ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 461 ตราเหยียนซาน
บทที่ 461
ตราเหยียนซาน
แก๊ง!
ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นจะป้องกันการฟาดฟันของเย่เย่เอาไว้ได้แต่ แต่ก่อนที่เขาจะถูกเย่เย่ทำให้ต้องลอยขึ้นฟ้า ตัวของเย่เย่ก็ได้หายไปจากสายตาของผู้อาวุโสเป่ยซานทันที
จนเมื่อกลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง ตัวเขาก็ได้มาอยู่ข้างหลังของผู้อาวุโสเป่ยซานแล้ว และได้กวัดแกว่งกระบี่ของเขาและเปิดฉากโจมตีใส่ผู้อาวุโสเป่ยซานราวกับพายุ
แก๊งๆๆๆๆ!
เกิดเป็นเสียงของโลหะกระทบกันดังอย่างต่อเนื่องไปทั่วทั้งชั้น 8 และหมัดของผู้อาวุโสเป่ยซานกับกระบี่ไร้เมฆาของเย่เย่นั้นก็ได้เสียดสีกันจนเกิดไฟได้ท่ามกลางที่ที่มีแต่หิมะกับน้ำแข็ง
ถึงแม้ว่าทุกการโจมตีของเย่เย่นั้นจะไม่สามารถทำให้ผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นบาดเจ็บสาหัสได้ แต่เพราะผู้อาวุโสนั้นยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บของเขา การต่อสู้ที่รุนแรงนี้ก็ได้ทำให้อาการบาดเจ็บของเขานั้นแย่หนักขึ้นไปอีก ผู้อาวุโสเป่ยซานก็ได้ใช้ฝ่ามือเทพพันกรเพื่อโจมตีสวนกลับไปแต่เย่เย่ก็ได้สามารถหลบเลี่ยงได้อย่างง่ายดายทุกครั้งด้วยการหายตัว ทำให้ชัยชนะนั้นเริ่มเอนเอียงไปทางเย่เย่มากขึ้นเรื่อยๆ
“พอ!”
แล้วผู้อาวุโสเป่ยซานที่ยอมรับความจริงได้อย่างรวดเร็วนั้นก็ได้ขอหยุดการต่อสู้กับเย่เย่
หลังจากที่เขาได้ตะโกนบอกให้หยุดอย่างไม่เต็มใจแล้ว เขาก็ได้หยิบแผ่นป้ายออกมาจากแขนเสื้อของเขาแล้วกล่าวกับ เย่เย่: “นี่คือแผ่นป้ายเหยียนซานอันเป็นตัวแทนของผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของตระกูลเหยียน! ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรกับตระกูลเหยียนในอนาคตแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะเหลือทางรอดเอาไว้ให้ตระกูลเหยียนเพื่อเห็นแก่เหยียนลี่หยางด้วย!”
ผู้อาวุโสเป่ยซานก็ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนและมีความรู้สึกจนปัญญาอยู่ในดวงตาของเขา ถึงแม้ว่าเขานั้นจะรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากว่ามอบตรา เหยียนซานให้ไป แต่เขาก็รู้ดียิ่งกว่าว่าในเวลานี้เขาไม่มีทางเลือกใดๆทั้งนั้น
ความแข็งแกร่งของเย่เย่นั้นเหนือกว่าที่เขาคาดเอาไว้ และพัฒนาการก็ยังไม่น่าเชื่ออีกด้วย ถ้าหากว่ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป บางทีตัวเขาอาจจะสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาก็ได้ยามที่เขาเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์ ดังนั้นผู้อาวุโสเป่ยซานจึงได้ถือโอกาสนี้ยอมรับความพ่ายแพ้และมอบตราเหยียนซานให้กับเย่เย่ ซึ่งนอกจากจะถูกบังคับด้วยแรงกดดันจากความเป็นจริงแล้ว ตัวเขาก็ยังคิดที่จะเดิมพันครั้งใหญ่ด้วย
“ไม่ต้องเป็นห่วง ขอเพียงตระกูลเหยียนไม่คิดคดทรยศแล้ว ข้าจะไม่ยอมให้มีอะไรเกิดขึ้นกับตระกูลเหยียนอย่างแน่นอน”
หลังจากที่เย่เย่รับตราเหยียนซานมาแล้ว เขาก็ได้ไม่คิดที่จะอยู่ที่นี่ต่อและออกมาจากหอวิถีสวรรค์และมาปรากฏตัวอยู่ในป่านอกหอ
เหยียนลี่หยางที่อยู่ไม่ไกลออกไปก็รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวและได้พลันหันหน้าไปหาเย่เย่ เย่เย่จึงได้โชว์ ตราเหยียนซานด้วยรอยยิ้มและกล่าวกับเหยียนลี่หยางด้วยความโล่งอก “เรียบร้อยแล้ว! ตอนนี้ก็น่าจะได้เวลาที่เหยียนเจิ้นตงกับผู้นำสมาพันธ์มาถึงที่เมืองหลงเจียงแล้ว!”
เพราะการที่ตระกูลเหยียนได้มารวมตัวกันอยู่ที่เมืองหลงเจียงเป็นปริมาณมากเช่นนี้ พอซ่างกวานจ้งได้ทราบข่าวนี้ก็ได้รีบออกเดินทางจากเมืองโม่ไห่และน่าจะมาถึงที่เมืองหลงเจียงพร้อมๆกับเหยียนเจิ้นตงและพรรคพวกพอดี เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาทั้ง 3 คนก็จะหารือกันถึงแผนการจัดการกับเว่ยเหยียน อันเป็นเป้าหมายใหญ่ของทั้งสมาพันธ์โม่ไห่และตระกูลเหยียน
เหยียนลี่หยางก็ได้ผงกหัวให้ทันทีที่เห็นตราเหยียนซานในมือของเย่เย่ แล้วจากนั้นทั้งสองก็ได้เก็บหอวิถีสวรรค์กลับไปแล้วเหาะไปยังเมืองหลงเจียง หลังจากนั้นสักพักทั้งคู่ก็ได้มาถึงที่จวนเจ้าเมืองและเริ่มเตรียมการต้อนรับเหยียนเจิ้นตงและพรรคพวก
2 วันต่อมา เหยียนเจิ้นตงกับพรรคพวก และซ่างกวานจ้งก็ได้เดินทางมาถึงเมืองหลงเจียง
เย่เย่ก็ได้ให้การต้อนรับพวกเขาอย่างเป็นทางการที่ห้องประชุมในจวนเจ้าเมือง แล้วทั้ง 3 คนก็ได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกันสักพักหนึ่งแล้วก็ได้ตรงเข้าเนื้อหาหลักทันที ซ่างกวานจ้งก็ได้กล่าวกับเย่เย่ขึ้นมาก่อนด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล: “เว่ยเหยียนได้จัดการทดสอบเข้าสำนักขึ้นที่เมืองเหยียนเป่ย และอิทธิพลของสำนักแก้วหลากสีนั้นก็ได้ขยายเพิ่มมากขึ้นไปอีก! ถ้าหากว่าสถานการณ์ในเมืองเหยียนเป่ยยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เป้าหมายต่อไปของพวกเขาก็คงเป็นสมาพันธ์โม่ไห่ของพวกเราเป็นแน่ เรียกได้ว่าสถานการณ์นั้นไม่สู้ดีนัก”
สีหน้าของเหยียนเจิ้นตงนั้นก็ได้ไม่ดีอย่างมากเมื่อเขาได้ยินเช่นนี้ เพราะว่าเมืองเหยียนเป่ยนั้นเป็นของตระกูลเหยียนของพวกเขามาก่อน และการสำนักแก้วหลากสีได้ตั้งรกรากกันที่เมืองเหยียนเป่ยนั้น ก็ได้ทำให้โอกาสที่ตระกูลเหยียนนั้นจะสามารถยึดเอาเมืองเหยียนเป่ยกลับคืนมาได้นั้นก็ยิ่งน้อยลงไปอีก
“ผู้นำสมาพันธ์ซ่างกวาน, ผู้อาวุโสสูงสุดเย่เย่ ข้าต้องขอขอบคุณการช่วยเหลือของท่านทั้งสองในเวลานี้มาก ที่ให้ที่อยู่ชั่วคราวกับตระกูลเหยียนของพวกเรา! ในเวลานี้ตระกูลเหยียนของพวกเรานั้นต้องเผชิญกับเคราะห์หนักและลำพังกำลังของตระกูลเหยียนอย่างเดียวคงไม่สามารถที่จะพลิกสถานการณ์นี้ได้ ข้าจึงได้ขอให้ท่านทั้งสองช่วยตระกูลเหยียนของพวกเราอีกครั้งด้วย!”
ถึงแม้ว่าเหยียนเจิ้นตงนั้นจะไม่สามารถเชื่อใจในสมาพันธ์โม่ไห่อย่างสนิทใจได้ แต่ในเวลานี้ตระกูลเหยียนของพวกเขานั้นก็ไม่ได้เป็นเลิศเหมือนดั่งแต่ก่อนอีกแล้ว ถ้าหากพวกเขายังคงหยิ่งทะนงในฐานะตระกูลอันดับหนึ่งของดินแดน เทียนหนานอยู่อีก ก็เกรงว่าคงจะไม่มีใครในดินแดนเทียนหนานที่จะสามารถช่วยตระกูลเหยียนของพวกเขาได้ทั้งนั้น
ดังนั้นหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่งเหยียนเจิ้นตงจึงได้ถือโอกาสลุกขึ้นมาก่อนแล้วก้มหัวคารวะให้กับซ่างกวานจ้งและเย่เย่แล้วกล่าวขอร้องพวกเขา
“ข้าหวังว่าพวกท่านทั้งสองจะช่วยตระกูลเหยียนของพวกเรา! และหลังจากที่ผ่านพ้นหายนะในครั้งนี้ไปได้แล้ว ตระกูลเหยียนของพวกเราก็จะไม่มีวันลืมบุญคุณนี้ไปจนวันตาย!”
เหยียนเสียอวิ๋นผู้นำตระกูลเหยียนคนปัจจุบันที่ตาม เหยียนเจิ้นตงเข้ามาด้วยนั้นก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วก้มหัวขอร้อง ซ่างกวานจ้งกับเย่เย่ด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ว่าทั้งสองคนได้ขอร้องทั้งซ่างกวานจ้งกับเย่เย่พร้อมกันก็ตามที แต่ดวงตาของพวกเขาก็ได้จับจ้องไปที่เย่เย่ ซึ่งไม่ใช่แค่เพราะเย่เย่นั้นเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสมาพันธ์โม่ไห่ แต่เป็นเพราะเหยียนเจิ้นจงกับเหยียนเสียอวิ๋นนั้นได้ฝากความหวังทั้งหมดของพวกเขาไปที่ท่านอาจารย์ลึกลับที่หนุนหลังเย่เย่อยู่
ซึ่งหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำไมตระกูลเหยียนถึงได้ถูก เว่ยเหยียนยึดได้โดยง่ายนั้นก็เป็นเพราะผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นถูกอาจารย์ลึกลับของเย่เย่นั้นเอาตัวไป ถึงแม้ว่าเหยียนเจิ้นตงกับ เหยียนเสียอวิ๋นนั้นไม่กล้าที่จะโทษเรื่องนี้กับเย่เย่และอาจารย์ของเขา แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องฝากความหวังทั้งหมดไว้กับอาจารย์ลึกลับของเย่เย่
ถ้าหากอาจารย์ของเย่เย่นั้นยังคงยืนยันที่จะไม่ปล่อยตัวผู้อาวุโสเป่ยซานแล้ว ดังนั้นพวกเขาก็คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องขอให้รับผิดชอบกับสถานการณ์ในปัจจุบันของ ตระกูลเหยียน และเพราะว่านี่เป็นเรื่องระหว่างเย่เย่กับ ตระกูลเหยียนแล้ว ทั้งเหยียนเจิ้นตงกับเหยียนเสียอวิ๋นนั้นจึงไม่ได้เอ่ยถึงตัวตนของอาจารย์ลึกลับของเย่เย่ต่อหน้าซ่างกวานจ้ง
เย่เย่เองก็พอจะเดาได้ถึงความคิดของเหยียนเจิ้นตงกับเหยียนเสียอวิ๋น แต่เขานั้นยังไม่มีความคิดที่จะปล่อยตัวผู้อาวุโสเป่ยซานหรือเชิญให้อาจารย์ลึกลับของเขาต้องออกมา ภายใต้สายตาของซ่างกวานจ้ง, เหยียนเจิ้นตงและคนอื่นๆแล้ว เย่เย่ก็ได้กล่าวกับพวกเขาด้วยคำตอบที่เขาเตรียมเอาไว้นานแล้ว: “พวกท่านไม่ต้องกังวล! ข้าจะไปเข้าร่วมงานทดสอบเข้าสำนักแก้วหลากสีด้วยตัวเอง! ซึ่งถ้าหากไปได้สวยแล้ว ต่อจากนี้ไปก็จะไม่มีเว่ยเหยียนอยู่ในดินแดนเทียนหนานอีก!”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทั่วทั้งห้องประชุมนั้นก็ได้ตกอยู่ในความเงียบทันที
ถึงแม้ซ่างกวานจ้งนั้นจะรู้ตั้งแต่คราวก่อนแล้วว่าเย่เย่นั้นคิดที่จะไปที่เมืองเหยียนเป่ยเพื่อสู้กับเว่ยเหยียน แต่เขาก็ยังรู้สึกกังวลกับการตัดสินใจของเย่เย่ในเวลานี้อยู่ดี
“เย่เย่ พลังของเว่ยเหยียนนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะทำเป็นเล่นๆได้นะ! แม้แต่ผู้อาวุโสถงอวิ๋นกับผู้อาวุโสฮว๋าเฟิงก็ยังต้องตายด้วยน้ำมือของเขา เจ้ายังคิดที่จะไปอยู่จริงๆเหรอ?”
เพราะเย่เย่นั้นได้กลายเป็นเหมือนจุดศูนย์รวมของทั้งสมาพันธ์โม่ไห่ไปแล้ว ดังนั้นซ่างกวานจ้งจึงได้ไม่ต้องการให้เย่เย่เข้าไปเสียงเว้นแต่จะเป็นมาตรการขั้นสุดท้ายจริงๆ
เหยียนเจิ้นตง, เหยียนเสียอวิ๋นและคนอื่นๆที่ต่างก็เพิ่งตั้งสติจากการตัดสินใจที่แน่วแน่ของเย่เย่ได้นั้น หลังจากที่ทั้งสองคนจ้องหน้ากัน เหยียนเจิ้นตงเองก็ได้กล่าวเตือนเย่เย่อย่างเอาจริงเอาจัง: “ผู้อาวุโสเย่เย่ ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ถึงขอบเขตพลังของท่าน แต่พลังของเว่ยเหยียนนั้นก็เหนือความคาดหมายมากนัก ในเวลานี้ข้าคิดว่านอกจากยอดฝีมือระดับสูงสุดจักรพรรดิเทพแล้วก็ไม่มีใครที่สามารถเป็นคู่มือของเว่ยเหยียนได้อีก และท่านนั้นเพิ่งจะบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพได้ไม่นาน จึงยังห่างไกลจากระดับสูงสุดจักรพรรดิเทพมากนัก ไม่ใช่ว่าการตัดสินใจนี้มันจะไม่เสี่ยงเกินไปหน่อยเหรอ?”
หนทางที่ปลอดภัยของพวกเขาทั้งคู่นั้นคือการขอให้ท่านอาจารย์ที่อยู่เบื้องหลังของเย่เย่นั้นมาออกหน้าแทน ไม่อย่างนั้นก็ให้ท่านอาจารย์ของเย่เย่นั้นปล่อยตัวผู้อาวุโสเป่ยซานออกมา หากลำพังเย่เย่เพียงคนเดียวแล้ว พวกเขานั้นไม่คิดว่าความเป็นไปได้ที่จะทำได้สำเร็จนั้นจะสูงมากนัก
เมื่อเห็นว่าทั้งสองฝ่ายนั้นต่างก็ไม่มั่นใจในการตัดสินใจของเขา เย่เย่จึงได้พลันหัวเราะออกมาแล้วจากนั้นก็ได้กล่าวกับทุกคนด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด “อย่าลืมสิว่าถึงแม้ว่าเว่ยเหยียนนั้นจะเป็นถึงผู้มาจุติ แต่ข้าเองก็เป็นผู้มาจุติที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเช่นกัน! ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังพาเหยียนลี่หยางไปด้วย ต่อให้ข้าแพ้เว่ยเหยียนก็ยังสามารถที่จะหนีรอดออกมาได้อยู่ ดังนั้นไม่ต้องกังวลไปหรอก!”
เย่เย่นั้นพอจะเดาความคิดของเหยียนเจิ้นตงกับ เหยียนเสียอวิ๋นว่ากำลังคิดอะไรอยู่ได้ แต่จนกว่าเขาจะหาวิธีที่ใช้ควบคุมผู้อาวุโสเป่ยซานได้ เย่เย่นั้นจะไม่ปล่อยให้เขาได้ออกมาเห็นแสงตะวันแน่ ส่วนเรื่องของอาจารย์ที่คอยหนุนหลังเขาอยู่นั้น เป็นเพียงแค่บุคคลสมมติไม่มีตัวตนจริงตั้งแต่แรกแล้ว เย่เย่จึงไม่สามารถที่จะเรียกให้เขาออกมาได้แน่
เย่เย่ก็ได้ตัดสินใจไว้แล้วว่าตัวเขาจะไปที่เมืองเหยียนเป่ยพร้อมกับคนของเขา ถ้าหากว่าเหยียนลี่หยางนั้นไม่ได้ไปที่สำนักแก้วหลากสีและทำลายแผนการของพวกเขาแล้ว ก็เกรงว่า เว่ยเหยียนนั้นคงจะชนะศึกนี้ไปนานแล้ว
แต่ทว่าในเมื่อเหยียนลี่หยางกับสำนักต่างไฟนั้นไม่สามารถที่จะทำให้เว่ยเหยียนนั้นถอยได้ เย่เย่จึงทำได้แค่ต้องยึดเอาแผนการก่อนหน้านี้และไปที่เมืองเหยียนเป่ยด้วยตัวเองเพื่อสู้กับเย่เย่
ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นไม่รู้ว่าจะมีตัวใหญ่ๆมาร่วมงานทดสอบเข้าสำนักในเมืองเหยียนเป่ยมากขนาดไหนก็ตาม แต่เย่เย่นั้นเชื่อว่าหากซูเทียนอวี้จากสำนักต่างไฟมาที่เมืองเหยียนเป่ยแล้ว ทางสำนักต่างไฟเองก็คงไม่ยอมที่จะอยู่เฉยๆแน่
แต่ถึงอย่างนั้นคนเพียงคนเดียวที่เขาจำเป็นต้องจัดการนั้นก็มีเพียงเว่ยเหยียนคนเดียวเท่านั้น ขอเพียงว่าตัวเขานั้นสามารถที่จะกำจัดเว่ยเหยียนให้หายไปจากโลกนี้ได้ ตัวการใหญ่ของสำนักแก้วหลากสีนั้นก็จะหายไปตลอดกาล และหากต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลังอย่างสำนักต่างไฟแล้วพวกเขานั้นไม่เพียงแต่จะป้องกันตัวเองไม่ได้แล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะเป็นภัยคุกคามต่อสมาพันธ์โม่ไห่ได้อีกอย่างแน่นอน
เมื่อเหยียนเจิ้นตง, ซ่างกวานจ้ง และคนอื่นๆนั้นมองไปที่เย่เย่ที่ได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ไปแล้วนั้น พวกเขาต่างก็หยุดพูดและยอมรับในแผนการของเย่เย่ อย่างไรเสียในห้องประชุมเวลานี้มีเพียงเย่เย่ที่มีวรยุทธ์สูงที่สุดแล้ว และยังมีเหยียนลี่หยางที่เป็นรองเพียงแค่เย่เย่เท่านั้นก็ยังคอยยืนเคียงข้างเย่เย่อยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าพวกเขาจึงทำได้เพียงแค่เชื่อใจเย่เย่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
และในขณะที่ทุกคนนั้นคิดว่าการประชุมในครั้งนี้คงกำลังจะจบอยู่นั้นเอง เย่เย่นั้นจู่ๆก็หยิบเอาแผ่นป้ายออกมาจากในแขนเสื้อของเขา และกล่าวกับเหยียนเจิ้นตงและ เหยียนเสียอวิ๋นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด: “พวกท่านทั้งสองคงจะรู้ใช่มั๊ยว่าที่มาของแผ่นป้ายนี้คืออะไร?”
ซ่างกวานจ้งเองก็ได้รู้สึกสงสัยขึ้นมาเมื่อเขาเห็นว่าเย่เย่ได้หยิบเอาแผ่นป้ายออกมา แต่สีหน้าของเหยียนเจิ้นตงกับ เหยียนเสียอวิ๋นก็ได้เปลี่ยนไปอย่างมาก ทั้งคู่จึงได้ลุกขึ้นมาแล้วเดินไปหาเย่เย่แล้วถามอย่างกระวนกระวายใจ: “นี่คิดป้าย ตราเหยียนซานที่ผู้อาวุโสเป่ยซานพกติดตัวอยู่ตลอดเพื่อเป็นการแสดงว่าเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงที่สุดของตระกูลเหยียนของพวกเรา! ทำไมผู้อาวุโสเย่เย่ถึงได้มีแผ่นป้ายนี้อยู่ในมือของท่านได้?”
ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะรู้ว่าผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นถูกผู้ที่ เย่เย่เรียกว่าอาจารย์จับตัวไป แต่เพราะตราเหยียนซานนั้นเป็นของที่สำคัญอย่างมากจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นจะยอมยกแผ่นป้ายนี้ให้กับผู้อื่นง่ายๆแน่ ดังนั้นทั้งคู่จึงได้มีท่าทีสงสัยเย่เย่อย่างมากเกี่ยวกับที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานี้ และได้มองไปที่เย่เย่ด้วยความสงสัยขึ้นมา
“พวกท่านไม่จำเป็นต้องคิดมากขนาดนั้นหรอก! ตราเหยียนซานนี้ข้าได้รับมาจากผู้อาวุโสเป่ยซานหลังจากที่เขาได้รู้ถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของตระกูลเหยียนแล้ว จึงได้ตัดสินใจที่จะให้ตระกูลเหยียนนั้นเข้าร่วมกับสมาพันธ์โม่ไห่! ซึ่งตรา เหยียนซานนี้พวกเจ้าจะลองเอาไปตรวจสอบดูก็ได้นะ!”
เย่เย่นั้นก็พอจะเดาได้ว่าเหยียนเจิ้นตงกับเหยียนเสียอวิ๋นนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ จึงได้โยนตราเหยียนซานไปอยู่ในมือของอีกฝ่ายทันที และกล่าวกับเหยียนเจิ้นตงกับเหยียนเสียอวิ๋นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทุกคนในห้องประชุมนี้รวมถึง ซ่างกวานจ้งต่างก็พากันตกใจ
ซ่างกวานจ้งเองก็ได้มองไปที่เย่เย่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจ และมีทั้งความสงสัยและประหลาดใจอยู่ในดวงตาของเขา ถึงแม้ว่าเขานั้นจะไม่รู้ว่าเย่เย่นั้นได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับข่าวลือที่ว่าผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นหายตัวไป แต่หาก ตระกูลเหยียนเข้าร่วมกับสมาพันธ์โม่ไห่แล้วจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับตัวเขา ดังนั้นซ่างกวานจ้งจึงได้มองไปที่ เหยียนเจิ้นตงกับเหยียนเสียอวิ๋นอย่างคาดหวัง