ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 446 ตกหล่น
บทที่ 446
ตกหล่น
“ฮ่าๆ ใต้เท้าพูดถูกแล้ว พวกท่านทุกคนเป็นแขกของเรา! ได้โปรดเข้ามาข้างในเถอะ งานเลี้ยงนี้ได้ถูกจัดเตรียมไว้รอพวกท่านอยู่แล้ว!”
เซียวเชียนหัวหน้าตระกูลเซียว ก็ได้ยิ้มอย่างฝืนๆและรีบพาเหยียนเสี่ยวเฟยและคนอื่นๆเข้ามาในห้องจัดเลี้ยง
ในเวลานี้ในห้องจัดเลี้ยงนั้นมีข้ารับใช้ของตระกูลเซียวได้ทำการจัดเตรียมอาหารน่าอร่อยที่มาทั้งจากภูเขาและทะเลไว้มากมาย รวมถึงเหล้าชั้นเลิศที่ใส่แจ๋ว แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจของตระกูลเซียวที่มีต่อเหยียนเสี่ยวเฟยและคนอื่นๆ
“ใต้เท้าเหยียนและทุกท่านให้เกียรติมายังบ้านของพวกเราในคืนนี้ พวกเราตระกูลเซียวช่างรู้สึกมีเกียรติอย่างยิ่ง! งานเลี้ยงนี้นอกจากจะเพื่อขอบคุณท่านจงเจิ้งหมิงที่ช่วยพวกเราไว้ในครั้งก่อนแล้ว ตระกูลเซียวเองก็อยากที่จะขอบคุณทางจวนเจ้าเมืองทุกท่านที่ทำงานอย่างหนักเพื่อเมืองหลงเจียงของพวกเราในช่วงนี้! ผู้คนในเมืองหลงเจียงต่างก็เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกท่านทำแล้ว ข้าเชื่อว่าในอนาคตเมืองหลงเจียงนั้นจะสามารถตัดขาดจากอดีตและจะสร้างผลงานเพื่อความรุ่งเรืองของสมาพันธ์โม่ไห่!”
หลังจากที่เหล่าแขกและเจ้าบ้านได้นั่งประจำที่และแนะนำตัวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เซียวเชียนผู้นำตระกูลเซียวก็ได้ลุกขึ้นยืนดื่มเหล้าอวยพรให้เหยียนเสี่ยวเฟยกับคนอื่นๆ และแสดงออกถึงความขอบคุณพวกเขาอย่างจริงใจ
พวกเหยียนเสี่ยวเฟยกับซ่างกวานอวี่ต่างก็ตอบรับ เซียวเชียนกันอย่างเอาจริงเอาจัง และกล่าวว่าทางจวนเจ้าเมืองนั้นจะทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้เมืองโบราณหลงเจียงนั้นรุ่งเรืองกว่าเมื่อก่อนให้ได้ ขอเพียงขุมอำนาจใหญ่ๆในเมืองหลงเจียงนั้นจงรักภักดีต่อสมาพันธ์โม่ไห่แล้ว ทางสมาพันธ์โม่ไห่ก็จะไม่ทำให้ทางเมืองหลงเจียงต้องผิดหวัง
“ฮ่าๆ ใต้เท้าทุกท่านล้วนแต่เป็นมังกรและหงส์ไฟในหมู่มวลมนุษย์จริงๆ ท่านเจ้าเมืองเย่เย่ๆสามารถทำให้ทุกท่านติดตามเขาอย่างเต็มใจได้ ก็ย่อมแน่นอนว่าตัวเขานั้นต้องเป็นยอดคนมากยิ่งขึ้นไปอีก! พวกเราช่างโชคดีจริงๆที่อยู่ในเมืองหลงเจียง ฮ่าๆๆๆ!”
เซียวเชียนก็เหมือนจะรู้สึกพึงพอใจอย่างมากับคำตอบของเหยียนเสี่ยวเฟยและพรรคพวก และพวกเขาเองต่างก็มีความประทับใจที่ดีกับตระกูลเซียว ทำให้งานเลี้ยงนี้ดำเนินไปจนมาถึงจุดเปลี่ยน
ซึ่งไม่ว่าเซียวเชียนจะถามอะไรหลังจากนั้น เหยียนเสี่ยวเฟย, จ้งเจิ้งหมิงและคนอื่นๆต่างก็เหมือนจะไม่ได้ยินเขา พวกเขาต่างก็กินและดื่มกันอย่างเงียบๆและทำให้บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนไป
“อืม….”
เซียวเชียนก็ไม่รู้ว่าตัวเขานั้นพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า? ถึงได้ทำให้บรรยากาศภายในงานเลี้ยงจู่ๆก็หนักอึ้งขึ้นมา เซียวเชียนมีสีหน้างุนงงและคิดหาทางแก้อยู่ในหัวของเขาและไม่รู้ว่าเมื่อสักครู่เขาพูดอะไรผิดไป และได้มองไปยังลูกสาวทั้ง 3 คนของตระกูลเซียวเพื่อขอความช่วยเหลือ
ทางด้านของพวกเหยียนเสี่ยวเฟยกับจงเจิ้งหมิงนั้น หลังจากที่พูดคุยทักทายกันในตอนแรกแล้วพวกเขาต่างก็เริ่มเรียกไม่พูดกับเซียวเชียน แม้ว่าเซียวเชียนนั้นจะพยายามยกหัวข้อมาพูด แต่พวกเขาต่างก็ทำเป็นไม่ได้ยินและก้มหน้าก้มตาทานอาหาร
ซึ่งจงเจิ้งหมิงพูดน้อยกว่าปกติก็เพราะว่าตัวเขานั้นไม่ค่อยคุ้นชินกับงานเช่นนี้มากนัก และในฐานะที่เป็นลูกคุณหนูแล้วก็ยิ่งไม่งามสำหรับซ่างกวานอวี่ที่จะพูดมากกว่าจงเจิ้งหมิงและคนอื่นๆ นางเองจึงก็ไม่ได้พูดอะไร
ส่วนเหยียนเสี่ยวเฟยนั้น ที่พยายามทำเป็นแสดงจนถึงเมื่อสักครู่นั้น ก็เริ่มกังวลว่าตัวเขาอาจจะได้รับบทเป็นพ่อแม่ของพวกจงเจิ้งหมิงไปจริงๆถ้าหากว่าตัวเขาเอาแต่พูดกับเซียวเชียน จึงได้ตัดสินใจที่จะไม่ตอบคำถามของเซียวเชียน แต่ทว่าจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ตลอดไปก็ไม่ได้ เหยียนเสี่ยวเฟยจึงได้หันไปมองจากเทียนอวี้ที่อยู่ไม่ไกล
แต่ทว่าจางเทียนอวี้นั้นก็เหมือนจะใจสลายหลังจากเรื่องเมื่อสักครู่อยู่ แม้ว่าตัวเขานั้นจะรู้ดีถึงความหมายในดวงตาของ เหยียนเสี่ยวเฟย แต่เขาก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจก้มหน้าก้มตาทานอาหารประท้วงความไม่ยุติธรรมของเหยียนเสี่ยวเฟย
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วใบหน้าของเหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้ซีดเผือด และไม่อาจคิดหาหนทางอื่นได้ ทำให้บรรยากาศในงานเลี้ยงนั้นได้หนักอึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ
ซ่างกวานอวี่ที่นั่งอยู่ถัดจากจงเจิ้งหมิงนั้นก็ได้มีสีหน้าดุดันขึ้นมา และส่งสายตาเร่งเหยียนเสี่ยวเฟยที่อาวุโสสุดในกลุ่ม เพราะในความคิดของนางนั้นงานเลี้ยงนี้เดิมทีจัดเพื่อจับคู่ จงเจิ้งหมิงกับเซียวอวี่อิ๋ง และทุกคนจะต้องเสียสละผลประโยชน์ของตัวเองเพื่อเป้าหมายนี้
แต่เหยียนเสี่ยวเฟยกลับไม่คิดเช่นนี้ ในที่สุดตัวเขาจะได้มีโอกาสพูดคุยกับสาวๆของตระกูลเซียวทั้งที เขาไม่ยอมที่จะเสียสละไปรับบทพ่อแม่พูดคุยกับเซียวเชียนเพื่อพูดคุยเรื่องของอาหารการกิน
ในขณะที่บรรยากาศเริ่มหนักอึ้งมากขึ้นเรื่อยๆและแม้แต่เหล่าข้ารับใช้ของตระกูลเซียวที่รออยู่ด้านนอกห้องจัดเลี้ยงนั้นก็ได้เริ่มมีเหงื่อไหลออกมา และแล้วเซียวหว่านเอ๋อลูกสาวคนโตของเซียวเชียนก็ได้ยิ้มอย่างอ่อนโยนขึ้นมาแล้วถาม เหยียนเสี่ยวเฟยที่อยู่ตรงหน้านางด้วยความกังวล “ใต้เท้า อาหารเหล่านี้ไม่ถูกปากของท่านอย่างนั้นเหรอ? ถ้าหากว่าท่านไม่ชอบข้าจะได้บอกให้พ่อครัวของตระกูลเซียวทำมาให้พวกท่านใหม่!”
แม่พระมาโปรดแล้ว
เมื่อเหยียนเสี่ยวเฟยได้ยินเสียงที่เป็นห่วงของ เซียวหว่านเอ๋อแล้ว ก็ราวกับว่าเขาได้ยินเสียงจากสวรรค์ แล้วเขาก็ได้จับจ้องไปที่เซียวหว่านเอ๋อด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความขอบคุณ
ในสายตาของเขานั้น เซียวหว่านเอ๋อนั้นเหมือนกับมีรัศมีเปล่งประกายออกมาจากตัวของนาง ราวกับเป็นพระพุทธเจ้าที่ลงมาช่วยให้ผู้คนนั้นพ้นทุกข์และช่วยเหลือเหล่าคนที่เต็มไปด้วยความเลื่อมใสและนับถือ ดังนั้นเหยียนเสี่ยวเฟยจึงได้มอง เซียวหว่านเอ๋อเป็นเป้าหมายของเขาในคืนนี้ และรีบปั้นหน้าอ่อนโยนและมีท่าทีที่สง่างามขึ้นมา แล้วกล่าวตอบ เซียวหว่านเอ๋อ!
“ขอบคุณแม่นางหว่านเอ๋อที่เป็นห่วง! เดิมทีเหล่าผู้ฝึกยุทธ์นั้นจะทานกันแต่อาหารง่ายๆเท่านั้น แต่ในวันนี้ข้าได้มาลิ้มรสฝีมือพ่อครัวของตระกูลเซียวแล้ว ก็ได้ทำให้ข้านั้นรู้สึกอยากอาหารขึ้นมา อาหารการกินในวันนี้หมดปัญหาไปเลยว่าถูกปากหรือไม่ มันเป็นเหมือนสมบัติจากสวรรค์ที่ถูกทิ้งไว้บนโลก ทำให้ เหยียนเสี่ยวเฟยผู้นี้รู้สึกอยากอาหารยิ่งนัก!”
พวกซ่างกวานอวี่กับจงเจิ้งหมิงที่อยู่ถัดจาก เหยียนเสี่ยวเฟยนั้นเมื่อได้ยินคำชมที่แสนน่าคลื่นไส้แล้วต่างก็พากันขนลุก โดยเฉพาะซ่างกวานอวี่ที่รับผิดชอบดูแลเรื่องอาหารของเหยียนเสี่ยวเฟยในเวลานี้แล้ว หลังจากได้ยินที่ เหยียนเสี่ยวเฟยกล่าวแล้ว สีหน้าของนางก็ได้บอกไม่ถูกขึ้นมา และมองไปที่เหยียนเสี่ยวเฟยด้วยดวงตาทั้งชื่นชมและติเตียน
“ตั้งแต่มาอยู่ที่จวนเจ้าเมืองนี่ อาหารของท่านมันไม่ถูกปากเลยรึยังไง? อาหารง่ายๆอย่างนั้นสินะ? ช่างพูดจริงๆนะ!”
แต่ทว่าซ่างกวานอวี่นั้นก็ได้กลืนประโยคเหล่านี้กลับไป ในเมื่อเหยียนเสี่ยวเฟยกับเซียวหว่านเอ๋อนั้นทำลายภาวะหนักอึ้งนี้ได้แล้ว นางจึงได้ไม่คิดที่จะยุ่งกับเขาอีก
โดยอาศัยโอกาสนี้ ซ่างกวานอวี่ก็ได้พลันจับคู่จงเจิ้งหมิงกับเซียวอวี่อิ๋งให้ทั้งสองคนได้พูดคุยกัน และเพื่อที่จะกันไม่ให้เกิดบรรยากาศอย่างเมื่อสักครู่อีก เซียวซวี่ลูกสาวคนเล็กของตระกูลเซียวก็ได้เริ่มพูดคุยกับจางเทียนอวี้ แล้วบรรยากาศของงานเลี้ยงนี้ก็ได้เป็นไปอย่างชื่นมื่น
ในขณะที่เหยียนเสี่ยวเฟยกับเซียวหว่านเอ๋อนั้นกำลังพูดคุยถึงสิ่งที่ทั้งคู่ไม่ชอบกันอยู่นั้น เซียวหว่านเอ๋อก็ได้ขมวดคิ้วที่น่ารักของนางอยู่สักพักหนึ่ง แล้วจากนั้นก็ได้กล่าวกับเหยียนเสี่ยวเฟยอย่างหนักแน่น “ไม่มีอะไรที่ตัวเรานั้นจะรังเกียจไปมากกว่าเหล่าผู้ชายเสเพลเหล่านั้นที่วันๆไม่คิดที่จะทำอะไรเอาแต่เกี้ยวผู้หญิงและร่ำสุราไปเรื่อย! ต่อให้คนคนนั้นจะมาจากตระกูลเศรษฐีหรือมีพรสวรรค์มากแค่ไหน แต่พอวรยุทธ์มาถึงจุดจุดหนึ่งอย่างง่ายๆแล้ว พวกเขาก็จะมีชะตากรรมที่ไปต่อไม่ได้มากกว่านั้นแล้ว ถ้าหากว่าข้าต้องอยู่คนเช่นนั้นไปตลอดชีวิตของข้าแล้ว สู้ฆ่าตัวตายแล้วไปเกิดใหม่เสียจะดีกว่า!”
ผิดกับลูกลักษณ์ภายนอกที่ดูนุ่มนวลและอ่อนโยนแล้ว นิสัยของนางนั้นเรียกได้ว่าเด็ดขาดกว่าใครในบรรดา 3 พี่น้อง ก็ได้ยิ่งทำให้เหยียนเสี่ยวเฟยนั้นสนใจเธอมากยิ่งขึ้นไปอีก และหลังจากที่เซียวหว่านเอ๋อกล่าวจบแล้วเขาก็ได้พูดต่อทันที “เห็นด้วยอย่างยิ่ง! ตัวข้าเองก็ไม่ชอบคนประเภทนั้นเป็นที่สุดเช่นกัน นอกจากกินดื่มและรอความตายไปวันๆแล้ว ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะมีจุดจบแบบอื่นไปได้ นอกจากชีวิตที่เศร้าหมองเท่านั้น!”
ในขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้หยิบเอาเหยือกเหล้ามาหวังจะรินเหล้าให้ตัวเองอยู่นั้น แต่ทว่าตัวเขาที่ออกแรงมากเกินไปหน่อยทำให้หนังสือเล็กๆเล่มหนึ่งตกลงมาจากแขนเสื้อของเขา และที่ปกหนังสือนั้นก็เป็นรูปของชายกับหญิงกำลังสมสู่กัน
ตุบ!
เสียงของตกลงบนโต๊ะอาหารนั้นก็ได้ดังขึ้นมาอย่างชัดเจน แล้วในงานเลี้ยงนั้นก็ได้พลันเงียบกริบขึ้นมาทันที และทุกคนต่างก็หันมามองที่เหยียนเสี่ยวเฟยด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก
เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้มีสีหน้าเขียวคล้ำขึ้นมา และหลังจากที่หยิบเอาหนังสือเล่มนั้นเก็บกลับเข้าในแขนเสื้ออย่างรวดเร็วแล้วเขาก็ได้เงียบกริบในทันที และไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีไปชั่วขณะ
จางเทียนอวี้ที่อยู่ไม่ไกลออกไปนั้นพอเห็นปกหนังสือเล่มนั้นเข้าก็ได้รีบก้มหน้าทันที ด้วยความกลัวว่าอาจจะโดน เหยียนเสี่ยวเฟยหันเหความโกรธมาลงที่เขาและลากเขาไปประหารที่ลานกว้างจวนเจ้าเมืองได้
ใช่แล้ว!
หนังสือเล่มน้อยเล่มนั้นคือหนังสือโป๊ที่จางเทียนอวี้ให้กับเหยียนเสี่ยวเฟยเมื่อวานนี้เพื่อระงับความโกรธของเขา แต่ไม่คิดว่าเหยียนเสี่ยวเฟยนั้นจะมาที่นี่โดยที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อของเขาเพราะตัวเขานั้นไม่ได้สนใจกับงานเลี้ยงนี้ในตอนแรก และได้ทำให้ตัวเขาลืมเรื่องของหนังสือที่เขาซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อไปจนทำหล่นออกมา เหมือนเป็นการตบหน้าตัวเองเช่นนี้
แล้วบรรยากาศก็ได้หนักอึ้งขึ้นมาอย่างมาก จนทุกคนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
ส่วนข้ารับใช้ของตระกูลเซียวที่อยู่นอกห้องจัดงานเลี้ยงที่คอยเตรียมพร้อมอยู่ตลอดนั้นก็ได้รีบหนีไปก่อนที่เหยียนเสี่ยวเฟยจะโกรธ เพื่อที่จะไม่โดนลูกหลงของความโกรธของยอดฝีมือระดับสูงสุดราชันย์เทพนั้นที่รุนแรงมาก
ทุกคนต่างก็รู้สึกอ้ำอึ้งขึ้นมาและไม่รู้ว่าจะแก้ไขสถานการณ์ที่ลำบากใจเช่นนี้อย่างไรดี!
จนในท้ายที่สุดเซียวเชียนผู้นำตระกูลเซียวนั้นก็ได้หัวเราะออกมาอย่างฝืนๆ เขายกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มแล้วกล่าวกับทุกคนบนโต๊ะอาหารด้วยรอยยิ้ม “ฮ่าๆ มีคนกล่าวไว้ว่าการร่วมรักก็เป็นอาหารอย่างหนึ่งเหมือนกัน! คุณชายเหยียนเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง การที่จะมีรสนิยมเช่นนี้บ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร! ในวันนี้ใต้เท้าในจวนเจ้าเมืองทุกท่านอุตส่าห์ให้เกียรติมาที่บ้านเราทั้งที! ข้าขอดื่มให้กับพวกท่านและหวังในพวกท่านมีความสุขกับค่ำคืนนี้!”
ต่อหน้านั้นเซียวเชียนก็ได้แก้ไขบรรยากาศที่ลำบากใจนี้ราวกับผู้ที่มีประสบการณ์ แต่ในหัวของเขานั้นกลับรู้สึกสับสนไปหมด และได้กล่าวคำพูดยินดีต้อนรับเหยียนเสี่ยวเฟยกับพรรคพวกอีกรอบ สีหน้าของเหยียนเสี่ยวเฟยนั้นก็ยังคงเคร่งเครียดหลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ และมือขวาของเขานั้นยังคงสั่นไหวในตอนที่เขาจับแก้วขึ้นมารับอวยพรของเซียวเชียนพร้อมกับคนอื่นๆ
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศในงานเลี้ยงนั้นได้เริ่มกลับมาหนักอึ้งอีกหนแล้ว เซียวอวี่อิ๋งที่ยังคงนั่งอยู่ก็ได้รีบพูดต่อเซียวเชียนและกล่าวกับเหยียนเสี่ยวเฟย “ท่านพ่อพูดถูกแล้ว! คุณชาย เหยียนก็เป็นชายหนุ่มสุขภาพดีจะชอบเรื่องเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ขอเพียงไม่ใช่คนที่ไร้ยางอายแล้วพูดหรือแบ่งปันเรื่องเช่นนี้ในหมู่เพื่อนฝูงแล้ว ตระกูลเซียวของเราก็ยังพอรับได้ค่ะ!”
“ใช่แล้ว ที่อวี่อิ๋งพูดเมื่อสักครู่ก็เป็นสิ่งที่ข้าอยากจะพูดพอดี! คุณชายเหยียนอย่าได้อายไปเลย พวกเราเข้าใจท่าน มาๆยกแก้วของท่านขึ้นมาดื่มกันต่อเถอะ ค่ำคืนนี้เรามาดื่มกันให้เปรมไปเลย!”
หลังจากที่เซียวอวี่อิ๋งพูดจบ เซียวเฉียนก็ได้พูดต่อเพื่อแสดงความเข้าใจเหยียนเสี่ยวเฟย และคนอื่นๆบนโต๊ะอาหารนั้นก็ได้พากันยิ้มให้เหยียนเสี่ยวเฟย เพื่อให้บรรยากาศวิกฤตินี้ผ่านพ้นไป
เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้รู้สึกตื้นตันใจอย่างสุดๆในขณะที่ลุกขึ้นยืนแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นมาอีกหนและคารวะให้กับทุกคน “ขอบคุณทุกท่านมากที่เข้าใจ จริงๆแล้วหนังสือเล่มนี้เป็นของที่เจ้าของร้านคนหนึ่งให้ข้ามาตอนที่ข้าออกไปซื้อของ แล้วพกติดตัวกลับมาโดยที่ไม่ได้ใส่ใจอะไร และคิดว่าจะเก็บไว้อ่านทีหลังหากมีเวลา ไม่คิดว่าจะทำให้พวกท่านหัวเราะเช่นนี้ ต้องขอโทษด้วย!”
เพื่อที่จะแสดงความขอโทษ เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้ดื่มเหล้าจนหมดแก้ว แต่ในขณะที่เขากำลังจะวางแก้วเหล้านั้น หนังสือเล่มเล็กในแขนเสื้อของเขาก็ได้ตกลงมาอีกหน
แต่ในคราวนี้แทนที่จะเป็นปกด้านหน้า แต่เป็นด้านหลังของหนังสือให้ทุกคนได้เห็นเป็นครั้งแรก และมีชื่อของเจ้าของหนังสือจางเทียนอวี้เขียนอยู่ที่หลังปกหนังสือด้วย แล้วทันใดนั้นเองทุกคนในงานเลี้ยงก็ได้พลันจับจ้องไปที่เหยียนเสี่ยวเฟยกับจางเทียนอวี้ทันที