ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 444 ปลอบใจ
บทที่ 444
ปลอบใจ
“หืม? มีอะไรที่พูดกันตรงๆไม่ได้งั้นเหรอ?”
ที่เวทีหลังจากที่จงเจิ้งหมิงรับจดหมายซองแดงที่ดูเหมือนจดหมายรักนี้มา ก็ได้มีความสงสัยปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา ตัวเขานั้นไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของเขากับเด็กสาวคนนี้ผิด เขาจึงได้ถามกลับไปอย่างใจเย็น
หลังจากนั้นเด็กสาวก็ได้ยิ้มอย่างเอียงอายไปที่จงเจิ้งหมิง จากนั้นก็ได้หันหลังกลับแล้วออกจากห้องโถงใหญ่ไป ราวกับว่านางไม่ได้รู้สึกถึงเหยียนเสี่ยวเผยที่อยู่ข้างๆนางตั้งแต่ต้นยันจบเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่เด็กสาวจากไป ซ่างกวานอวี่ก็ได้เข้ามาหา จงเจิ้งหมิงทันที และกล่าวกับจงเจิ้งหมิงอย่างตื่นเต้น “ยอดไปเลยพี่จงเจิ้งหมิง ดูท่าเด็กคนนั้นน่าจะสนใจท่านอยู่นะ!”
“หา! ไม่มีทาง? น่าจะเป็นอย่างอื่นมากกว่า!”
จงเจิ้งหมิงก็ได้ตกใจเมื่อได้ยินที่ซ่างกวานอวี่กล่าว ใบหน้าของเขาแดงขึ้นมาทันที และหลังจากที่เก็บจดหมายไป เขาก็ได้ทำเป็นโต้แย้งซ่างกวานอวี่อย่างใจเย็น
แต่ซ่างกวานอวี่ก็ไม่ยอมจบแค่นั้น ไฟนินทาในดวงตาของนางยังคงโชติช่วงอยู่ ยิ่งจงเจิ้งหมิงหลบเลี่ยงมากเท่าไร ซ่างกวานอวี่ก็ยิ่งเซ้าซี้เขา ราวกับว่านางอยากที่จะรู้ถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงของจงเจิ้งหมิงกับเด็กสาวคนเมื่อสักครู่
และด้วยเหตุผลบางอย่าง ซ่างกวานอวี่ก็รู้สึกสนใจที่จะจับคู่จงเจิ้งหมิงกับเด็กสาวคนเมื่อสักครู่ขึ้นมา บางทีนางอาจจะนึกถึงเย่เย่ก็ได้หลังจากที่นางเห็นเด็กผู้หญิงส่งจดหมายให้ จงเจิ้งหมิงแล้ว นางก็ได้ตัดสินใจที่จะช่วยจงเจิ้งหมิงขึ้นมา
“พี่จงเจิ้งหมิงเป็นถึงรองเจ้าเมืองหลงเจียง ถ้าหากว่าท่านแต่งกับหญิงสาวชาวเมือง มันก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับเมืองหลงเจียงที่กำลังจะเข้าร่วมกับสมาพันธ์โม่ไห่มากนะ ขอเพียงท่านชอบพอกันทั้งคู่ทางจวนเจ้าเมืองก็ย่อมที่จะสนับสนุนท่าน พี่เหยียนเสี่ยวเฟยก็คิดเหมือนข้าใช่ไหม?”
ไม่ใช่แค่เด็กสาวคนเมื่อสักครู่กับจงเจิ้งหมิง แม้แต่ ซ่างกวานอวี่ก็ยังไม่รู้ถึงเหยียนเสี่ยวเฟยที่อับอายแข็งทื่อเมื่อสักครู่เลย ถ้าหากนางเข้าใจความรู้สึกของเหยียนเสี่ยวเฟยในเวลานี้แล้ว นางก็คงไม่โรยเกลือใส่แผลของเหยียนเสี่ยวเฟยตอนนี้อย่างแน่นอน
แต่ทว่าในฐานะที่เหยียนเสี่ยวเฟยเป็นผู้ช่วยเจ้าเมืองกิตติมศักดิ์ของเมืองหลงเจียงแล้ว และยังมีอายุมากกว่า จงเจิ้งหมิงกับซ่างกวานอวี่อีกจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะยอมเสียหน้าได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ดังนั้นหลังจากที่ได้ยินที่ ซ่างกวานอวี่ถามแล้ว แม้ว่าหัวใจของเขาจะขมขื่น แต่ เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้หันกลับไปหาซ่างกวานอวี่กับจงเจิ้งหมิงแล้วผงกหัวอย่างเอาจริงเอาจัง “ใช่! ถูกต้องแล้วล่ะ!”
ไม่ไกลออกไปพวกจางเทียนอวี่ที่เห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดของเหยียนเสี่ยวเฟยแล้ว ก็ได้พลันมีความรู้สึกที่ยากจะทานทนไหวเอ่อขึ้นมาในใจของพวกเขา เพียงแต่หากที่จะปลอบอีกฝ่ายในเวลานี้แล้วก็จะเป็นการเปิดโปงถึงสภาพที่น่าอดสูของ เหยียนเสี่ยวเฟย ดังนั้นพวกเขาจึงต่างก็กำหมัดแน่นและคิดที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อปลอบหัวใจที่บอบช้ำของเหยียนเสี่ยวเฟย
หลังจากที่ได้สร้างจวนเจ้าเมืองหลงเจียงขึ้นมาใหม่เสร็จแล้ว เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้รีบกลับไปที่ตำหนักของตัวเองในจวนเจ้าเมือง
เพื่อเลี่ยงที่จะถูกซ่างกวานอวี่ลากตัวเขาไปให้คำแนะนำกับจงเจิ้งหมิง เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้ปฏิเสธที่จะพบผู้คนโดยอ้างว่าเก็บตัวฝึกวิชา แต่ก่อนที่จะค่ำจางเทียนอวี้พร้อมด้วยคนสนิทของเขาหลิวโหยวก็ได้มาที่ตำหนักของเหยียนเสี่ยวเฟย และพร่ำบอกกับข้ารับใช้ที่อยู่ด้านนอกตำหนักว่าพวกเขานั้นมีเรื่องสำคัญอย่างมากจะพูดด้วยซ้ำไปซ้ำมา
หลิวโหยวนั้นเป็นหนึ่งในผู้ที่ติดตามจางเทียนอวี้มาตั้งแต่แรกๆ เพราะเป็นคนที่หัวคิดไวและทำอะไรได้หลายอย่าง ดังนั้นจางเทียนอวี้จึงได้ไว้ใจเขามาก
ในเวลานี้เขาได้พาหลิวโหยวมาหาเหยียนเสี่ยวเฟย หลังจากที่จางเทียนอวี้ได้กลับไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่หอก้อนเมฆให้หลิวโหยวฟังและทำตามคำแนะนำของหลิวโหยว เพราะทั้งสองคนนั้นพยายามกันอย่างมาก ราวกับว่ามีเรื่องบางอย่างที่สำคัญมากจะมารายงานเหยียนเสี่ยวเฟยจริงๆ ดังนั้นข้ารับใช้ที่คุ้มกันอยู่ด้านนอกตำหนักก็ได้ยอมแพ้และเข้าไปแจ้ง เหยียนเสี่ยวเฟย
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพัก เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้ออกมาพบกับทั้งสองคน แต่ในขณะที่เหยียนเสี่ยวเฟยมาพบกับทั้งคู่จางเทียนอวี้ก็ได้หันมาหาเขาและกล่าวกับเหยียนเสี่ยวเฟยเพื่อหยั่งเชิง “ในวันนี้ที่งานชุมนุม ใต้เท้าช่างมีชีวิตชีวาและชาญฉลาดยิ่งนัก ช่างสมกับเป็นตัวอย่างของคนรุ่นพวกข้าจริงๆ ด้วยการเข้าร่วมกับเมืองหลงเจียงของใต้เท้า อนาคตที่เมืองหลงเจียงรุ่งเรืองและทรงพลังนั้นจักอยู่แค่เอื้อมเท่านั้น!”
ในขณะที่จางเทียนอวี้กับหลิวโหยวกล่าวประจบ เหยียนเสี่ยวเฟย พวกเขาก็ได้มองดูท่าทีของเหยียนเสี่ยวเฟยเป็นช่วงๆ เพื่อดูว่ามีความสนใจในดวงตาของเขาบ้างหรือไม่
ไม่ว่าเหยียนเสี่ยวเฟยนั้นจะโง่แค่ไหน เขาก็เดาได้ว่าทั้งคู่นั้นกำลังปลอบใจเขาในสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้อยู่ ดังนั้นสีหน้าของเขาจึงได้อับอายขึ้นมาทันที แต่ในชั่วพริบตาเดียวเหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้กลับสู่ปกติและกล่าวกับจางเทียนอวี้อย่างตรงไปตรงมาอย่างสุดๆ “พวกเจ้าไม่ต้องมาทำเป็นมีลับลมคมใน ถ้าหากพวกเจ้าคิดที่จะมาปลอบข้าเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าแล้ว พวกเจ้าก็กลับไปเดี๋ยวนี้เลยนะ! ข้าเหยียนเสี่ยวเฟยเป็นลูกผู้ชายอกสามศอก และเป็นใหญ่ในดินแดนเทียนหนาน จะให้มาสนใจกับเรื่องของเด็กๆเช่นนี้ได้อย่างไร? ฟังให้ดีๆๆนั้นทั้งหมดนี้เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้อีก!”
เมื่อจางเทียนอวี้กับหลิวโหยวได้ยินเช่นนั้น ไม่ว่าทั้งคู่นั้นจะเชื่อเหยียนเสี่ยวหรือไม่ พวกเขาต่างก็ได้พลันมองไปที่ เหยียนเสี่ยวเฟยด้วยความชื่นชมอย่างหาที่เปรียบมาได้
จางเทียนอวี้ก็ได้ยกนิ้วโป้งให้กับจางเทียนอวี้และกล่าวอย่างชื่นชม “ใต้เท้าเป็นอย่างที่พวกเราคิดไว้จริงๆ เทียบไม่ได้กับราชันย์เทพทั่วไปเลยจริงๆ! จริงๆแล้วพวกเราไม่ได้เข้าใจอะไรใต้เท้าผิดไปทั้งนั้น พวกเรามาพบท่านในครั้งนี้ก็เพื่อแสดงความชื่นชมต่อใต้เท้าจริงๆ! ในเวลานี้ความตั้งใจของพวกเราก็ได้ส่งไปถึงแล้ว พวกเราก็ไม่คิดที่จะรบกวนการฝึกวิชาของใต้เท้าอีกขอตัวลา!”
หลังจากที่พูดจบ จางเทียนอวี้ก็ได้คิดที่จะกลับไป แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ออกไปจากห้องทำงานของเหยียนเสี่ยวเฟย ก็ได้มีจดหมายซองแดงตกออกมาจากแขนเสื้อของหลิวโหยว
ตุบ!
จดหมายซองแดงนี้ตกลงที่พื้นนี้ เพียงแค่มองผ่านๆก็รู้ว่าคืออะไร เพราะสีแดงราวกับเลือด
ที่ด้านหลังของจดหมายซองนี้ก็ได้เขียนชื่อของหญิงสาวเอาไว้ด้วย ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นชื่อของหญิงสาว มันเป็นจดหมายรักที่จางเทียนอวี้กับหลิวโหยวนั้นได้รีบร้อนไปขอให้หญิงสาวคนหนึ่งในเมืองหลงเจียงเขียนให้กับเหยียนเสี่ยวเฟย
จริงๆแล้วนี่คือแผนการดั้งเดิมที่พวกเขาคิดจะใช้ปลอบ เหยียนเสี่ยวเฟย แต่หลังจากที่เหยียนเสี่ยวเฟยได้ประกาศท่าทีของเขาออกมาแล้ว จางเทียนอวี้กับหลิวโหยวก็ไม่กล้าที่จะเอาจดหมายรักฉบับนี้ออกมา และคิดที่จะจากไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่นี่
แต่ในเวลานี้เรื่องก็ได้แดงออกมาแล้ว จางเทียนอวี้กับหลิวโหยวก็ได้มีท่าทีชะงักชะงันขึ้นมาไปชั่วขณะ ทั้งคู่ก็ได้หันกลับไปมองเหยียนเสี่ยวเฟยที่กำลังนั่งอยู่ตรงที่นั่งของเขา และพบว่ามีเส้นเลือดเขียวคล้ำที่หน้าผากของอีกฝ่าย และดวงตาของเขานั้นก็ได้แสดงถึงเจตนาที่อยากจะฆ่าพวกเขาขึ้นมา
“เจ้าพวกบ้า! นี่เห็นข้าใช้การไม่ได้ในสายตาของพวกเจ้าอย่างนั้นเหรอ? ถึงได้ไปขอให้คนอื่นมาเขียนจดหมายรักแบบนี้?”
เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้ลุกเป็นไฟขึ้นมา ลุกขึ้นยืนแล้วก็ค่อยๆเดินไปหาจางเทียนอวี้กับหลิวโหยวทีละก้าวๆ หมัดในมือของเขานั้นก็ได้ส่งเสียงกรอบแกรบขึ้นมา
จางเทียนอวี้ก็ได้เหงื่อไหลเป็นสายน้ำขึ้นมาด้วยความตื่นกลัว แล้วเขาก็ได้รับหันไปถีบหลิวโหยวที่อยู่ด้านหลังเขา!
ตุบ!
หลิวโหยวที่ไม่ทันระวังตัวก็ได้ถูกจางเทียนอวี้ถีบออกจากห้องทำงานทันที สีหน้าของเขานั้นยังงุนงงอยู่ตอนที่ตกลงพื้น
“หลิวโหยวข้าไม่ได้บอกเจ้าหรืออย่างไร? ว่าท่านเจ้าเมืองนั้นดีกับข้ามากขนาดไหน และในเวลานี้ตอนที่ข้าได้พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อรับใช้ท่านเจ้าเมืองอยู่นี้ ข้าจะไม่รับจดหมายรักของใครทั้งนั้น ทำไมเจ้าถึงยังเก็บไว้กับตัวอีก? นี่เจ้าหูทวนลมรึอย่างไร?”
โยนขี้ โยนขี้กันเห็นๆ!
เมื่อเห็นดูท่าไม่ดีแล้ว จางเทียนอวี้ก็ได้รีบผลักทุกอย่างไปให้หลิวโหยวเพื่อคลายแรงกดดันอันหนักอึ้งของเหยียนเสี่ยวเฟยที่ลงมาที่เขา
แต่ทว่าหลังจากที่เหยียนเสี่ยวเฟยได้ยินที่เขาปฏิเสธแล้ว สีหน้าของเหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้เขียวคล้ำหนักขึ้นไปอีก!
หลังจากที่เดินมาตรงหน้าของจางเทียนอวี้ เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้กล่าวกับจางเทียนอวี้ด้วยน้ำเสียงที่หนาวเย็น อย่างช้าๆชัดๆ “อ้อเหรอ! เจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่ได้ทำอะไรเลยก็ได้รับจดหมายรักทุกวันเลยอย่างนั้นเหรอ! กับข้าคนนี้ที่เป็นยอดฝีมือหนุ่มที่มีวรยุทธ์และฐานะที่สูงกว่าเจ้า แต่กลับไม่ได้เป็นที่นิยมชมชอบของใครเลยนั้น เทียบไม่ได้กับเจ้าแม้แต่ผมเส้นเดียวเลยสินะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยจิตสังหารของ เหยียนเสี่ยวเฟยแล้ว จางเทียนอวี้ก็ได้หน้าซีดขึ้นมา และรู้ว่าตัวเขานั้นได้ไปอยู่ตรงปากกระบอกปืนของเหยียนเสี่ยวเฟยเรียบร้อยแล้ว และสายเกินไปแล้วที่จะมาขอความเมตตาในเวลานี้
“จบแล้ว! ที่แท้เขาก็วิตกเรื่องนี้อยู่ตลอดจริงๆด้วย!”
หลังจากที่ความคิดสุดท้ายได้แว่บเข้ามาในหัวของ จางเทียนอวี้ เขากับลูกน้องของเขาหลิวโหยวก็ได้รับบทเรียนอย่างหนักจากเหยียนเสี่ยวเฟย แม้จะเพื่อระบายความไม่พอใจของเขาก็ตามที แต่เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้อัดจางเทียนอวี้ที่อยู่ในระดับราชันย์เทพจนกลายเป็นหัวหมู และไม่สามารถกลับคืนได้สักพักใหญ่ๆ
จนกระทั่งค่ำก็ดูเหมือนว่าเหยียนเสี่ยวเฟยนั้นจะหายโกรธแล้ว จึงได้บอกให้ข้ารับใช้ของจวนเจ้าเมืองแบกเอา จางเทียนอวี้กับหลิวโหย่วกลับออกไป ในขณะที่ตัวเขาที่ใจเย็นลงแล้วก็ได้กลับไปฝึกวิชาต่อ
ที่ห้องนั่งเล่นของรองเจ้าเมืองจงเจิ้งหมิง ในจวนเจ้าเมืองหลงเจียงนั้น ในตอนที่เขาได้หยิบเอาจดหมายซองแดงที่ได้รับจากหญิงงามขึ้นมาอ่านนั้น เขาก็ได้ถอนหายใจออกมาหลังจากที่เห็นเนื้อความในจดหมาย แล้วก็ได้ยื่นจดหมายส่งให้กับซ่างกวานอวี่ที่อยู่ใกล้ๆอย่างใจเย็นมาก
“อะไรกัน ที่แท้ก็เชิญท่านไปที่บ้านของนางเพื่อกินเลี้ยงของคุณท่านที่ช่วยตระกูลเซียวไว้คราวก่อนนี่เอง!”
หลังจากซ่างกวานอวี่อ่านเนื้อความในจดหมายนั้น นางก็ได้คืนจดหมายให้จงเจิ้งหมิงอย่างผิดหวัง และถอนหายใจออกมาอย่างหดหู่
ก่อนที่ทั้งสองจะกลับมาที่จวนเจ้าเมืองนั้น จงเจิ้งหมิงก็ได้บอกกับซ่างกวานอวี่ว่าเด็กสาวคนนั้นมีชื่อว่าเซียวอวี่อิ๋ง
เรื่องก็คือว่าในตอนที่เย่เย่นั้นหมดสติอยู่ จงเจิ้งหมิงก็ได้เริ่มการบูรณะฟื้นฟูเมืองหลงเจียงแล้ว ซึ่งตระกูลเซียวเองก็เป็นหนึ่งในตระกูลที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการต่อสู้ของ เย่เย่กับหม่าเจา และเพราะตระกูลเซียวอยู่ในสภาวะอ่อนแอมาก หลังจากที่จบศึกก็ได้มีคนที่คิดจะปล้นบ้านสกุลเซียว
ยังดีที่จงเจิ้งหมิงนั้นไปถึงบ้านสกุลเซียวเพื่อตรวจสอบความเสียหายของเมืองหลงเจียงเข้าพอดี และจัดการกับหัวขโมยที่คิดฉวยโอกาสตอนที่กำลังตกอยู่ในความโกลาหลอย่างง่ายดาย
ในวันนี้เซียวอวี่อิ๋งจึงได้ส่งจดหมายเชิญมาให้จงเจิ้งหมิงด้วยตัวเอง และหวังว่าจงเจิ้งหมิงนั้นจะไปที่บ้านสกุลเซียวในงานเลี้ยงวันพรุ่งนี้ เพื่อที่ตระกูลของนางจะได้แสดงความขอบคุณกับจงเจิ้งหมิงอย่างเป็นทางการ
ในตอนแรกซ่างกวานอวี่นั้นคิดว่าที่จงเจิ้งหมิงได้รับนั้นเป็นจดหมายรักอย่างแน่นอน แต่ในเวลานี้หลังจากที่รู้ความจริงแล้วก็ได้ทำให้อารมณ์นึกสนุกเมื่อสักครู่หายไปในทันที แต่ทว่าเมื่อนางนึกถึงสายตาของเซียวอวี่อิ๋งที่มองจงเจิ้งหมิงที่หอก้อนเมฆขึ้นมาได้ ซ่างกวานอวี่ก็ได้พลันฟื้นเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที และกล่าวกับจงเจิ้งหมิงอย่างตื่นเต้นอีกครั้ง “ถึงแม้ว่านี่จะเป็นจดหมายเชิญเพื่อแสดงความขอบคุณ แต่เซียวอวี่อิ๋งจะต้องชอบท่านอย่างแน่นอน! พี่จงเจิ้งหมิงถึงเวลาที่ลูกผู้ชายอย่างท่านจะต้องตอบรับแล้วนะ ไม่ต้องกังวลไปมีข้าซ่างกวานอวี่ไปด้วย พวกท่านจะต้องไปกันได้อย่างราบรื่นแน่นอน!”