ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 469 ขึ้นเขา
บทที่ 469
ขึ้นเขา
ผู้ชายที่เดินนำหน้าสุดนั้นผอมสูง และความสูงของเขานั้นก็เกือบจะถึง 2 เมตร ซึ่งทำให้ผู้คนนั้นรู้สึกได้ถึงความทรงพลังและไม่ธรรมดาของเขา
เมื่อจางเสียงเห็นชายคนนั้นปรากฏตัวออกมา เขาก็ได้รีบเข้าไปหาและกล่าวอย่างประจบประแจงทันที: “ศิษย์พี่เฉาปิง ลมอะไรหอบท่านมาถึงที่นี่ได้? ศิษย์น้องไม่ทราบล่วงหน้าจะไม่ได้เตรียมการต้อนรับท่านได้โปรดให้อภัยด้วย!”
แต่ทว่าชายที่ชื่อเฉาปิงนั้นกลับไม่สนใจในคำประจบประแจงของจางเสียง เขาจ้องมองมาที่เย่เย่กับพรรคพวกที่กำลังจะตามจางเสียงขึ้นไปบนภูเขา จากนั้นก็ได้หันมาและกล่าวกับจางเสียง: “ให้พวกเขากลับไป! แล้วจากนี้ไปเป็นเวลาครึ่งเดือน เขาจิ้นโม๋ซานจะไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามา หากว่าใครฝ่าฝืนฆ่าทิ้งได้ทันที!”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมาทุกคนต่างก็มีสีหน้าเศร้าหมอง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเย่เย่กับเฉินผงที่ไม่ได้ขึ้นเขาจิ้นโม๋ซานด้วยจุดประสงค์ขุดเหมืองแต่เป็นเหตุผลอื่นแล้ว คำสั่งของเฉาปิงนี้จึงเป็นการขัดขวางแผนการของพวกเขา พวกเขาจึงได้มีสีหน้าไม่ดีปรากฏออกมา
โดยเฉพาะเย่เย่หลังจากที่ได้ยินกำหนดเวลาที่เฉาปิง กล่าวแล้ว เขาก็เดาได้ทันทีว่าจุดประสงค์ของพวกเขาก็เพื่อกันคนนอกไม่ให้เข้ามาในเขาจิ้นโม๋ซานเพื่อต้อนรับการมาถึงของเจ้าสำนักโจวปู้เหยี่ยน เพราะข่าวการมาเยือนเขาจิ้นโม๋ซานของ โจวปู้เหยี่ยนนั้นไม่ได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ คนอื่นๆนอกจากเย่เย่จึงได้ไม่รู้เรื่องนี้
จางเสียงเองก็ไม่เข้าใจความหมายในคำสั่งของเฉาปิงเช่นกัน ตัวเขาที่รับเงินจากเฉิงผิงมาแล้วนั้นก็จะเท่ากับทรยศความเชื่อใจของอีกฝ่าย และอาจจะถูกเอาคืนโดยพวกคนที่จะมาขุดเหมืองเหล่านี้ได้ แต่หลังจากที่ลังเลอยู่สักพัก เขาก็ได้ตัดสินใจที่จะทำตามคำสั่งของเฉาปิง แล้วหันหน้ากลับไปและกล่าวกับพวกเย่เย่อย่างเยือกเย็น “พวกเจ้าคงจะได้ยินที่ศิษย์พี่เฉาว่าแล้ว! ถึงแม้พวกเจ้าจะผ่านการตรวจมาได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะขึ้นเขาไปในวันนี้! พวกเจ้ากลับไปกันก่อนแล้วค่อยกลับมาใหม่ในอีกครึ่งเดือน ข้าจะให้พวกเจ้าขึ้นเขาได้ทันทีเลย!”
เมื่อได้ยินที่จางเสียงกล่าวแล้ว เหล่าจอมยุทธ์พเนจรที่ผ่านการทดสอบนั้นต่างก็พากันแสดงความไม่พอใจออกมาทันที พวกเขานั้นอุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงที่นี่และผ่านด่านตรวจของศิษย์สำนักมารทะเลมาได้แล้ว แต่พวกเขากลับถูกปฏิเสธจนถึงนาทีสุดท้ายเช่นนี้ ไม่ว่าเป็นใครก็อารมณ์ไม่ดีอย่างแน่นอน
“ทำไมถึงทำกันแบบนี้?”
“ทำไมถึงปฏิเสธไม่ให้พวกเราขึ้นเขาล่ะ?”
“พวกข้าต้องการคำอธิบาย!”
มีเหล่าผู้ไม่พอใจบางคนที่ได้เริ่มโวยวายออกมาทันทีและถามพวกจางเสียงเพื่อต้องการคำอธิบาย
เย่เย่เองก็ถือโอกาสนี้เดินเข้าไปหาจางเสียงและกล่าวกับจางเสียงอย่างไม่พอใจ: “คุณชาย แบบนี้มันจะไม่มากเกินไปหน่อยเหรอเอาเงินของพวกเราไปแล้วแต่กลับไม่ทำอะไรเช่นนี้? เป็นถึงสำนักที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนตงไห่แล้ว แต่กลับทำอะไรต่ำตมเช่นนี้ช่างน่าผิดหวังเสียจริง!”
เมื่อได้ยินที่เย่เย่กล่าว สีหน้าจางเสียงก็ได้เปลี่ยนไปทันที และที่ด้านหลังของเขา สายตาที่สงสัยของเฉาปิงก็ได้จับจ้องไปที่จางเสียงทันที แล้วใบหน้าของเฉาปิงก็ได้หนาวเย็นอย่างสุดๆ
ถึงแม้ว่าเรื่องที่จางเสียงกับพรรคพวกจะรับสินบนนั้นจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรในเขาจิ้นโม๋ซาน แต่สำนักมารทะเลนั้นก็เป็นสำนักใหญ่ที่รู้กันว่าเข้มงวดในกฎมาก และความสัมพันธ์ของจางเสียงกับผู้บังคับบัญชาของเขา เฉาปิงนั้นก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก ดังนั้นหลังจากที่เรื่องที่เขารับสินบนนั้นถูกเปิดเผย จางเสียงก็พอจะนึกภาพที่การลงโทษที่เขาจะต้องเผชิญขึ้นมาได้เลย
“หุบปาก! เจ้าอย่ามาพูดอะไรพล่อยๆนะ! ข้ารับเงินเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน? มีใครที่ช่วยยืนยันได้หรือเปล่าว่าข้าเอาเงินของเจ้าไปน่ะ? ขอเพียงเจ้าหาคนที่เป็นพยานให้เจ้าในหมู่พวกเขาได้….”
ในขณะที่จางเสียงกำลังจะปล่อยพลังของเขาในฐานะที่เป็นศิษย์ของสำนักมารทะเลเพื่อข่มขู่เหล่าจอมยุทธ์พเนจร เพื่อกันไม่ให้พวกเขาออกมาเป็นพยานให้เย่เย่อยู่นั้น ก็พบว่ากลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังของเย่เย่นั้นต่างก็พากันยกมือพร้อมกัน ราวกับว่าอยากที่จะเป็นพยานให้กับเย่เย่
อย่างไรเสียตอนนี้พวกเขาก็คงไม่ได้ขึ้นเขาจิ้นโม๋ซานอยู่แล้ว พวกเขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวจางเสียงอีก ในเมื่อ จางเสียงไม่ได้คิดถึงพวกเขาแล้ว เหล่าจอมยุทธ์พเนจรเองก็ไม่มีความจำเป็นต้องปกป้องจางเสียงเช่นกัน
“ดี! ข้าเข้าใจแล้วว่าทุกคนนั้นกระตือรือร้นอยากที่จะขึ้นเขากันมากซึ่งข้าเองก็รู้สึกปลื้มใจจริงๆ! เพียงแต่วันนี้มีเรื่องด่วนเสียก่อนทำให้พวกเราไม่สามารถขึ้นเขาได้จริงๆ แต่ได้โปรดเชื่อเถอะในอีกครึ่งเดือนให้หลังข้าจะพาพวกเจ้าขึ้นเขาจิ้นโม๋ซานด้วยตัวเองเลย! หมดเรื่องแล้วทุกคนแยกย้ายกันไปได้แล้ว!”
จางเสียงที่เห็นว่าคนเหล่านี้ไม่มีใครที่ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อยนั้น ก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่าพวกเขานั้นไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องกลัวเขาเลยแม้แต่น้อยแล้ว จึงได้รีบเปลี่ยนเรื่องและประกาศการตัดสินใจของเขาให้ทุกคนได้รับทราบ
หลังจากที่เหล่าจอมยุทธ์พเนจรที่อยู่ด้านหลังเย่เย่นั้นได้ยินเช่นนี้แล้ว พวกเขาต่างก็มีสีหน้าไม่พอใจและยอมรับไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่าถึงแม้ว่าเหล่าจอมยุทธ์พเนจรนั้นจะมีคนมากกว่า แต่ในสายตาของคนในสำนักมารทะเลแล้วก็ไม่ได้มีค่าอะไรเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นพอผู้คนเห็นเช่นนี้แล้วพวกเขาต่างก็ล้มเลิกความคิดที่จะขึ้นเขาไปและเตรียมที่จะหันหลังกลับและออกไปจากที่นี่
ส่วนเฉาปิงเองก็ไม่คิดที่สืบสาวเอาเรื่องจางเสียงที่นี่หลังจากที่จ้องจางเสียงไปแล้ว ถึงแม้ว่าเขานั้นจะไม่พอใจกับพฤติกรรมของจางเสียงที่รับสินบนมา แต่ในเวลานี้เขาจิ้นโม๋ซานนั้นกำลังอยู่ในภาวะคับขัน เขาจึงไม่ต้องการที่จะสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงได้เลือกที่จะหลับหูหลับตาและเอาผิดจางเสียงที่รับสินบนในครั้งนี้
ในขณะที่ทุกคนคิดว่าเรื่องนี้คงจะจบอยู่แล้วนั้นเอง เย่เย่ก็ได้กำหมัดแน่นและกล่าวขึ้นมาด้วยความไม่ยินยอม: “หน้าหนาสุดๆ”
เมื่อเฉาปิงที่มีวรยุทธ์ถึงระดับจอมเทพนั้นได้ยินที่เย่เย่กล่าว ก็ได้มีความหนาวเย็นปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา แล้วเขาก็ได้เดินขึ้นหน้ามาแล้วถามเย่เย่อย่างเย็นชา: ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่พอใจกับคำสั่งของข้าสินะ? แล้วยังไงต่อ? หรือเจ้าคิดที่จะบุกเข้าไปในเขาจิ้นโม๋ซานของพวกเราสำนักมารทะเลอย่างนั้นเหรอ?”
เฉินผิงที่ยืนอยู่ข้างเย่เย่นั้นก็รู้สึกได้ถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของเย่เย่จึงได้รีบดึงตัวเย่เย่และกล่าวปลอบเขา: “ช่างเถอะ! สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องสู้กับพวกเขาที่นี่!”
ถึงแม้ว่าเฉินผิงนั้นจะรู้สึกเสียใจมากในใจของเขา แต่เขาก็ยังคิดหาหนทางไม่ได้นอกจากต้องหาทางอื่นแอบเข้าไปแทน
แม้ว่าวรยุทธ์ของเขานั้นจะอยู่ในระดับจอมเทพ ซึ่งคนที่แข็งแกร่งพอๆกับเขาก็มีเพียงเฉาปิงแค่คนเดียวเท่านั้น แต่หากว่าตัวเขาไปทำให้ศิษย์ของสำนักมารทะเลโกรธเข้าแล้ว เฉินผิงก็เชื่อว่าในวันนี้ตัวเขานั้นคงได้หมดสิทธิ์ที่จะรอดไปจากเขาจิ้นโม๋ซานเป็นแน่
แต่ทว่าเย่เย่นั้นกลับไม่สนใจฟังคำเกลี้ยกล่อมของเฉินผิง ตัวเขาที่ทำตัวสงบเสงี่ยมก่อนหน้านี้นั้นก็เพื่อที่จะลอบขึ้นเขา จิ้นโม๋ซานอย่างสะดวกๆเท่านั้น แต่เมื่อในเวลานี้เฉาปิงนั้นได้ปิดทางไปต่อของเขาแล้ว เย่เย่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำตัวสงบเสงี่ยมอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะยอมอ่อนข้อให้เฉาปิงแม้แต่น้อย
“ข้าบอกว่าพวกเจ้ามันไร้ยางอายยังไงล่ะ! การทำแบบนี้มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากปล้นกันไม่ใช่รึไง?”
เย่เย่ก็ได้เงยหน้าขึ้นมาแล้วจ้องมองไปที่ดวงตาของเฉาปิง ราวกับว่าตัวเขาจะไม่อดทนอีกต่อไปแล้ว และคิดที่จะสู้กับสำนักมารทะเลจนถึงที่สุด
เฉินผงนั้นก็ได้แอบคิดในใจว่าจบแล้ว ในขณะที่คนอื่นๆที่กำลังจะกลับไปนั้นต่างก็หันมามองเย่เย่อย่างตกตะลึง ราวกับพวกเขานั้นชื่นชมในความกล้าหาญของเย่เย่
แต่ความกล้าหาญก็เป็นได้แค่ความกล้าหาญ เย่เย่ที่ไม่รู้ว่าเวลาไหนควรกล้าเวลาไหนไม่ควรกล้าเมื่ออยู่ในอาณาเขตของสำนักมารทะเลนั้น ก็มีชะตากรรมที่จะต้องพบกับจุดจบที่น่าสังเวชแล้ว ดังนั้นผู้คนจึงได้พากันถอยห่างออกมาทันที ด้วยความกลัวว่าพวกเขาอาจจะถูกโยงเข้าไปเกี่ยวกับเย่เย่และอาจจะถูกพวกเฉาปิงหาว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดได้
“หึ! มันไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าที่จะมาสั่งสอนข้าว่าอะไรควรไม่ควร! ถ้าหากว่าเจ้าไปพอใจ ข้าก็จะให้โอกาสเจ้าระบายความไม่พอใจออกมา ขอเพียงเจ้าสามารถแตะชายเสื้อของข้าภายใน 10 ครั้งได้ ข้าจะยกเว้นให้เจ้าขึ้นเขาจิ้นโม๋ซานให้ก็ได้ แต่ถ้าหากว่าไม่แล้ว…..”
ในตอนแรกเฉาปิงนั้นคิดที่จะใช้เย่เย่เป็นตัวแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของเขา เพื่อกันไม่ให้คนอื่นๆได้คิดทำตาม และในขณะเดียวกันก็เพิ่มบารมีของเขาต่อหน้าเหล่าศิษย์คนอื่นๆของสำนักมารทะเล แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดจบ เย่เย่ที่รอโอกาสนี้อยู่แล้วนั้นก็ไม่ได้รีรอและบุกเข้ามาพร้อมกับชกเข้าไปที่หน้าของเฉาปิงทันที!
ตูม!
พลังที่ทรงพลังก็ได้แผ่ออกไปทั่วทั้งบริเวณนี้ทันที เฉาปิงที่อยู่ในระดับจอมเทพนั้นไม่ทันที่จะได้ป้องกันตัวก็ได้ถูกเย่เย่ต่อยด้วยวรยุทธ์ในระดับราชันย์เทพของเขา!
“ซื้ด!”
ทุกคนต่างก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆและมองไปที่เย่เย่ด้วยสีหน้าที่ทั้งตกตะลึงและตกใจ รวมไปถึงเฉินผิงที่อยู่ใกล้กับเย่เย่นั้นก็ไม่คิดว่าเย่เย่นั้นจะเป็นยอดฝีมือในระดับราชันย์เทพ
เพราะในแผ่นดินว่านหลิงนั้นไม่ว่าจะเป็นแห่งหนตำบลใด เหล่าจอมยุทธ์พเนจรนั้นก็มักจะเป็นกลุ่มคนที่อ่อนแอกว่าจอมยุทธ์ทั่วๆไป วรยุทธ์ของพวกเขานั้นส่วนใหญ่จะต่ำและหาได้ยากที่จะสามารถฝึกจนอยู่ในระดับจอมเทพได้ และยากยิ่งขึ้นไปอีกที่จะฝึกจนถึงราชันย์เทพได้
เมื่อสักครู่ตอนที่เย่เย่ยังมีทีท่าไม่ยอมรับต่อหน้าจางเสียงนั้น ยังไม่รู้สึกได้ถึงความเป็นยอดฝีมือออกมาจากตัวเขาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเฉินผิงจึงได้คิดว่าเย่เย่นั้นคงจะมีวรยุทธ์ที่ต่ำ และอาจจะต่ำกว่าคนอื่นๆในกลุ่มนี้เสียอีก แต่เขาก็ไม่คิดว่าพอ เย่เย่เริ่มลงมือนั้น เย่เย่ก็ได้ปลดปล่อยความแข็งแกร่งในระดับราชันย์เทพออกมาและจัดการต่อยเฉาปิงจนลอยในทันที ซึ่งภาพเช่นนี้ทำให้ตัวเขานั้นไม่สามารถตั้งสติได้อยู่พักใหญ่ๆ
“เกิดอะไรขึ้น?”
ในขณะที่จางเสียงกับศิษย์คนอื่นๆในสำนักมารทะเลต่างก็พากันตกตะลึงในพลังของเย่เย่อยู่นั้น ก็ได้มีชายชราเหาะออกมาจากด้านในของเขาจิ้นโม๋ซาน
ชายชราผู้นี้ดูแล้วน่าจะมีอายุอานามประมาณ 50 ปี และมีพลังในระดับราชันย์เทพแผ่ออกมา ซึ่งเห็นได้ชัดว่ายอดฝีมือของสำนักมารทะเลผู้นี้ได้ออกมาจากเขาจิ้นโม๋ซานอย่างรวดเร็วหลังจากที่รับรู้ได้ถึงพลังของเย่เย่
“ผู้อาวุโสซิว ท่านมาได้เวลาพอดี!”
เมื่อจางเสียเห็นชายชราโผล่ออกมานั้น เขาก็ได้รีบวิ่งไปหาอีกฝ่ายและบอกในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ทันที
เพราะเขานั้นได้รับตั๋วทองของเฉิงผิงมาก่อนหน้านี้ ดังนั้นตัวเขาจึงไม่อาจเข้าหาเฉาปิงอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าจนรื้อฟื้นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ได้ ต่อมาเฉาปิงก็ได้ลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วเดินไปฟ้องกับชายชรา และหวังให้ชายชรานั้นทวงความเป็นธรรมให้กับเขาและทำให้เย่เย่ต้องชดใช้อย่างหนัก
แต่ก็ต้องผิดคาด เพราะชายชรากลับนิ่งเงียบอยู่ชั่วขณะหลังจากที่ฟังที่ทั้งสองคนอธิบายแล้วเดินไปหาเย่เย่กับเฉินผิงแล้วกล่าว: “ข้าพอจะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นคร่าวๆแล้ว! ถึงแม้ว่าสำนักมารทะเลของพวกเราจะมีคำสั่งไม่ให้จ้างจอมยุทธ์พเนจรเข้ามาขุดเหมืองในเขาจิ้นโม๋ซานในช่วงนี้ แต่ในเมื่อพวกเขาได้ผ่านด่านตรวจมาได้ก่อนที่คำสั่งจะมาถึง ก็ยกเว้นให้พวกเขาขึ้นเขามาได้ก็แล้วกัน!”
หลังจากที่กล่าวจบ ชายชราก็ได้จ้องไปที่เย่เย่แล้วกล่าว: “ถ้าหากว่าเจ้าต้องการอะไรหลังจากที่ขึ้นเขามาแล้ว เจ้ามาหาข้าได้โดยตรงเลย! ข้ามีชื่อว่าชิวซื่อเจี๋ย เจ้าจะเรียกว่าว่าผู้อาวุโสชิวก็ได้!”
“ขอบพระคุณผู้อาวุโสชิวที่ช่วยเหลือ!”
เย่เย่ก็ได้ก้มหัวให้กับชายชราอย่างเชื่อฟัง และมีสีหน้ายินดีปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา
เฉินผิงและคนอื่นๆต่างก็ยินดีมากเช่นกัน และพวกเขาต่างก็แสดงความขอบคุณต่อผู้อาวุโสชิว ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะไม่รู้ถึงเหตุผลจริงๆว่าทำไมชิวซื่อเจี๋ยถึงได้ยอมยกเว้นให้กับพวกเขา แต่พวกเขาต่างก็คิดว่าเรื่องนี้คงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเย่เย่
ดังนั้นในตอนที่คนเหล่านี้เดินตามผู้อาวุโสชิวขึ้นเขาไปนั้น พวกเขาต่างก็แสดงความขอบคุณกับเย่เย่ ซึ่งเย่เย่ก็ไม่ได้สนใจกับการที่คนเหล่านี้มีท่าทีเหินห่างจากเขาเมื่อก่อนหน้านี้ และใช้โอกาสนี้ตีสนิทกับคนอื่นๆ
อย่างไรเสียตัวเขาก็จำเป็นต้องซ่อนตัวอยู่สักพักหลังจากที่ขึ้นเขามาได้แล้ว และเขาก็จะปิดบังตัวตนของเขาได้ดีหากกว่าหลอมรวมตัวเองเข้ากับกลุ่มคนเหล่านี้
ส่วนจางเสียง, เฉาปิงและคนอื่นๆที่เห็นชิวซื่อเจี๋ยได้ตัดสินใจลงไปแล้วนั้น พวกเขาก็ย่อมไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมามากกว่านี้ ถึงแม้ว่าเฉาปิงนั้นจะแอบแค้นเย่เย่ แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรกับเย่เย่ได้ โดยปราศจากซึ่งการช่วยเหลือของชิวซื่อเจี๋ยแล้ว ตัวเขาก็ทำได้แค่เก็บความแค้นนี้เอาไว้ในใจและไม่กล้าที่จะปล่อยมันออกมาง่ายๆ