ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 460 ชั้นที่ 8
บทที่ 460
ชั้นที่ 8
ชั้นที่ 8 ของหอวิถีสวรรค์นั้น เป็นชั้นที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งและหิมะ
เสียงลมพัดที่โหยหวน น้ำแข็งและหิมะเต็มไปทั่ว และพลังปราณในอากาศของที่นี่ก็ปั่นป่วนอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากมีคนที่มีวรยุทธ์ต่ำกว่าระดับเทพอสูรเข้ามาในนี้แล้ว ก็คงจะได้แข็งตายในเวลาไม่ถึงวัน
ในเวลานี้มีชายชราผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนเนินเขาที่เกิดจากน้ำแข็งและหิมะที่หนาแน่น ถึงแม้ว่าพลังปราณของเขาจะปั่นป่วนเล็กน้อยและใบหน้าของเขาก็ยังซีดเผือดมาก แต่ก็มองไม่เห็นบาดแผลบนร่างของเขาแล้ว เขามีอาการดีขึ้นกว่าตอนแรกแล้ว
คนผู้นี้คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งของตระกูลเหยียนที่ถูกเย่เย่ขังเอาไว้ในหอวิถีสวรรค์ และผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นก็มีวรยุทธ์อยู่ในระดับสูงจักรพรรดิเทพแล้ว ในเวลานี้ถึงแม้ว่าอาการบาดเจ็บของผู้อาวุโสนั้นจะยังไม่หายดีเพราะว่าเขาไม่สามารถที่จะจัดการกับพลังปราณในอากาศที่ปั่นป่วนนี้ให้กลายมาเป็นพลังปราณของตัวเองได้ง่ายๆ จึงทำได้แค่ซึมซับเข้ามาในร่างกายของเขาอย่างช้าๆเท่านั้น แต่ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นก็ได้ฟื้นคืนมาส่วนใหญ่แล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะเย่เย่นั้นมั่นใจว่าตัวเองนั้นสามารถหายตัวไปมาในหอวิถีสวรรค์ได้แล้ว ก็เกรงว่าตัวเขาคงไม่กล้าที่จะมาโผล่อยู่ตรงหน้าของผู้อาวุโสเป่ยซานอย่างในเวลานี้แน่
“หืม?”
ในเมื่อโลกในหอวิถีสวรรค์นั้นจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกแล้ว ผู้อาวุโสเป่ยซานจึงได้ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่โลกภายนอกบ้างในเวลานี้ ดังนั้นเมื่อเขาพบเย่เย่มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขาเช่นนี้ ก็ได้มีแววตาประหลาดใจบนใบหน้าของเขาและคิดว่าตัวเองนั้นเห็นภาพหลอนด้วยซ้ำ
“ท่านผู้อาวุโสเป่ยซาน ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะ!”
เย่เย่ก็ได้มองไปที่ผู้อาวุโสเป่ยซานและรู้สึกตื้นตันใจเล็กน้อย แต่ทว่าตัวเขานั้นรู้สึกได้ถึงความไร้ปรานีและมุ่งมั่นออกมาจากตัวของผู้อาวุโสเป่ยซานได้มากกว่า และเหตุนี้ตัวเขาจึงได้ไม่ประมาทและกับกระบี่ไร้เมฆาในมือของตัวเองแน่นพร้อมที่จะชักออกมาจากฝักตลอดเวลา
“เป็นเจ้าจริงๆหรอกรึ!”
หลังจากที่ได้ยินเสียงของเย่เย่ ผู้อาวุโสเป่ยซานก็ได้มั่นใจขึ้นมาว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขานี้ไม่ใช่ภาพหลอน และมีแสงปรากฏขึ้นมาในดวงตาของเขา
โดยปราศจากซึ่งการลังเล เขาก็ได้เหาะไปตรงหน้าของ เย่เย่และต่อยใส่เย่เย่โดยไม่พูดไม่จาอะไรทั้งสิ้น
ตูม!
หิมะที่โปรยปรายลงมาก็ได้ฟุ้งกระจายไปทั่ว และพลังปราณในอากาศที่ปั่นป่วนอยู่แล้วก็ได้เกิดร้อนขึ้นมา แล้วทั่วทั้งชั้น 8 ของหอวิถีสวรรค์ก็ได้ส่งเสียงดังฉ่าไปทั่ว
แต่ทว่าเย่เย่เองก็ได้เตรียมตัวเอาไว้อยู่แล้ว ในตอนที่ผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นได้มาปรากฏตัวตรงหน้าเขา เขาก็ได้รีบย้ายไปที่อื่นทันที ทำให้ที่ผู้อาวุโสเป่ยซานต่อยไปนั้นเป็นเพียงความว่างเปล่า
เย่เย่ก็ได้ยื่นมือออกมาแล้วกดลงบนอากาศ ทำให้หิมะที่โปรยปรายลงมานั้นสงบลง และพลังปราณในอากาศก็ได้สงบลง ราวกับว่าทั่วทั้งชั้น 8 นี้กำลังจะละลายหิมะลงและเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ
ผู้อาวุโสเป่ยซานก็ได้มองไปที่เย่เย่ผู้ที่ไปปรากฏตัวที่อื่น และก็เข้าใจได้ว่าภายในหอวิถีสวรรค์นี้ แม้ว่าเย่เย่นั้นจะไม่ได้สวมชุดเกราะสวรรค์นภาทมิฬ ตัวเขาก็ยังไร้พ่ายอยู่ดี
“หึ! เจ้าเป็นประมุขหอวิถีสวรรค์คนปัจจุบันไม่ใช่เหรอ? ถ้าหากว่าเจ้ามีความสามารถมากพอก็ออกมาสู้กับข้าตรงๆ วีรบุรุษประสาอะไรถึงได้ทำอะไรหลบๆซ่อนเช่นนี้?”
ผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นไม่ได้เปิดฉากโจมตีอีก แต่กลับยืนอยู่นิ่งๆและมองไปที่เย่เย่อย่างหนาวเย็นราวกับว่าเต็มไปด้วยความไม่พอใจที่มีต่อเขา
จริงๆก็ควรเป็นเช่นนั้นเพราะตัวเขานั้นเป็นถึงยอดฝีมืออันดับหนึ่งของตระกูลเหยียนที่มีพลังระดับสูงสุดจักรพรรดิเทพ แต่กลับถูกเย่เย่จับมาขังเอาไว้ แม้ว่าผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นจะรู้ถึงตัวจริงของเย่เย่นั้นไม่ใช่ธรรมดาๆ แต่ความคับข้องใจในใจของเขานั้นก็ไม่อาจที่จะหายไปเพียงแค่พูดไม่กี่คำได้
“ท่านอยากที่จะสู้กับข้าตัวต่อตัวอย่างนั้นเหรอ? ข้าจะสนองต่อท่านก็ได้! แต่ถ้าหากท่านแพ้ท่านจะต้องมอบแผ่นป้ายประจำตระกูลที่อยู่กับตัวของท่านมาให้ด้วย!”
ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสเป่ยซานจะคาดไม่ถึงว่าเย่เย่จะยอมตกลงกับข้อเสนอของเขา แต่ยังรวมถึงข้อเสนอของเย่เย่ที่ทำให้ผู้อาวุโสเป่ยซานต้องสงสัยและไม่รู้ว่าเย่เย่นั้นกำลังคิดอะไรอยู่
“ป้ายประจำตระกูลของข้า? เจ้าจะเอาไปทำอะไร?”
ผู้อาวุโสเป่ยซานก็ได้เต็มไปด้วยความระแวดระวังต่อ เย่เย่ และหากเขาปฏิเสธข้อเสนอของเย่เย่ง่ายๆ เขาก็คงได้ถูก เย่เย่ขังอยู่ที่นี่ไปตลอดไม่มีโอกาสได้กลับออกมาแน่
เย่เย่เองก็ไม่ได้ความคิดที่จะปิดบังแผนการของเขาต่อผู้อาวุโสเป่ยซานอยู่แล้ว จึงได้บอกกับอีกฝ่ายไปว่าเว่ยเหยียนนั้นได้เข้ายึดครองภูเขาเหยียนเป่ยไปแล้ว และตระกูลเหยียนนั้นก็ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองหลงเจียงแล้ว
“ตระกูลเหยียนในเวลานี้ย่ำแย่ไม่เหมือนดั่งแต่ก่อนแล้ว และการเข้าร่วมกับสมาพันธ์โม่ไห่นั้นก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ข้าจึงอยากได้แผ่นป้ายประจำตระกูลที่อยู่กับตัวของท่านและคิดที่จะใช้มันเกลี้ยกล่อมให้เหยียนเจิ้นตงกับเหยียนเสียอวิ๋นและคนในระดับสูงของตระกูลคนอื่นๆยอมแต่โดยดี! ถ้าหากว่า ผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นไม่เชื่อในพลังของข้าเย่เย่ พวกเรามาสู้กันอย่างเต็มที่กันเพื่อดูว่าสมาพันธ์โม่ไห่นั้นคู่ควรกับที่ตระกูลเหยียนของท่านยอมสวามิภักดิ์หรือไม่ก็ได้นะ!”
หลังจากที่เย่เย่พูดจบเขาก็ได้ชักกระบี่ไร้เมฆาออกมาอย่างช้าๆ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่มีตัวเลือกให้ผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย ต่อให้ตัวเขานั้นจะต้องแย่งชิงมาจากผู้อาวุโสเป่ยซาน เขาก็จะต้องเอาแผ่นตราประจำตระกูลมาจากผู้อาวุโสเป่ยซานเพื่อเกลี้ยกล่อมเหยียนเจิ้นตงกับพรรคพวกให้ได้
เมื่อเห็นดวงตาที่แน่วแน่ของเย่เย่แล้ว สีหน้าของ ผู้อาวุโสเป่ยซานก็ได้เคร่งเครียดขึ้นมา ถ้าหากว่าคำพูดนี้ออกมาจากปากของคนอื่นแล้วเขาก็คงจะหัวเราะเยาะไปแล้ว แต่ในเมื่อเขารู้แล้วว่าตัวตนที่แท้จริงของเย่เย่นั้นคือประมุขหอวิถีสวรรค์ ผู้อาวุโสเป่ยซานจึงได้ไม่กล้าที่จะทำเป็นไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นสถานที่แห่งนี้ก็เป็นข้างในหอวิถีสวรรค์ และเย่เย่นั้นก็เป็นถึงประมุขหอจึงมีความได้เปรียบในฐานะเจ้าบ้านมาก
ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นจะรู้สึกลังเลที่จะให้ตระกูลเหยียนเข้าร่วมกับสมาพันธ์โม่ไห่ แต่ในเวลานี้ตัวเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องสู้กับเย่เย่ ดังนั้นหลังจากที่เย่เย่ได้ชักกระบี่ออกมา ผู้อาวุโสเป่ยซานก็ได้พ่นลมออกทางจมูกและตอบกลับเย่เย่ไป: “อย่าคิดนะว่าเจ้าจะสามารถทำอะไรที่เจ้าต้องการได้โดยพึ่งแค่พลังของหอวิถีสวรรค์ ตัวเจ้ายังห่างอีกไกลนักที่จะเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์!”
ทันทีสิ้นคำพูดนี้ ผู้อาวุโสเป่ยซานก็ได้หายไปจากตรงนั้นทันที และได้มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของเย่เย่ด้วยความเร็วสายฟ้าแล่บและต่อยใส่เย่เย่ตรงๆ
ตูม!
แล้วพลังปราณในอากาศภายในห้องนี้ที่สงบนิ่งก็ได้เกิดความปั่นป่วนขึ้นมาอีกหน แล้วหิมะที่โปรยปรายลงมานั้นก็ได้สลายหายไปด้วยพลังที่แผ่ออกมาจากผู้อาวุโสเป่ยซาน และกลายเป็นฝุ่นผงไปในทันที
“เข้ามา!”
เย่เย่ที่เห็นว่าผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นได้เตรียมพร้อมที่จะโจมตีเขาแล้ว เย่เย่ก็หาไร้ซึ่งความกลัวแต่อย่างใดและได้กวัดแกว่งกระบี่ของเขาเพื่อสวนกลับผู้อาวุโสเป่ยซาน แล้วกระบี่ไร้เมฆาในมือของเขาก็ได้กลายเป็นแสงที่หนาวเย็นและปะทะเข้ากับหมัดของผู้อาวุโสเป่ยซานทันที
แก๊ง!
เสียงของโลหะกระทบกันก็ได้ดังขึ้นมาจากข้างในชั้น 8 ของหอวิถีสวรรค์อย่างชัดเจน และมีรอยสีแดงปรากฏขึ้นที่หมัดของผู้อาวุโสเป่ยซาน และตัวของเขาก็ได้ถอยออกมาอย่างรวดเร็วกว่าที่เขาบุกเข้าไป และสีหน้าของเขาก็ได้เต็มไปด้วยความตกใจ
“เจ้าบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพแล้วอย่างนั้นเหรอ? และกระบี่ในมือของเจ้าก็ยังเป็นอาวุธวิเศษในระดับจักรพรรดิเทพอีก! ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าถึงได้กล้ามาปรากฏตัวต่อหน้าข้าโดยไม่สวมชุดเกราะสวรรค์นภาทมิฬมา!”
ผู้อาวุโสเป่ยซานที่ปะทะกับเย่เย่เมื่อสักครู่นั้น ถึงแม้ว่า เย่เย่นั้นจะไม่ได้ปลดปล่อยพลังในระดับจักรพรรดิเทพออกมา แต่ผู้อาวุโสเป่ยซานก็สามารถรับรู้ได้และเดาจากความแข็งแกร่งของเย่เย่ว่าเย่เย่นั้นจะต้องบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพแล้ว
จึงได้มีความอิจฉาปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา และยิ่งรู้สึกอิจฉามากยิ่งขึ้นไปอีกที่เย่เย่นั้นเป็นผู้สืบทอดหอวิถีสวรรค์ “ไม่เพียงแต่ข้าหรอกนะ เหยียนลี่หยางเองก็ได้บรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพแล้วเช่นกัน! น่าเสียดายที่จักรพรรดิเทพอีก 2 คนของตระกูลเหยียนอย่างผู้อาวุโสถงอวิ๋นกับฮว๋าเฟิงนั้นถูก เว่ยเหยียนสังหารเสียก่อน ไม่อย่างนั้นอิทธิพลของตระกูลเหยียนคงได้แข็งแกร่งมากขึ้นไปกว่านี้แล้ว!”
หลังจากที่เย่เย่เอาชนะผู้อาวุโสเป่ยซานด้วยกระบี่ได้ ตัวเขาก็ไม่ได้ตามไปเผด็จศึกแต่อย่างใด แต่ได้ค่อยๆปรับสภาพพลังของเขาและพยายามทำให้พลังยุทธ์ในระดับจักรพรรดิเทพของเขานั้นเข้าที่เข้าทางมากขึ้นโดยอาศัยการต่อสู้ในครั้งนี้
หลังจากที่ได้ยินที่เย่เย่กล่าวแล้ว ผู้อาวุโสเป่ยสายก็ได้ปรากฏสีหน้าซับซ้อนขึ้นบนใบหน้าของเขา
ถ้าหากการบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพของเย่เย่นั้นทำให้เขาต้องรู้สึกถอนหายใจเพราะตัวตนที่พิเศษของเย่เย่ที่เป็นผู้สืบทอดของหอวิถีสวรรค์แล้ว แต่การบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพของเหยียนลี่หยางนั้นก็ได้ทำให้ผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นรู้สึกว่าตัวเองแก่ชราขึ้นมา ตั้งแต่ที่เหยียนลี่หยางได้กลับมาปรากฏตัวที่ดินแดนเทียนหนาน พัฒนาการของเขาก็ได้เพิ่มขึ้นเหนือความคาดหมายของผู้อาวุโสเป่ยซานนัก จนถึงทุกวันนี้แม้ว่าตัวเขานั้นจะยอมรับว่ามีลูกหลานที่มีพรสวรรค์มากมายในตระกูลเหยียนให้เขาเลือกขึ้นมาแทนที่เหยียนลี่หยางได้ แต่เขาก็ไม่สามารถทำให้พวกเขาเก่งเหมือนกับเหยียนลี่หยางจริงๆได้
“เหยียนลี่หยางเองก็เคยเป็นผู้สืบทอดหอวิถีสวรรค์ใช่ไหม?”
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพัก ผู้อาวุโสเป่ยซานก็ได้เลิกลังเลและถามคำถามที่เขาสงสัยมากที่สุดกับเย่เย่อย่างช้าๆ
เพราะว่าตัวเขานั้นอยู่มานานแล้ว เขาจึงพอจะรู้เรื่องของตำนานประมุขหอวิถีสวรรค์มามากกว่าคนอื่นๆ ผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นรู้ดีมากว่าการได้รับสืบทอดหอวิถีสวรรค์ในแผ่นดินว่านหลิงนั้นหมายความเช่นไร ถ้าหากเหยียนลี่หยางนั้นเป็นผู้สืบทอดหอวิถีสวรรค์ขึ้นมาจริงๆ ด้วยการใช้อำนาจอย่างเด็ดขาดของทัณฑ์สวรรค์แล้ว ไม่ว่าตระกูลเหยียนนั้นจะสวามิภักดิ์เข้าร่วมกับเย่เย่หรือไม่นั้น ท้ายที่สุดแล้วก็คงถูกตามไล่ล่าโดยพวกทัณฑ์สวรรค์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และถูกลบให้หายไปจากแผ่นดินว่านหลิงเป็นแน่
ดังนั้นหลังจากที่เขาถามจบ ผู้อาวุโสเป่ยซานได้จับจ้องไปที่เย่เย่ราวกับรอคอยคำตอบของเย่เย่อย่างกระวนกระวายใจ
“ใช่แล้ว เหยียนลี่หยางเองก็เป็นผู้สืบทอดอารามวิถีสวรรค์! นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมตัวเขาถึงได้ไม่อยากที่จะอยู่ที่ตระกูลเหยียน ซึ่งนอกจากเรื่องที่เขาแตกหักกับตระกูลเหยียนก่อนหน้าแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่อยากที่จะนำพาตระกูลเหยียนไปสู่ความฉิบหายโดยมีเขาเป็นต้นเหตุ!”
เย่เย่นั้นไม่คิดที่จะปิดบังเรื่องนี้กับผู้อาวุโสเป่ยซานอยู่แล้วจึงได้เล่าความจริงออกไปให้อีกฝ่ายฟัง
หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้แล้วผู้อาวุโสเป่ยซานก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างช้าๆ ราวกับว่าตัวเขานั้นได้แก่ขึ้นไป 10 ปีอย่างกะทันหันและมีสีหน้าที่อ้างว้างขึ้นมา
แต่จากนั้นก็ได้มีไฟต่อสู้ที่กล้าแกร่งปะทุออกมาจากในดวงตาของเขา และได้มองไปที่เย่เย่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเอาชนะ: “สิ่งที่พวกเจ้าคิดจะทำอยู่นั้นมันยากกว่าที่พวกเจ้าคิดเอาไว้เป็น 1,000 เท่านัก! ต่อให้ตระกูลเหยียนในเวลานี้ไม่สามารถที่จะขีดเส้นแบ่งออกจากประมุขอารามวิถีสวรรค์ได้อีกแล้วก็ตาม แต่ข้าก็ไม่ยอมช่วยเจ้าง่ายๆหรอก! ถ้าเจ้าอยากที่จะได้แผ่นป้ายตราประจำตระกูลไปจากข้านักก็มาชิงเอาไปเอง!”
“นั่นก็เป็นสิ่งที่ข้าหวังเอาไว้อยู่แล้ว!”
เย่เย่ก็ได้มีรอยยิ้มปรากฏออกมาเมื่อได้ยินเช่นนี้ แล้วเขาก็ได้กวัดแกว่งกระบี่ของเขาเพื่อจัดการกับผู้อาวุโสเป่ยซาน แล้วปลดปล่อยพลังของเขาในระดับจักรพรรดิเทพออกมาอย่างไม่มีการออมแรง
ครืนนนน!
พลังปราณในอากาศของชั้น 8 หอวิถีสวรรค์นั้นก็ได้เกิดการปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้ง และปรากฏเสียงคำรามดังขึ้นมาราวกับคลื่นยักษ์กระทบฝั่ง เย่เย่กับผู้อาวุโสเป่ยซานที่ต่างก็เป็นยอดฝีมือในระดับจักรพรรดิเทพนั้น ก็กำลังจะต่อสู้กันอย่างสุดกำลังของพวกเขาแล้ว
“ฝ่ามือเทพพันกร!”
ทันทีที่ผู้อาวุโสเป่ยซานเริ่มลงมือ เขาก็ได้เผยกระบวนท่าของเขาฝ่ามือเทพพันกรออกมาทันที และปรากฏเงาฝ่ามือจำนวนนับไม่ถ้วนเข้าห้อมล้อมเย่เย่ทันทีราวกับว่าต้องการที่จะขยี้เย่เย่ให้แหลกเป็นผุยผง
“แหลกไปซะ!”
แต่ทว่าเย่เย่นั้นหาใช่ยอดฝีมือระดับสูงสุดราชันย์เทพแล้ว เขาก็ได้กวัดแกว่งกระบี่ไร้เมฆาในมือของเขาออกไปอย่างสุดกำลังและฟาดฟันใส่ฝ่ามือเงาที่รอบตัวเขา
เปรี้ยงๆๆๆๆ!
มีเสียงดังสนั่นขึ้นมาอย่างต่อเนื่องไปทั่วทั้งหอชั้น 8 ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะอยู่ที่ศูนย์กลางของการระเบิดและถูกแรงระเบิดเข้าอย่างรุนแรง แต่เพราะว่าสามารถหายตัวไปไหนมาไหนในหอวิถีสวรรค์ได้ ดังนั้นตัวเขาจึงสามารถหนีออกมาได้ทุกเมื่อหากถึงจุดที่อันตรายขึ้นมาจริงๆ จนเมื่อการระเบิดจบลง เย่เย่ก็ได้ออกมาจากใจกลางของการระเบิดและฟาดฟันใส่ผู้อาวุโสเป่ยซานอย่างดุดันและไร้ปรานี