ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 577 ต่อว่า
บทที่ 577 ต่อว่า
บทที่ 577 ต่อว่า
“ไม่ให้เรียกตำรวจ?” อู๋ฝานมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาสงสัย “รถนี่ขโมยมางั้นเหรอครับ?”
เนื่องจากมันไม่ใช่อุบัติเหตุใหญ่แต่แรก และเขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ รถก็แปรสภาพมาจากป้ายอัญเชิญพาหนะ มันสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ ดังนั้นอุบัติเหตุครั้งนี้จึงไม่ได้ทำให้อู๋ฝานสูญเสียอะไร เดิมเขาก็ไม่ได้คิดจะเรียกตำรวจมาจัดการเรื่องเล็กน้อยแค่นี้อยู่แล้ว
แต่เมื่อเห็นหญิงสาวแสดงออกว่าไม่ต้องการให้เรียกตำรวจอย่างออกนอกหน้า มันทำให้เขาอดสงสัยอยู่ในใจไม่ได้
“ไม่ค่ะ ไม่ใช่อย่างแน่นอนค่ะ!” หญิงสาวรีบตอบ
“ถ้างั้นจะกลัวการเรียกตำรวจมาทำไมล่ะครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
อีกฝ่ายสวมชุดแบรนด์ค่อนข้างดัง แม้ไม่เห็นรูปลักษณ์ชัดเจน แต่ด้วยภาพลักษณ์โดยรวมที่ยอดเยี่ยม มันจึงไม่ยากที่อู๋ฝานจะเดาว่าอีกฝ่ายอาจเป็นโจรยั่วสวาทเพื่อขโมยรถ
“ฉัน ฉัน…” หญิงสาวร้อนรน เนื่องจากไม่อาจให้เหตุผลออกมาได้
สวี่จื่อฉีทั้งร้อนใจและนึกเสียใจว่าทำไมก่อนหน้านี้ถึงได้แอบขับรถออกมา
บุคคลที่ขับรถมาชนกับอู๋ฝานไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นดาราดังอย่างสวี่จื่อฉี
เธอมาที่เจียงโจวก็เพื่อเข้าร่วมงานปาร์ตี้ค็อกเทลของบริษัทผู้ว่าจ้าง เพราะมีวันหยุดพักร้อนไม่นาน หลังมาถึงเธอจึงหนีผู้จัดการโดยการแอบขับรถออกมา เดิมเธอแค่อยากได้มีเวลาดี ๆ เที่ยวชมเจียงโจวและไปช็อปปิง แต่เพราะไม่ได้ขับรถมานาน มือเท้าก็ไม่ได้คล่องแคล่วเหมือนแต่ก่อน ออกมาได้ไม่นานกลับประสบอุบัติเหตุบนถนน โดยรถคู่กรณีก็คือรถของอู๋ฝานนั่นเอง
ในฐานะดาราใหญ่ สวี่จื่อฉีทราบดีถึงผลกระทบในยามต้องเปิดเผยตัว เมื่ออุบัติเหตุนี้เป็นความรับผิดชอบของเธอ ดังนั้นจึงอยากจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อยด้วยตัวเอง อย่างน้อยมันจะได้ไม่เป็นเรื่องใหญ่จนดึงความสนใจของสื่อ
แต่หญิงสาวไม่ได้คาดคิดว่าเพียงเอ่ยปากขอให้ไม่เรียกตำรวจ อีกฝ่ายจะสงสัยว่าตนขโมยรถมา สวี่จื่อฉีทั้งรู้สึกขบขันและจนใจในเวลาเดียวกัน ทว่าเธอไม่อาจอธิบายเรื่องราวให้ชัดเจนได้ เพราะหากอีกฝ่ายทราบตัวตนที่แท้จริงขึ้นมา เธอก็เกรงว่าคู่กรณีอาจจะเรียกค่าเสียหายหรือกระทั่งแบล็กเมลเธอด้วยซ้ำ หรือบางทีอาจจะหาทางแอบเปิดโปงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภายหลัง
“อ้อ แบบนี้นี่เอง…” เมื่อเห็นสวี่จื่อฉีอึกอักยากจะหาคำตอบมาให้ อู๋ฝานที่จ้องเธออยู่นานจึงตระหนักอะไรขึ้นมาได้
“คุณ… รู้อะไรงั้นเหรอคะ?” สวี่จื่อฉีเอ่ยถามด้วยความร้อนรน
คงไม่ใช่โดนรู้ตัวจริงแล้วใช่ไหม?
“คุณเป็นคนดัง! ใช่ไหมล่ะครับ?” อู๋ฝานมองอีกฝ่ายพลางพูดต่อ “คุณจะต้องเป็นคนดังในโลกออนไลน์ อย่างพวกไลฟ์สตรีมหรืออะไรทำนองนั้น ก็เลยกลัวจะมีข่าวฉาวที่กระทบถึงหน้าที่การงาน เพราะแบบนั้นเลยไม่อยากให้เรื่องถึงตำรวจหรือถูกเปิดเผย ผมเข้าใจถูกรึเปล่าครับ?”
อู๋ฝานแสดงท่าทีมั่นใจออกมา เนื่องจากสังคมทุกวันนี้มีคนดังบนโลกออนไลน์มากมาย พวกเขาส่วนใหญ่มีทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น เวลาไปไหนมาไหนก็มักจะแต่งตัวดูดี นอกจากนี้อีกฝ่ายยังแสดงออกชัดว่ากลัวการถูกเรียกตำรวจและไม่ต้องการให้เป็นเรื่องใหญ่ ทั้งหมดทั้งมวลจึงทำให้ชายหนุ่มคาดเดาอย่างแน่ใจออกมา
“คะ… คนดัง?” สวี่จื่อฉีชะงักไปครู่หนึ่ง ภาพลักษณ์ของเธอตอนนี้เหมือนคนดังในโลกออนไลน์งั้นเหรอ? แต่เพื่อที่จะคลี่คลายปัญหาให้จบโดยเร็ว เธอจึงรับคำโดยไม่ปฏิเสธ “ใช่ค่ะ ฉันเป็นคนดังในโลกออนไลน์จริง ๆ และยังค่อนข้างมีชื่อเสียงด้วย สายงานนี้อยู่ไม่ง่ายเลยค่ะ ถ้ามีเรื่องด้านลบเกิดขึ้น อนาคตของฉันก็คงดิ่งเหว เพราะแบบนั้นฉันถึงอยากจัดการเรื่องให้เรียบร้อยเป็นการส่วนตัว ดังนั้นขออย่าเรียกตำรวจหรือว่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลยจะได้ไหมคะ?”
“เป็นคนดังในโลกออนไลน์ไม่ง่ายงั้นเหรอ?” อู๋ฝานเอ่ยอย่างเหยียดหยัน “พวกเราที่ทำงานอื่นมันก็ไม่ง่ายเหมือนกันนั่นแหละครับ”
“ค่ะ ไม่ว่าใครต่างก็ต้องมีเรื่องลำบากกันทั้งนั้นค่ะ” สวี่จื่อฉีไม่กล้าปฏิเสธ เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเธอเป็นคนผิด และคำพูดของอู๋ฝานก็ถูกต้อง คนทำงานไม่ว่าใครต่างก็มีความลำบากในแบบของตัวเองกันทั้งนั้น
“ตอนแรกผมก็อยากจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปหรอก แต่ตอนนี้…” อู๋ฝานมองอีกฝ่ายก่อนจะตอบ “คุณคงต้องจ่ายแล้วนะครับ”
“ค่าเสียหายเท่าไหร่คะ?” สวี่จื่อฉีเตรียมใจเสียเงินเอาไว้แล้วก็จริง แต่ก็ยังต้องตกใจที่อีกฝ่ายเรียกร้องโดยตรง
“ผมเห็นว่าคุณคงมีชื่อเสียงไม่มาก เพราะงั้นคงไม่ได้มีเงินมากมายอะไร” อู๋ฝานตอบกลับ “สักสามพันถือเป็นบทเรียนให้คุณก็แล้วกันครับ”
“สามพัน?” สวี่จื่อฉีชะงักไป แม้เธอไม่รู้ว่ารถของอีกฝ่ายยี่ห้ออะไร แต่จากรูปลักษณ์ของมันแล้วไม่ใช่รถราคาถูกอย่างแน่นอน แค่ค่าซ่อมกันชนบางทีคงมีมูลค่าหลายหมื่นหรือหลายแสน และเธอยังชนค่อนข้างแรงด้วยซ้ำ แต่แล้วอีกฝ่ายกลับเรียกค่าเสียหายเพียงสามพัน
“ครับ แพงไปงั้นเหรอ? ผมขอบอกว่าไม่เรียกมากกว่านี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว ดูสภาพรถของผมสิ สามพันนี่ไม่ได้แพงเลย” อู๋ฝานคิดว่าสวี่จื่อฉีมองว่าแพงเกินไป ขณะนี้จึงอดไม่ได้ที่จะต้องขมวดคิ้ว
“สามพันไม่ได้มากมายเลยค่ะ ไม่ได้มากมายเลย แค่สามพัน ฉันโอนให้ตอนนี้ได้เลยค่ะ” สวี่จื่อฉีรีบตอบกลับ
“ก็ต้องเป็นแบบนั้นแหละนะครับ” อู๋ฝานตอบรับก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์ออกมา
เดิมชายหนุ่มไม่ได้คิดเรียกร้องทำให้อีกฝ่ายต้องเสียเงิน เนื่องจากรถของเขาไม่จำเป็นต้องซ่อม แต่หลังทราบตัวตนของอีกฝ่ายจึงเกิดเปลี่ยนใจ และตนก็ไม่ได้ฉวยโอกาสตักตวงอะไรด้วย เพียงแค่ต้องการมอบบทเรียนอันเล็กน้อยกับอีกฝ่ายเท่านั้นเอง
สวื่จื่อฉีปลดล็อกโทรศัพท์เพื่อเตรียมโอนเงินให้กับอู๋ฝาน
“หือ คุณเองก็ชอบสวี่จื่อฉีงั้นเหรอครับ?” อู๋ฝานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยยามเห็นภาพพื้นหลังโทรศัพท์ของคู่กรณีเป็นรูปของสวี่จื่อฉี
สวี่จื่อฉีชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้าหลบเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของอู๋ฝานพลางตอบรับ “ค่ะ เธอเป็นไอดอลในดวงใจเลย”
เมื่อต้องบอกว่าชอบตัวเองขึ้นมา ในใจเธอจึงรู้สึกว่าแปลกประหลาดอยู่พอสมควร ใครรู้เข้าคงคิดว่าเธอหลงตัวเองอย่างหนัก
“ก็นะครับ” อู๋ฝานตอบรับ “ดาราใหญ่ระดับประเทศขนาดนั้น มีคนชอบมากมายก็ไม่ใช่เรื่องแปลก โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว”
“คุณก็ชอบเธอเหรอคะ?” สวี่จื่อฉีเอ่ยถาม
“ผม? ก็นะครับ” อู๋ฝานตอบรับ “อันที่จริงผมก็ไม่ได้ตามดาราอะไรขนาดนั้น แค่ก่อนหน้านี้มีความประทับใจที่ดีให้ แต่ไม่นานมานี้ก็เพิ่งจะเปลี่ยนใจไปครับ”
“หมายความว่ายังไงคะ?” สวี่จื่อฉีเอ่ยถาม
“ผมรู้สึกว่าสวี่จื่อฉีก็แค่นั้นแหละครับ นิสัยเสียด้วยซ้ำ มีดวงตาอยู่เหนือศีรษะมองข้ามหัวคนอื่น” อู๋ฝานตอบกลับ
“คุณ… พูดแบบนั้นได้ยังไงกันคะ? รู้จักเธองั้นเหรอ? ทำไมถึงรู้ว่าเธอมองข้ามหัวคนอื่นแบบนั้น?” สวี่จื่อฉีร้องถาม
“ต่อให้ไม่เคยพบ แต่สินค้าที่เราเตรียมขอให้เธอเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ พอยื่นข้อเสนอไป สิ่งที่ได้กลับมาคือไม่มีแม้แต่การพูดคุย ไม่เคยมาให้เห็นหน้าแล้วปฏิเสธด้วยตัวเองด้วยซ้ำ แค่เพราะสินค้าของผมไม่ได้มีชื่อเสียงก็เลยมองข้าม อย่างนี้ไม่ให้เรียกมองข้ามหัวคนอื่นแล้วจะเรียกว่าอะไรล่ะครับ?” อู๋ฝานตอบกลับ
“บางทีอาจเพราะสินค้าของคุณใช้ไม่ได้ผล หรือไม่เธอก็ไม่รู้เรื่องหรือเปล่าคะ?” สวี่จื่อฉีถามกลับ
“สินค้าของผมเนี่ยนะใช้ไม่ได้ผล? ตลกดีนะครับ! สินค้าของผมดีที่สุดในแวดวงนี้เลยด้วยซ้ำ!” อู๋ฝานตอบกลับด้วยความมั่นใจ “ส่วนเรื่องที่บอกว่าเธอคงไม่รู้ คิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ครับ เรื่องการเจรจาอย่างเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ต่อให้เธอไม่ได้จัดการด้วยตัวเอง ผู้จัดการของเธอก็ควรจะแจ้งให้รู้บ้าง เธอไม่ใช่ดาราหน้าใหม่ในบริษัทนะครับ เรื่องการเจรจาครั้งใหญ่จะไม่มีสิทธิ์รู้เลยอย่างนั้นเหรอ?”
มันก็เป็นไปไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ
สวี่จื่อฉีทราบดีว่าอู๋ฝานพูดถูก แม้พี่จ้าวของเธอจะคอยจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ให้ แต่หากเป็นงานใหญ่เธอก็มีสิทธิ์ได้รับรู้
“แต่ฉันก็มองว่าเรื่องนี้จะต้องมีเหตุผลค่ะ เธอไม่ใช่คนแบบนั้น” สวี่จื่อฉีพยายามปกป้องตัวเอง
“กลุ่มแฟนตาบอดสินะครับ” หลังได้รับเงินแล้ว อู๋ฝานจึงเก็บโทรศัพท์พร้อมกับเมินอีกฝ่ายก่อนจะเดินกลับไปที่รถของตัวเอง
“ฉันไม่ได้เป็นพวกแฟนดาราตาบอดนะคะ! เธอไม่ใช่คนแบบนั้นจริง ๆ ค่ะ!” สวี่จื่อฉีตะโกนเสียงดัง
แต่อู๋ฝานไม่สนใจ เขาขึ้นรถและสตาร์ตเครื่องยนต์ ก่อนจะเดินทางจากไป