ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 447 เหตุผลที่แท้จริง
บทที่ 447
เหตุผลที่แท้จริง
“จางเทียนอวี้!!!”
เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้หันหน้าไปจ้องจางเทียนอวี้ด้วยสายตาฆ่าฟัน และแทบจะอดไม่ได้ที่จะจัดการกับเขาเสียตรงนี้
เขานั้นไม่คิดว่าจางเทียนอวี้นั้นจะเขียนชื่อของตัวเองแม้แต่ในหนังสือโป๊เช่นนี้! แล้วเหยียนเสี่ยวเฟยก็เพิ่งจะพูดไปว่าตัวเขานั้นได้หนังสือมาจากที่ร้าน ในเวลานี้เขากลับตบหน้าตัวเองอีกหนอย่างไร้ปรานีเสียแล้ว และตกกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับจางเทียนอวี้เสียแล้ว
จางเทียนอวี้ที่ปกติก็ไม่พูดอะไรอยู่แล้ว เวลานี้ก็ยิ่งไม่กล้าพูดหนักขึ้นไปอีกและแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องราวกับว่าตัวเองเป็นคนนอก
สายตาของคนอื่นๆในห้องจัดงานเลี้ยงนี้ก็ได้พลันเต็มไปด้วยความติเตียน แม้แต่ซ่างกวานอวี่กับจงเจิ้งหมิงที่มาด้วยกันก็ยังรักษาระยะห่างออกจากทั้งคู่โดยไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามที แล้วบรรยากาศในงานก็ได้ตกอยู่ในความลำบากใจอย่างสุดๆอีกหน ในเวลานี้แม้แต่เซียวเชียนผู้นำตระกูลเซียวที่ทำตัวเป็นตัวกลางมาตลอดนั้นก็ไม่รู้ว่าจะปกป้องเหยียนเสี่ยวเฟยอย่างไรแล้ว
ในขณะที่งานเลี้ยงกำลังจะถึงจุดแตกหักอยู่นั้นเอง เซียวหว่านเอ๋อที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้ยิ้มออกมาอย่างนุ่มนวลแล้วกล่าวกับเหยียนเสี่ยวเฟยอย่างนิ่งๆ “เหล่าผู้ที่คิดจะทำการใหญ่นั้นย่อมไม่สนใจกับเรื่องหยุมหยิมอยู่แล้ว! คุณชายเหยียนสามารถฝึกวิชาจากคนธรรมดาจนมาถึงระดับนี้ได้ ข้าเชื่อว่าท่านย่อมไม่ใช่คนประเภทเสพเมถุนและร่ำสุราจนไม่คืบหน้าไปไหนอย่างแน่นอน แต่ทว่ามันจะเป็นการดีว่าถ้าเรื่องนี้จะไม่ควรที่จะล่วงรู้ถึงภายนอกเพื่อที่จะกระทบต่อภาพลักษณ์ของคุณชายเหยียนในเมืองหลงเจียงนี้ เอาเป็นว่าพวกเราจะเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรในวันนี้! มาเถอะข้าจะขอดื่มแก้วนี้ให้คุณชายคนเดียว เพื่อเป็นการขอบคุณคุณชายเหยียนสำหรับทุกสิ่งที่ท่านได้ทำเพื่อเมืองหลงเจียงของเรา!”
เซียวหว่านเอ๋อก็ได้หยิบเอาหนังสือโป๊บนโต๊ะขึ้นมาแล้วยื่นส่งให้เหยียนเสี่ยวเฟยด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ได้ยกแก้วขึ้นมาและดื่มให้กับเหยียนเสี่ยวเฟย แล้วบรรยากาศในงานเลี้ยงนั้นก็ได้ค่อยๆเบาลงมา เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้รู้สึกโล่งอก และดวงตาของเขาก็ได้มองไปที่เซียวหว่านเอ๋อด้วยความตื้นตันใจ
นักบุญชัดๆ!
ในเวลานี้เซียวหว่านเอ๋อในสายตาของเหยียนเสี่ยวเฟยนั้นได้เป็นเหมือนดั่งนักบุญที่ชำระล้างสิ่งที่โสมมทั้งหมด มันทำให้เขานั้นรู้สึกอับอายขึ้นมาและในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความรู้สึกสนใจนางอย่างมาก แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไรออกมา ทุกคนในงานเลี้ยงนี้ก็มองออกว่าเหยียนเสี่ยวเฟยนั้นได้ตกหลุมรักเซียวหว่านเอ๋อเข้าให้แล้ว
ในงานเลี้ยงวันนี้จงเจิ้งหมิงที่เดิมทีควรจะเป็นตัวเองของงานนั้นกลับไม่ทำอะไรเลย แต่ทว่าเหยียนเสี่ยวเฟยนั้นกลับดูเหมือนจะนำหน้าเขาไปหนึ่งก้าวเสียแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ได้ทำให้ ซ่างกวานอวี่, จางเทียนอวี้กับคนอื่นๆนั้นพากันรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
แต่การที่เหยียนเสี่ยวเฟยนั้นน้ำหน้าไปเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีสำหรับพวกเขาแต่อย่างใด แม้ว่าจะทำให้ซ่างกวานอวี่นั้นตกใจ แต่หากมีคู่รักในจวนเจ้าเมืองมากขึ้น ก็จะยิ่งส่งผลกับเย่เย่มากขึ้น และโอกาสที่ซ่างกวานอวี่จะจับเย่เย่ได้สำเร็จนั้นก็จะมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นหลังจากที่เห็นว่าเหยียนเสี่ยวเฟยกับ เซียวหว่านเอ๋อนั้นพูดคุยกันได้ด้วยดีเช่นนี้แล้ว ซ่างกวานอวี่ก็ได้ชี้นำจงเจิ้งหมิงให้ทำตัวดีๆ และจนในที่สุดงานเลี้ยงก็ได้จบลงด้วยบรรยากาศที่ชื่นมื่น
ในตอนที่ทั้ง 3 พี่น้องตระกูลเซียวได้มาส่ง เหยียนเสี่ยวเฟยกับพรรคพวกนั้น เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้ทำเป็นก้าวเดินช้าๆ และหลังจากที่ซ่างกวานอวี่กับคนอื่นๆจากไปแล้ว เขาก็ได้ทำทีเป็นชวนเซียวหว่านเอ๋อให้ไปที่จวนเจ้าเมืองในฐานะแขกบ้าง เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณในการต้อนรับอย่างอบอุ่นในวันนี้
แต่ในขณะที่ตัวเขาคิดว่าเซียวหว่านเอ๋อจะตอบตกลงกับเขาอยู่นั้นเอง เซียวหว่านเอ๋อก็ได้ส่ายหัวและตอบ เหยียนเสี่ยวเฟยกลับไป “คุณชายเหยียนช่างมีน้ำใจจริงๆ การที่พวกท่านให้เกียรติมาร่วมงานเลี้ยงที่บ้านสกุลเซียวของเรานั้นก็ถือว่าเป็นเกียรติมากแล้ว มีอะไรที่ท่านจำเป็นต้องขอบคุณพวกเราอีก? ถ้าหากว่าพวกเรามีชะตาต้องกันก็คงได้พบกันอีก ใยคุณชายเหยียนถึงได้รีบร้อนนัก?”
เหยียนเสี่ยวเฟยก็ถึงกับผงะเมื่อได้ยินเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นปฏิเสธเขาอย่างชัดเจน
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วเซียวอวี่อิ๋งที่อยู่ข้างๆก็ได้รีบยิ้มและกล่าวกับเหยียนเสี่ยวเฟย
“คุณชายเหยียนช่างรีบร้อนเสียจริง ท่านไม่รู้เหรอว่าเหล่าคุณหนูในเมืองหลงเจียงของเรานั้นล้วนแต่รักนวลสงวนตัวน่ะ? จะให้พวกเราตอบรับคำเชิญของผู้ชายแต่แรกเลยนั้นมันขัดกับกฎของที่นี่นะ”
“ฮะๆ อย่างนี้นี่เอง! เป็นข้าที่พูดไม่คิดเองขอแม่นางหว่านเอ๋อได้โปรดให้อภัยข้าด้วย! ถ้าเช่นนั้นแล้วข้าต้องขอตัวลาก่อน แล้วเอาไว้พบกันใหม่!”
เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้เข้าใจหลังจากที่ได้ยินที่ เซียวอวี่อิ๋งอธิบาย และเลิกตื๊ออีกแล้วก็ได้ไล่ตามพวกซ่างกวานอวี่ไป คิดที่จะกลับไปที่จวนเจ้าเมืองพร้อมกับพวกเขา
ในระหว่างทางกลับนั้นซ่างกวานอวี่กับคนอื่นๆนั้นต่างก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องของงานเลี้ยงตระกูลเซียวในวันนี้ ซึ่ง ซ่างกวานอวี่ก็ได้กล่าวชมเซียวหว่านเอ๋ออย่างมากและคิดว่า ช่างสมกับที่เป็นบุตรีคนโตของตระกูลเซียว นางนั้นช่างสมกับที่เป็นกุลสตรีอย่างมากซึ่งทำให้ผู้คนรู้นับถือนางขึ้นมา
จงเจิ้งหมิงนั้นรู้สึกแปลกใจกับท่าทีของซ่างกวานอวี่ขึ้นมาจึงอดไม่ได้ที่จะถามนางอย่างสงสัย “ถึงแม้ว่าแม่นางหว่านเอ๋อนั้นจะอ่อนโยนและนุ่มนวล และคำพูดคำจาของนางก็ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิก็ตาม แต่นั่นก็ยังไปพอที่จะทำให้เสี่ยวอวี่ชื่นชมนางมากขนาดนั้นแน่? เจ้ารู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับแม่นางหว่านเอ๋ออีกใช่ไหม?”
ในระหว่างงานเลี้ยงนั้นซ่างกวานอวี่เองก็ได้กระซิบกระซาบกับเซียวอวี่อิ๋งและเซียวซวี่เป็นพักๆ เดิมทีจงเจิ้งหมิงนั้นคิดว่าพวกนางคงจะพูดสัพเพเหระตามประสาสาวๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าซ่างกวานอวี่นั้นคงจะรู้เรื่องวงในอะไรบางอย่างเป็นแน่
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วจางเทียนอวี้เองก็ได้เงี่ยหูเข้ามาฟังด้วย เห็นได้ชัดว่าตัวเขาเองก็รู้สึกสนใจในท่าทีของซ่างกวานอวี่
เมื่อเห็นว่าทั้งคู่นั้นต่างก็มองมาที่นางอย่างสนใจแล้ว ซ่างกวานอวี่ก็อดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าลับลมคมในขึ้นมาบนใบหน้าของนาง แล้วจากนั้นก็ได้เข้าไปใกล้ๆทั้งคู่แล้วตอบ “ตอนนี้ พี่เหยียนเสี่ยวเฟยไม่อยู่ ข้าจะแอบเล่าให้พวกเจ้าฟังก็ได้ จริงๆแล้วเพื่อที่จะทำให้งานเลี้ยงจบลงและช่วยให้น้องสาวสองคนหาคู่ได้ ทั้งสามพี่น้องเลยตกลงกันก่อนงานเลี้ยงนี้จะเริ่มว่า เซียวหว่านเอ๋อนั้นจะเป็นคนที่รับหน้าที่จัดการกับคนที่น่ารำคาญที่สุดในหมู่ผู้ชาย เพื่อกันไม่ให้เขาเข้ามากวนเซียวอวี่อิ๋งและสร้างโอกาสให้เซียวสวี่!”
“หมายความว่าเหตุผลที่แม่นางหว่านเอ๋อนั้นให้ความสนใจพี่เหยียนในวันนี้นักไม่ใช่เพราะว่านางประทับใจพี่เหยียนแต่เป็นเพราะพี่เหยียนถูกตัดออกจากสามพี่น้องตระกูลเซียวตั้งแต่แรก…..”
ซ่างกวานอวี่ก็ได้พูดอย่างสนใจก่อนที่จะรู้สึกตัวว่า เหยียนเสี่ยวเฟยนั้นได้แอบตามหลังพวกเขามาอย่างเงียบๆและได้ยินทุกอย่างที่นางพูดหมดแล้ว
แล้วในชั่วขณะนั้นเอง ทั้ง 4 คนก็ได้ตกอยู่ในความเงียบ
“พอดีข้าเพิ่งนึกได้ ว่าข้าต้องรีบกลับไปซักผ้า ข้าขอตัวกลับก่อนนะ!”
จางเทียนอวี้ที่เดิมทีก็รู้สึกไม่ดีอย่างมากแล้วหลังจากที่ได้ยินที่ซ่างกวานอวี่กล่าว แล้วพอยิ่งเห็นเหยียนเสี่ยวเฟยอยู่ข้างหลังเขาเช่นนี้อีก เขาก็ได้รีบขอตัวจรลีจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีรีรอ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องของหนังสือโป๊ที่ตกในงานเลี้ยงวันนี้เลย และไหนจะเรื่องที่เหยียนเซียวเฟยรู้แล้วว่าตัวเขานั้นไม่ได้ดีไปกว่าจางเทียนอวี้ในสายตาของสามพี่น้องตระกูลเซียวแล้ว ก็ยิงทำให้จางเทียนอวี้นั้นไม่กล้าที่จะมาปรากฏตัวต่อหน้า เหยียนเสี่ยวเฟยไปสักพัก
“ข้าเองก็นึกขึ้นได้ว่าผ้าที่ตากเอาไว้ที่บ้านนั้นยังไม่ได้ไปเก็บเลย ข้าคงต้องขอตัวก่อนนะ
แม้แต่คนที่แข็งแกร่งอย่างจงเจิ้งหมิงเอง หลังจากที่พอจะเดาอารมณ์ของเหยียนเสี่ยวเฟยในเวลานี้ได้ ตัวเขาก็ได้ยอมแพ้ที่จะร่วมเดินทางไปกับเขา และหาข้ออ้างที่จะหายตัวไปให้พ้นจากสายตาของเหยียนเสี่ยวเฟยทันที
ซ่างกวานอวี่ก็ได้มีสีหน้าลำบากใจ ซึ่งนางเองก็คิดไม่ออกว่าจะหาคำมาปลอบใจเหยียนเสี่ยวเฟยอย่างไรดีในเวลานี้ ท่ามกลางความสิ้นหวังนางก็ได้ก้มหัวขอโทษเหยียนเสี่ยวเฟยและรีบชิ่งหนีกลับจวนเจ้าเมืองอีกหน
ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่าง มีเพียงเหยียนเสี่ยวเฟยที่อยู่ตามลำพังภายใต้สายลมที่เหน็บหนาว
หลังจากที่เข้าใจถึงเหตุผลที่แท้จริงที่เซียวหว่านเอ๋อนั้นปฏิเสธคำเชิญของเขาแล้ว หัวใจของเหยียนเสี่ยวเฟยก็เต็มไปด้วยความหมดหวังและเสียใจยิ่งกว่าตอนที่เขาเข้าใจผิดเรื่องเซียวอวี่อิ๋งเป็น 100 เท่า
ในเวลานี้จิตใจของเขานั้นสงบราวกับน้ำนิ่ง ราวกับว่าตัวเขานั้นได้มองทะลุถึงการเกิดและการตายของโลก และรู้สึกได้ว่าการฝึกวิชานั้นคือหนทางที่แท้จริงเพียงอย่างเดียวของเขา แล้วปัญหาคอขวดที่เคยเป็นเหมือนคูน้ำกั้นเขาเอาไว้นั้น จู่ๆก็เหมือนได้คลายออกมาซึ่งทำให้เหยียนเสี่ยวเฟยนั้นคว้าโอกาสที่จะบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพได้เป็นครั้งแรก
ดั่งคำที่ว่ามีทุกข์ก็มีสุขได้ มีสุขก็มีทุกข์ได้เช่นกัน ประสบการณ์ในสองวันมานี้นั้นเรียกได้ว่ามีทั้งได้และเสีย ในขณะที่เขาถอนหายใจและตัดสินใจที่จะกลับไปที่จวนเจ้าเมืองเพื่อฝึกวิชาอย่างสงบนั้น ที่จวนเจ้าเมืองหลงเจียง ซ่างกวานจ้งผู้นำสมาพันธ์โม่ไห่นั้นก็ได้คิ้วขมวดแน่นอยู่ในห้องทำงานของเขา
ในเวลานี้ตัวเขานั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน และที่โต๊ะนั้นก็มีสมบัติทั้ง 4 อย่างที่ซ่างกวานจ้งมักใช้ทำงานอยู่
มีกระดาษขาวแผ่นหนึ่งวางราบอยู่ตรงกลางโต๊ะ ซ่างกวานจ้งก็ได้ถือพู่กันเอาไว้ในมือ และคิ้วขมวดแน่นหมายที่จะตวัดหมึกเพื่อเขียนตัวหนังสือ
บางทีอาจเป็นเพราะว่าเขานั้นรู้สึกหงุดหงิดที่คิดไม่ออกว่าจะเขียนอะไรลงไป ทำให้หมึกที่พู่กันของเขานั้นยังไม่ได้ลงไปที่พื้นกระดาษเลย
ต๋อม!
ในขณะที่น้ำหมึกที่ปลายพู่กันนั้นไหลหยดลงมา กระดาษที่ขาวดุจหิมะนั้นก็ได้มีรอยเปื้อนขึ้นมาทันที
ซ่างกวานจ้งก็ได้ถอนหายใจแล้วพลันวางพู่กันลงทันที แล้วหยิบเอากระดาษแผ่นใหม่ขึ้นมาวางตรงหน้าเขา
เพื่อที่จะสงบสติอารมณ์ตัวเอง เขาก็ได้หยิบพู่กันขึ้นมาใหม่แล้วก็ใช้พู่กันวาดลงไปในกระดาษ และมีตัวหนังสือคำว่า“สงบ”ปรากฏขึ้นมาในกระดาษทันที
แต่ทว่าตัวหนังสือคำว่า”สงบ”นั้นดูหยาบยิ่งนั่ง มีบางเส้นที่หนาเกินไปและบางเส้นที่บางเกินไปดูแล้วไม่ค่อยสมประกอบ
ดังนั้นซ่างกวานจ้งจึงได้หยิบเอากระดาษแผ่นนั้นออกแล้วเอาแผ่นใหม่มาวางตรงหน้าเขา และตั้งใจที่จะเขียนคำว่า“สงบ”อีกครั้งจนกว่าเขาจะพอใจ
ในห้องทำงานนั้นมีกลิ่นของน้ำหมึกอบอวลไปทั้งห้อง ซึ่งซ่างกวานจ้งนั้นก็ติดการคัดลายมือเช่นนี้ราวกับปรมาจารย์ ตัวหนังสือก็เป็นเหมือนกับคน ซึ่งหากเขาสงบสติอารมณ์ไม่ได้ ตัวหนังสือของเขาก็จะกระโดกกระเดกไปมา แสดงให้เห็นว่าจิตใจของเขานั้นไม่สามารถสงบลงได้อยู่สักพักใหญ่ๆ
หลังจากที่ข่าวเรื่องการต่อสู้ของเย่เย่กับหม่าเจาได้แพร่ออกไป สถานการณ์ในละแวกริมชายฝั่งทะเลนั้นก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากราวกับแผ่นดินไหว สมาพันธ์โม่ไห่เองก็ได้เติบโตอย่างมากจากมีกันแค่ 4 เมืองโบราณ ตอนนี้ก็แทบจะเป็นครึ่งหนึ่งของละแวกริมชายฝั่งทะเลแล้ว
ถึงแม้ว่าก่อนที่จะรวมทั่วทั้งละแวกริมชายฝั่งทะเลได้จริงๆนั้น สมาพันธ์โม่ไห่นั้นจะยังไม่ได้ติดอันดับไหนเลยในดินแดนเทียนหนาน แต่ทว่าพอเย่เย่นั้นได้กลายเป็นยอดฝีมือในระดับจักรพรรดิเทพแล้ว สมาพันธ์โม่ไห่นั้นก็ไม่ไกลจากวันที่จะรวมละแวกริมชายฝั่งทะเลให้เป็นหนึ่งแล้ว
แม้ว่าเมืองโบราณที่เหลือในละแวกริมชายฝั่งทะเลนั้นจะรีบก่อตั้งสมาพันธ์ขึ้นมาเพื่อสู้กับสมาพันธ์โม่ไห่ก็ตาม แต่หากว่าพวกเขาไร้ซึ่งยอดฝีมือราชันย์เทพนั่งอยู่ในเมืองแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะสามารถเอาชนะสมาพันธ์โม่ไห่ได้ แม้จะปราศจากการลงมือจากเย่เย่ หลังจากที่สมาพันธ์โม่ไห่ได้ทำการหลอมรวมเมืองทั้งหมดจนเป็นหนึ่งเดียวกันได้แล้ว ซ่างกวานจ้งก็จะนำพายอดฝีมือของเขาไปโจมตีและลบอีกฝ่ายให้หายไปจากละแวกริมชายฝั่งทะเลเอง
แต่เหตุผลมันอยู่ที่ว่าสมาพันธ์โม่ไห่นั้นเติบโตมาถึงจุดนี้ได้ ผู้นำสมาพันธ์อย่างซ่างกวานจ้งนั้นก็ควรจะดีใจ แต่ทว่าหลังจากที่ความยินดีนั้นจางหายไป ซ่างกวานจ้งก็เริ่มค่อยๆรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
ซึ่งไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกไปจากความจริงที่ว่าสมาพันธ์โม่ไห่ได้เติบโตมาจนถึงจุดนี้ได้นั้นแทบไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาที่เป็นผู้นำสมาพันธ์เลย มันเป็นผลต่อเนื่องมาจากการบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพของเย่เย่ทั้งนั้น แม้แต่ยอดฝีมือที่มาเข้าร่วมกับสมาพันธ์โม่ไห่นั้นก็ล้วนแต่มาเพื่อเข้าร่วมกับเย่เย่
ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะได้ประกาศไปแล้วว่าจะจงรักภักดีกับผู้นำสมาพันธ์ต่อไป และตัวซ่างกวานจ้งเองก็ยังเชื่อมั่นในตัวของเย่เย่ว่าจะไม่ทำอะไรอย่างทรยศหรือก่อการกบฏแน่ แต่ถ้าหากยังปล่อยเอาไว้แบบนี้ต่อไป หน้าของเขาในฐานะสมาพันธ์โม่ไห่นั้นจะอยู่รอดได้นานสักแค่ไหน?