ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 455 ออกจากหอ
บทที่ 455
ออกจากหอ
ในระหว่างที่หารือกันอยู่นี้เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้นิ่งเงียบ ราวกับว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อตระกูลเหยียนนั้นมันเต็มไปด้วยความซับซ้อน
ซึ่งเย่เย่เองก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเพราะว่าเขารู้ถึงอดีตของเหยียนเสี่ยวเฟยดี จึงได้ตัดสินใจให้จงเจิ้งหมิง, ซ่างกวานอวี่และคนอื่นๆแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมา และให้เขาเป็นคนตัดสินใจว่าจะทำเช่นไรกับเรื่องที่ตระกูลเหยียนถูกเว่ยเหยียนยึดครองไปดี
“ถ้าหากเป้าหมายของเว่ยเหยียนคือสมาพันธ์โม่ไห่จริง มันก็ไม่ใช่เรื่องดีนักที่พวกเราจะยอมอดทนและปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป ซึ่งรังแต่จะทำให้อีกฝ่ายนั้นจองหองมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นข้าตัดสินใจที่จะเปิดฉากโจมตีเว่ยเหยียนที่เมืองเหยียนเป่ยด้วยตัวเอง หลังจากที่ขออนุญาตจากผู้นำสมาพันธ์แล้ว!”
ท้ายที่สุดหลังจากที่ฟังพวกจงเจิ้งหมิงกล่าวแล้ว เย่เย่ก็เหมือนจะตัดสินใจได้ หลังจากที่มีแสงปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา ก็ได้กล่าวออกมาอย่างเอาจริงเอาจังทันที
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมาทุกคนในห้องก็ได้มีท่าทีต่างๆกันออกไป มีบางคนที่คิดว่าที่เย่เย่ตัดสินใจนั้นถูกต้องแล้ว และมีไฟต่อสู้ปรากฏขึ้นในดวงตาของพวกเขาเช่นกัน ราวกับว่าพวกเขานั้นคิดที่จะติดตามเย่เย่ไปที่เมืองเหยียนเป่ยด้วย แต่ก็ยังมีบางคนที่คิดว่าแผนการนี้มันเสี่ยงมากเกินไปเช่นกัน และถ้าหากไม่ระวังแล้วสมาพันธ์โม่ไห่ก็อาจจะล่มสลายเอาได้เช่นกัน
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ถ้าหากจุดประสงค์ของเว่ยเหยียนคือการล่อให้ท่านไปที่นั่นด้วยตัวเองล่ะ เขาอาจจะวางกับดักรอท่านไว้ในเมืองเหยียนเป่ยก็ได้ มันจะไม่เป็นการตัดสินใจเอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างสุดๆอย่างนั้นเหรอ?”
หลังจากที่จางเทียนอวี้อยู่สักพักหนึ่ง เขาก็ยังกล่าวในสิ่งที่เขาเป็นกังวลออกมา หลังจากที่ได้ยินที่เขากล่าวแล้ว ยอดฝีมือราชันย์เทพบางคนที่เห็นด้วยกับจางเทียนอวี้ก็ได้ผงกหัวทันที เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่สนับสนุนที่เย่เย่จะไปที่เมืองเหยียนเป่ยอย่างมาก
แต่เย่เย่ก็ได้ส่ายหัวเมื่อได้ยินเช่นนี้ แล้วกล่าวกับพวก จางเทียนอวี้อย่างหนักแน่น: “ถ้าหากอีกฝ่ายเป็นคนอื่นแล้วข้าก็คงจะกังวลเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่จากที่ข้ารู้จักเขาแล้วเว่ยเหยียนนั้นเป็นคนที่เย่อหยิ่งอวดดีอย่างสุดๆ และเขาจะไม่ใช้ลูกไม้เช่นนั้นจัดการกับศัตรู ดังนั้นจะเป็นไปได้น้อยมากที่เขาจะวางกับดักเอาไว้ นอกจากนี้ข้าเองก็ได้เพิ่มพูดวรยุทธ์ขึ้นมามากแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าไม่ต้องกังวลให้มากนักหรอก”
หลังจากที่กล่าวจบ เย่เย่ก็ได้มองไปรอบๆแล้วกล่าวกับ เหยียนเสี่ยวเฟยและคนอื่นอย่างเอาจริงเอาจังต่อ: “ภูเขา เหยียนเป่ยนั้นถูกยึดครองไปแล้ว คงจะมีคนในระดับสูงของตระกูลเหยียนหลบหนีออกมาเป็นจำนวนมาก ในเวลานี้พวกเจ้าจงออกไปรวบรวมข้อมูลมาจากคนในตระกูลเหยียนเสีย และถ้าหากจำเป็นพวกเจ้าจะนำคนของเมืองหลงเจียงไปช่วยพวกเขาด้วยก็ได้!”
“น้อมรับคำสั่ง!”
เหยียนเสี่ยวเฟยกับคนอื่นๆก็ได้พลันคารวะให้กับเย่เย่และขานตอบกลับเขาอย่างจริงจัง
แล้วผู้คนก็ได้แยกย้ายกันออกไป และซ่างกวานอวี่ก็ได้ไปแจ้งยังเมืองโม่ไห่ถึงผลของการหารือกันภายใต้คำสั่งของเย่เย่ ด้วยฐานะในปัจจุบันของเย่เย่แล้วแม้ว่าตัวเขาจะตัดสินใจเรื่องนี้โดยพลการก็ไม่มีปัญหาอะไร อย่างไรเสียทางสมาพันธ์ทางสมาพันธ์โม่ไห่ก็ยังเป็นฝ่ายเดียวกัน ถ้าหากซ่างกวานจ้งนั้นมีความคิดที่ดีกว่าแล้ว เย่เย่ก็ไม่ใส่ใจที่จะยอมทิ้งแผนการของเขาแล้วทำการแผนการของซ่างกวานจ้ง
ในขณะที่เย่เย่รอการตอบกลับจากเมืองโม่ไห่อยู่นั้น เขาก็ได้ทุ่มพลังทั้งหมดไปกับการเก็บรวบรวมพลังปราณ ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถทำให้วรยุทธ์ของเย่เย่เพิ่มขึ้นไปมากกว่านี้ได้ แต่ก็ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการควบคุมพลังปราณของเขาอยู่ดี
อย่างไรเสียคู่ต่อสู้ในเวลานี้ของเขาก็คือเว่ยเหยียน ศิษย์เขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวน ซึ่งต่างก็เป็นผู้มาจุติเหมือนกัน เย่เย่จึงไม่เชื่อว่าตัวเขานั้นจะได้เปรียบหม่าเจาเลย ดังนั้นต่อให้เย่เย่นั้นมีความมั่นใจมากขึ้นหลังจากที่ฝึกเพลงกระบี่ขุนเขาไร้น้ำไหลได้สำเร็จ แต่เขาก็ยังไม่กล้าที่จะประมาทเว่ยเหยียยนแม้แต่นิดเดียว
แต่ทว่าในขณะที่เย่เย่กำลังทำการรวบรวมพลังปราณอยู่นั้น ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมาจากด้านในแหวนนิ้วโป้งของเขาที่ปลุกให้เขาตื่นขึ้นมา
เย่เย่ก็พอจะเดาอะไรบางอย่างได้ จึงได้มีสีหน้าตกใจปรากฏบนใบหน้าของเขา เขาจึงรีบออกจากจวนเจ้าเมืองไปอย่างไม่ลังเล และเหาะไปยังชานเมืองหลงเจียงและเข้าไปในป่ามืดท่ามกลางความมืดมิด
ตูม!
ภายใต้การควบคุมของเย่เย่แหวนนิ้วโป้งของเขาก็ได้กลายเป็นหอวิถีสวรรค์ แล้วก็มีชายหนุ่มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเดินออกมาจากหอวิถีสวรรค์
“ขอแสดงความยินดีด้วย! ดูเหมือนว่าเจ้าจะบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพได้แล้วสินะ!”
หลังจากที่เย่เย่เห็นเหยียนลี่หยางแล้ว เขาก็ได้เดินเข้าไปหาแล้วแสดงความยินดีกับเขาอย่างจริงใจด้วยความยินดีบนใบหน้าของเขา
เพราะว่าตัวเขานั้นเป็นถึงประมุขหอวิถีสวรรค์ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหอวิถีสวรรค์นั้นย่อมไม่มีทางที่จะเล็ดลอดจากการรับรู้ของเขาไปได้ เมื่อสักครู่เย่เย่นั้นรู้สึกได้ถึงแรงกดดันของจักรพรรดิเทพออกจากสถานที่ที่เหยียนลี่หยางเก็บตัว ดังนั้นต่อให้เหยียนลี่หยางพยายามสะกดพลังเอาไว้ก็ตาม ตัวเขาก็ยังรับรู้ได้ว่าเหยียนลี่หยางขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพที่แท้จริงแล้ว
“หลังจากที่เก็บตัวอยู่นาน ในที่สุดก็บรรลุได้เสียที!”
เหยียนลี่หยางเองก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะปิดบังแต่อย่างใด หลังจากที่ได้ยินที่เย่เย่กล่าวแล้ว ก็ได้มีความยินดีปรากฏในดวงตาของเขา
เพื่อที่จะบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพแล้ว เขาก็ได้เก็บตัวอยู่ในหอวิถีสวรรค์เป็นเวลาเกือบ 2 เดือน หลังแม้ว่าความเร็วนี้จะน่ากลัวมากหากเทียบกับคนที่มีวรยุทธ์ในระดับเดียวกันแล้ว แต่เหยียนลี่หยางก็ยังรู้สึกว่าตัวเขานั้นใช้เวลามากเกินไปอยู่ดี อย่างน้อยตัวเขาก็ได้ผ่านอุปสรรคที่ยากลำบากมาตั้งมากมายก่อนที่จะบรรลุแท้ๆ
ยังดีที่ตัวเขาก็ได้ทำตามที่ปรารถนาเอาไว้ได้สำเร็จและบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพที่แท้จริงได้เสียที ในขณะที่เหยียนเจิ้นตงเองก็ได้พยายามจะบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพด้วยยาอุษาชาดเช่นกัน แต่ไม่เพียงจะโชคไม่ดีล้มเหลวในการบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพแล้ว แต่ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสจากผลสะท้อนอีกด้วย
ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะไม่ทราบเรื่องที่เหยียนเจิ้นตงล้มเหลวในการบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพ แต่เย่เย่ก็ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ภูเขาเหยียนเป่ยให้เหยียนลี่หยางฟังหลังจากที่พบเขา
จริงๆแล้วถ้าหากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเหยียนลี่หยางนั้นกำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพแล้ว เย่เย่ก็คงจะปลุกเขาขึ้นมาและคุยกับเหยียนลี่หยางเรื่องที่ตระกูลเหยียนเกือบถูกเว่ยเหยียนทำลายไปนานแล้ว อย่างไรเสีย เหยียนลี่หยางก็ยังเป็นลูกหลานตระกูลเหยียนอยู่ แม้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับตระกูลเหยียนนั้นจะซับซ้อนนิดหน่อยก็ตาม แต่เย่เย่นั้นไม่เชื่อว่าตัวเขานั้นจะนิ่งเฉยกับความอยู่รอดของตระกูลเหยียนได้
อย่างที่คิดเอาไว้ ดวงตาของเหยียนลี่หยางก็ได้ปรากฏแสงขึ้นมาทันทีหลังจากที่ได้ยินเรื่องที่เมืองเหยียนเป่ยตกอยู่ในกำมือของเว่ยเหยียนไปแล้ว จนแทบอยากเหาะกลับไปที่เมือง เหยียนเป่ยในทันที
แต่ทว่าตัวเขาก็ได้ยับยั้งความคิดชั่ววูบนั้นเอาไว้ หลังจากที่ได้ยินการตัดสินใจของเย่เย่หลังจากที่ได้คุยกับพวก เหยียนเสี่ยวเฟยแล้ว เขาก็ได้มองไปที่เย่เย่ด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูกแล้วถาม “เจ้าบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพแล้วงั้นเหรอ? แถมยังก่อนข้าตั้งก้าวหนึ่งอีก?”
เหยียนลี่หยางนั้นคิดว่าถ้าหากตัวเขาสามารถบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพได้ก่อน ตัวเขาก็จะสามารถช่วยเหลือเย่เย่ได้มากกว่าแต่ก่อน แต่หลังจากที่ทราบว่าเย่เย่นั้นได้บรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพเร็วกว่าเขาแล้ว เหยียนลี่หยางก็ได้พลันรู้สึกพ่ายแพ้อย่างบอกไม่ถูกขึ้นมาในใจของเขา
แต่ในชั่วพริบตาเขาก็ได้กลับไปเป็นเหมือนเดิมและมีความยินดีปรากฏในดวงตาของเขา เพราะยิ่งเย่เย่เติบโตได้เร็วเท่าไร ทั้งคู่ก็จะสำเร็จเป้าหมายของพวกเขาได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น อย่างสถานการณ์ที่ตระกูลเหยียนต้องเผชิญในเวลานี้นั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเลย หลังจากที่รู้ว่าเย่เย่ได้บรรลุขึ้นจักรพรรดิเทพแล้ว ความกดดันในใจของเหยียนลี่หยางนั้นก็ได้ลดลงไปอย่างมาก
“ถึงแม้ว่าข้าจะซาบซึ้งที่เจ้าตั้งใจที่จะช่วยตระกูลเหยียน แต่ข้าก็อดคิดไม่ได้ว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ฉลาดนักที่จะไปที่เมืองเหยียนเป่ยในเวลานี้ ต่อให้เว่ยเหยียนนั้นจะเป็นคนที่อวดดีมากจนปฏิเสธที่จะวางกับดักเพื่อจัดการกับเจ้าก็ตาม แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าในเวลานี้เขาทำก็เพื่อเพิ่มอาณาเขตของสำนักแก้วหลากสี ถ้าหากว่าคนในระดับสูงของสำนักแก้วหลากสีนั้นเกิดทำกันเองโดยไม่สนเว่ยเหยียนแล้ว มันก็จะเป็นการเสี่ยงอย่างมากที่เจ้าจะไปที่เมืองเหยียนเป่ยเพียงลำพัง!”
หลังจากที่ได้ยินแผนการของเย่เย่แล้ว เหยียนลี่หยางก็ได้รีบคัดค้านการตัดสินใจของเย่เย่ทันที
เพราะเขานั้นรู้ว่าเย่เย่นั้นคือประมุขของหอวิถีสวรรค์ และมีภารกิจที่เขาต้องแบกรับหนักหนากว่าการช่วยตระกูลเหยียนของเขาเสียอีก ดังนั้นเพื่อเป็นการระวังตัว เหยียนลี่หยางจึงไม่เห็นด้วยกับเย่เย่ที่จะไปที่เมืองเหยียนเป่ยเพื่อสู้กับเว่ยเหยียนเพียงลำพัง
และอีกเหตุผลหนึ่งคือเหยียนลี่หยางนั้นเป็นลูกหลานของตระกูลเหยียนคนหนึ่ง ในเวลานี้เขาเป็นจักรพรรดิเทพเพียงคนเดียวในตระกูลเหยียนนอกจากผู้อาวุโสเป่ยซานแล้ว ถ้าหากว่าเขาไม่ทำอะไรเลยในตอนที่ตระกูลเหยียนตกอยู่ในอันตราย แล้วผลักความรับผิดชอบไปให้กับเย่เย่แล้ว เหยียนลี่หยางก็คงจะไม่ยกโทษให้กับตัวเองแน่
เย่เย่นั้นก็พอจะเข้าใจความคิดของเหยียนลี่หยาง และก็ได้กล่าวกับเขาอย่างเอาจริงเอาจัง “ถึงแม้ว่าเจ้าจะบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพ และมีลูกไม้มากมายก็ตามที แต่เจ้าก็เป็นเพียงยอดฝีมือที่เพิ่งขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพได้ไม่นาน ถ้าหากว่าเจ้าไปเผชิญหน้ากับเว่ยเหยียนแล้ว เจ้าก็จะเป็นอันตรายอย่างมากแน่! แต่ข้านั้นต่างออกไป และข้าเองก็เห็นเว่ยเหยียนนั้นเป็นเป้าหมายที่ข้าจะต้องเอาชนะด้วย ดังนั้นข้าจึงได้เตรียมการเรื่องนี้เอาไว้พร้อมแล้ว ถึงแม้ว่าข้านั้นจะไม่ได้มั่นใจกับการต่อสู้นี้อย่างเต็มที่ก็ตาม แต่ถ้าหากว่าข้าแพ้เว่ยเหยียนก็ยังสามารถที่จะหนีรอดกลับมาได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้ให้มากหรอก!”
เดิมทีเย่เย่นั้นคิดว่าคำพูดของเขานั้นคงจะทำให้ เหยียนลี่หยางเปลี่ยนท่าทีของเขาได้บ้าง แต่ก็ไม่นึกว่า เหยียนลี่หยางจะส่ายหัวทันทีหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา และกล่าวกับเย่เย่อย่างหนักแน่น: “เจ้าต่างหากที่เป็นไพ่ตายของทางฝ่ายเราที่ไม่ควรจะถูกปล่อยออกไปง่ายๆจนกว่าจะถึงที่สุด ต่อให้เจ้านั้นมุ่งมั่นที่จะไปที่เมืองเหยียนเป่ยก็ตาม พวกเราก็ควรที่จะเตรียมการล่วงหน้าเสียก่อน อย่างน้อยๆก็ควรจะขัดขวางแผนการของสำนักแก้วหลากสี!”
“เจ้าหมายความเช่นไร?”
เมื่อเห็นสีหน้าที่เยือกเย็นของเหยียนลี่หยางแล้ว เย่เย่ก็ได้เผยซึ่งความสงสัยในดวงตาของเขาขึ้น และคิดว่า เหยียนลี่หยางนั้นคงจะมีแผนการในใจแล้ว
ซึ่งเหยียนลี่หยางนั้นก็ไม่ได้ทรยศความคิดของเย่เย่ และได้กล่าวกับเย่เย่อย่างหนักแน่นหลังจากที่ครุ่นคิดไปสักพักหนึ่ง: ข้าจะไปที่ที่สำนักต่างไฟก่อน! ซึ่งในระหว่างที่ข้าไม่อยู่นี้ ข้าหวังเจ้าเจ้าจะให้ยอดฝีมือของสมาพันธ์โม่ไห่ออกไปช่วยเหล่าคนของตระกูลเหยียนที่หลบหนีออกมาจากภูเขาเหยียนเป่ยให้หน่อย อย่างไรเสียตระกูลเหยียนกับสมาพันธ์โม่ไห่นั้นต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ถึงตายเหมือนกันแล้ว ถ้าหากว่าเรามีมิตรเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแล้ว สำนักแก้วหลากสีก็จะมีศัตรูเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเช่นกัน!”
“ไม่ต้องกังวลไป ข้าได้บอกให้พวกเหยียนเสี่ยวเฟยไปจัดการเรื่องนี้แล้ว!”
เย่เย่ก็ได้ผงกหัวให้เหยียนลี่หยางแล้วจากนั้นทั้งสองคนก็ได้หารือกันถึงแผนการโดยละเอียด หลังจากที่ตกลงกันได้แล้ว เหยียนลี่หยางก็ได้เหาะไปยังสำนักต่างไฟทันที
มองไปยังทิศทางที่เหยียนลี่หยางจากไปแล้ว เย่เย่ก็ได้ยืนอยู่ที่เดิมอยู่สักพักใหญ่ๆโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา หลังจากนั้นเขาก็ได้เปลี่ยนหอวิถีสวรรค์กลับเป็นแหวนนิ้วโป้ง แล้วหลังจากที่ใส่กลับเข้าไปเขาก็ได้หันหลังและกลับไปที่เมืองหลงเจียงราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเก็บตัวรวบรวมพลังปราณต่อ
หลังจากที่ทราบข่าวเรื่องของการถล่มตระกูลเหยียนแล้ว เย่เย่ก็ได้คิดที่จะปล่อยผู้อาวุโสเป่ยซานออกมาจากหอวิถีสวรรค์และปล่อยให้เขาไปจัดการกับพวกเว่ยเหยียนที่มาถล่ม ตระกูลเหยียนเอง อย่างไรเสียผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นก็เป็นถึงยอดฝีมือในระดับจักรพรรดิเทพ แม้ว่าในเวลานี้อาการบาดเจ็บของเขานั้นน่าจะยังไม่หายดี แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่เว่ยเหยียนนั้นจะสามารถจัดการได้ง่ายๆ
แต่ทว่าผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นก็รู้ถึงตัวตนของเย่เย่แล้ว ถ้าหากว่าเขาเปิดเผยความลับของเย่เย่ออกสู่สาธารณะหลังจากที่ได้รับอิสระมาแล้ว แม้ว่าเย่เย่นั้นจะสามารถจัดการกับปัญหาตรงหน้าได้อย่างง่ายดาย แต่เขาก็อาจจะถูกทัณฑ์สวรรค์ไล่ล่าและฆ่าตายในทันทีแน่ อย่าว่าแต่เขาจะได้เพิ่มพูนพลังเลย เกรงว่าแม้แต่ชีวิตน้อยๆของเขาก็คงจะรักษาเอาไว้ไม่ได้
ดังนั้นเย่เย่จึงได้ไม่คิดที่จะปล่อยให้อาวุโสเป่ยซานออกมาง่ายๆ จนกว่าเขาจะมีหนทางที่จะสามารถควบคุม ผู้อาวุโสเป่ยซานได้