญมาด้วยความหวังดีถึงขนาดนี้แล้ว เขาก็รู้สึกว่าควรตอบรับ
สำนักหลอมกระบี่เชิญอู๋ฝานในฐานะเจ้าหอคันธะสงัด ไม่ใช่ตัวชายหนุ่มโดยตรง ดังนั้นหากไปเยือนครั้งนี้ก็จะไปในฐานะตัวแทนหอคันธะสงัด และเขาจะไม่ได้ไปเพียงผู้เดียว แต่คนอื่นภายในสำนักจะติดตามไปด้วยเช่นเดียวกัน
“แจ้งสวีฮุ่ยให้เตรียมเลือกคนไปเยือนสำนักหลอมกระบี่ในวันงานด้วย พวกเราจะไปพบกันที่สำนักหลอมกระบี่” อู๋ฝานตอบ
“ค่ะ นายน้อย”
หลังเที่ยงคืน อู๋ฝานก็ไปปรากฏตัวที่โลกแห่งเกมอีกครั้ง ช่วงเวลาปัจจุบันคือรุ่งสาง
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก!”
ขณะอู๋ฝานกำลังคิดจะนอนเอกเขนกอีกสักพักเพื่อรอพวกอูหย่าตื่นเสียก่อน ประตูห้องของเขากลับดังขึ้น
“ใครกัน?”
“ข้าเอง” เสียงของอูหย่าดังผ่านประตูมา
“อูหย่า?” อู๋ฝานลงจากเตียงด้วยความสับสนก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้อง และได้เห็นว่าอูหย่าแต่งตัวเตรียมออกไปข้างนอกเรียบร้อยแล้ว
“ยังเช้าอยู่เลย เจ้ารีบมาทำอะไร ไม่หลับไม่นอนหรือ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“หือ?”
“เพราะเจ้าขี้เซาเป็นคนตาย ข้าแวะมาเคาะประตูสองครั้งแล้วเจ้าก็ยังไม่ตื่น ความระมัดระวังเช่นนี้ หากไปหลับนอนกลางป่ากลางเขาคงถูกมอนสเตอร์จับกินไปเรียบร้อยแล้ว” อูหย่าตอบกลับ
“เมื่อครู่นี้ข้าไม่อยู่ ดังนั้นย่อมไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูของเจ้า” อู๋ฝานครุ่นคิดก่อนจะตอบกลับ
“นี่เจ้ามาเคาะประตูเป็นครั้งที่สามงั้นหรือ? เหมือนที่ข้าถามว่าตอนนี้ยังเช้าอยู่ เจ้าไม่คิดว่าผู้อื่นยังหลับนอนอยู่รึไง?” ชายหนุ่มเอ่ยถาม
“ข้านอนพอแล้ว ได้เวลาเดินทางกันต่อ” อูหย่าตอบกลับ “หากเจ้ายังง่วง ก็ไปหลับบนรถลากระหว่างทางเอาแล้วกัน”
“ข้าขอพูดนะอูหย่า ข้ารู้ว่าเจ้าร้อนใจอยากกลับไป แต่ไม่ควรทำแบบนี้ ตอนนี้เพิ่งจะรุ่งสาง เจ้าคิดเร่งรีบเดินทาง แต่คิดว่าจะมีกี่คนตื่นแล้วกี่คน?” อู๋ฝานตอบกลับ
“สมัยยังต้องฝึกฝน ข้าตื่นเช้ากว่านี้ด้วยซ้ำ” อูหย่าตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ก็ได้ ข้าไม่เถียงแล้ว” อู๋ฝานหยุดโต้แย้ง ยังไงเขาก็ไม่ได้ง่วงอยู่แล้ว “ลั่วเยวี่ยล่ะ เจ้าปลุกเรียบร้อยแล้วหรือ?”
“ตื่นแล้ว ลั่วหยางก็ตื่นแล้วเช่นกัน ตอนนี้รอคอยเจ้าอยู่” อูหย่าตอบกลับ
“ก็ได้ งั้นไปกัน” เนื่องจากทุกคนตื่นกันหมดเรียบร้อย เขาจะยังโต้แย้งอะไรได้อีก?
กลุ่มคนทั้งสี่เริ่มออกเดินทางกันต่อ แต่อู๋ฝานได้เห็นว่าทั้งลั่วเยวี่ยและลั่วหยางมีสภาพจิตใจไม่พร้อมสักเท่าไหร่ เนื่องจากมีท่าทีเหม่อลอยราวกับยังไม่ตื่น เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนขันอาสาตื่นขึ้นมาเองก่อนฟ้าสางอย่างแน่นอน
“ลั่วหยาง ไปอยู่ในรถลากแล้วพักเสียก่อน ตรงนี้ข้าจัดการเอง” อู๋ฝานเห็นลั่วหยางหาวอีกครั้งจึงเอ่ยขึ้นมา
“อ๋า… ไม่ได้สิขอรับนายท่าน ท่านต่างหากที่ควรไปพัก ข้ายังไหวขอรับ” เมื่อได้ยินคำพูดของอู๋ฝาน ลั่วหยางก็รีบแสดงท่าทีมีเรี่ยวแรงขึ้นมา ในความเห็นของเขา ผู้เป็นนายก็น่าจะตื่นขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ดังนั้นก็น่าจะง่วงงุน เขาจะให้อีกฝ่ายคุมรถลากขณะตนเองไปพักผ่อนได้ยังไงกัน?
“ข้าไม่ได้ง่วง อย่าฝืน ไปพักเสีย เมื่อไหร่พักเต็มที่แล้วค่อยกลับมาคุมบังเหียนต่อ” อู๋ฝานตอบ
“นายท่าน ข้าไม่ได้ง่วงจริง ๆ นะขอรับ” ลั่วหยางยังคงดื้อดึง แต่สุดท้ายก็หาวออกมาอีกครั้งจนต้องแสดงสีหน้าอับอายออกมา
……….