ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 443 ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน
บทที่ 443
ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน
“ทุ้ย!”
หลังจากที่ผู้อาวุโสฮว๋าเฟิงได้พ่นเอาดินออกมาจากปาก เขาก็ได้กล่าวตอบผู้อาวุโสถงอวิ๋นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ใครจะไปคิดว่าการระเบิดพลังของเจ้าหนูนี่มันจะน่าทึ่งขนาดนี้ อย่าว่าแต่ข้าเลย ต่อให้เป็นเจ้าก็อาจจะจบลงเหมือนกันนั่นแหละ!”
ถึงแม้ว่าการโจมตีเมื่อสักครู่ของเหยียนเจิ้นตงนั้นจะรุนแรงมาก แต่ก็ไม่ได้ทำความเสียหายให้ผู้อาวุโสฮว๋าเฟิงมากนัก ถ้าหากทั้งสองคนสู้กันต่อ โอกาสที่เหยียนเจิ้นตงจะเอาชนะผู้อาวุโสฮว๋าเฟิงได้นั้นก็คงเป็น 0
แต่เมื่อมองไปที่เหยียนเจิ้นตงที่ในเวลานี้ตกอยู่ในห้วงนิมิตแล้ว ผู้อาวุโสฮว๋าเฟิงก็ไม่ได้โจมตีต่อ แต่พูดกับผู้อาวุโสถงอวิ๋นด้วยน้ำเสียงที่บอกไม่ถูก “ยังดีที่เจ้าหนูนี่ก็ได้แตะทางเข้าของจักรพรรดิเทพจนได้ ไม่อย่างนั้นที่ข้าทำไปทั้งหมดคงสูญเปล่า!”
จากการเปลี่ยนแปลงของพลังที่แผ่ออกมาของ เหยียนเจิ้นตง ผู้อาวุโสถงอวิ๋นกับผู้อาวุโสฮว๋าเฟิงก็เดาได้ว่า เหยียนเจิ้นตงนั้นได้พบหนทางบรรลุได้จากการต่อสู้อย่างดุเดือดเมื่อสักครู่ หลังจากที่ทั้ง 2 คนมองหน้ากันแล้ว ก็มีรอยยิ้มที่ปลื้มใจปรากฏบนใบหน้าของพวกเขาพร้อมกัน และต่างก็คาดหวังในตัวของเหยียนเจิ้นตง ผู้ที่กำลังจะกลายเป็นจักรพรรดิเทพคนใหม่ของตระกูลเหยียน
เหตุผลหนึ่งเพื่อที่จะได้ดึงดูดความสนใจของเหล่ายอดฝีมือให้ได้มากที่สุดในระหว่างช่วงที่เมืองหลงเจียงกำลังมีชื่อเสียงนี้ เย่เย่ก็ได้เรียกเหยียนเสี่ยวเฟยกลับมาเป็นการด่วนก่อนที่จะเก็บตัวฝึกวิชา และให้เขารับตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าเมืองกิตติมศักดิ์เป็นการชั่วคราว เพื่อคอยช่วยจงเจิ้งหมิงกับซ่างกวานอวี่จัดการกับยอดฝีมือหน้าใหม่ที่มาเข้าร่วมกับทางจวนเจ้าเมือง
เพราะเหยียนเสี่ยวเฟยนั้นแข็งแกร่งกว่าใคร ถึงจะแข็งแกร่งกว่าจงเจิ้งหมิงนิดเดียว แต่ก็ได้ให้เขามาอยู่ในจวนเจ้าเมืองหลงเจียงเพื่อทำงานแทนเขา เพื่อที่เย่เย่จะได้จัดการเรื่องของตัวเองอย่างไร้กังวล และอีกเหตุผลหนึ่งคือในฐานะที่เป็น จอมยุทธ์พเนจรแล้ว หลังจากที่ข่าวเรื่องที่เหยียนเสี่ยวเฟยเข้าร่วมกับเมืองหลงเจียงเผยแพร่ออกไป มันก็จะส่งผลอย่างมากกับเหล่าจอมยุทธ์พเนจรให้จับตาดูละแวกริมชายฝั่งทะเลมากขึ้น
เหยียนเสี่ยวเฟยที่เพิ่งจะทำภารกิจลอบสังหารเสร็จไม่นานเมื่อถูกเย่เย่เรียกตัวให้ไปที่เมืองหลงเจียง ก็ได้รีบไปทันทีโดยไม่มีท่าทีต่อต้าน
เขาเองก็ไม่คิดว่าหลังจากที่เขาแยกจากเย่เย่ไปได้ไม่นาน เย่เย่จะทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ที่เมืองหลงเจียง ไม่เพียงแต่เขาจะบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพได้ แต่ยังสามารถสังหารยอดฝีมือจักรพรรดิเทพได้ด้วยตัวเองอีก ซึ่งได้ทำให้เหยียนเสี่ยวเฟยนั้นสงสัยในความลับของเย่เย่มากขึ้นไปอีก
ถึงแม้ว่าเหยียนเสี่ยวเฟยนั้นจะเต็มไปด้วยความสงสัยเกี่ยวกับคนที่เย่เย่เรียกว่าอาจารย์ก็ตามที แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เชื่อว่าความลับของเย่เย่นั้นจะต้องมีค่าไม่น้อยไปกว่าอาจารย์ที่แสนลึกลับและทรงพลังของเย่เย่แน่
ดังนั้นหลังจากที่กลับมาที่เมืองหลงเจียงแล้ว เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้มาอยู่ที่จวนเจ้าเมืองชั่วคราว ในขณะที่คอยช่วยเหลืองจงเจิ้งหมิงกับซ่างกวานอวี่ปกครองเหล่ายอดฝีมือราชันย์เทพ และในขณะเดียวกันก็ได้ให้ความช่วยเหลือในการซ่อมแซมฟื้นฟูเมืองหลงเจียง
ถึงแม้ว่าจงเจิ้งหมิงนั้นจะถูกแต่งตั้งเป็นรองเจ้าเมืองหลงเจียง และซ่างกวานอวี่เองก็เป็นถึงบุตรีของผู้นำสมาพันธ์โม่ไห่ แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้มีท่าทีอวดดีต่อหน้าเหยียนเสี่ยวเฟยแต่อย่างใด หลังจากที่เหยียนเสี่ยวเฟยได้เข้ามาอยู่ในจวนเจ้าเมืองแล้ว ทั้งคู่ต่างก็ให้ความสนใจกับเหยียนเสี่ยวเฟยที่สามารถทำให้ยอดฝีมือคนอื่นๆในจวนเจ้าเมืองรู้สึกหวาดกลัวได้
เพราะเย่เย่นั้นเป็นคนที่แนะนำเหยียนเสี่ยวเฟยด้วยตัวเองก่อนที่เขาจะเก็บตัวฝึกวิชา ทั้งสองคนจึงได้ยอมรับ เหยียนเสี่ยวเฟยเข้าร่วมกับสมาพันธ์โม่ไห่ และในเมื่อ เหยียนเสี่ยวเฟยเข้ารับตั้งแต่เป็นผู้ช่วยเจ้าเมืองกิตติมศักดิ์ของเมืองหลงเจียงเป็นการชั่วคราวแล้ว ตัวเขานั้นก็ไม่ได้ถือว่าเป็นคนของสมาพันธ์โม่ไห่แต่อย่างใด
และเพื่อที่เหยียนเสี่ยวเฟยจะได้เข้าร่วมกับทางสมาพันธ์โม่ไห่รับใช้ซ่างกวานจ้งแล้ว จงเจิ้งหมิงกับซ่างกวานอวี่จึงต้องพยายามอย่างเต็มที่ ซึ่งไม่เพียงแต่ทั้งคู่จะไม่รู้สึกไม่พอใจกับการมาอย่างกะทันหันของเหยียนเสี่ยวเฟยแล้ว แต่ทั้งคู่ยังทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้ได้ใจของเหยียนเสี่ยวเฟย และคิดจะทำให้ เหยียนเสี่ยวเฟยยอมมาเข้าร่วมกับทางสมาพันธ์โม่ไห่อย่างแท้จริง
ในวันที่อากาศแจ่มใส่เหล่ายอดฝีมือของเมืองหลงเจียงก็ได้มารวมตัวกันอยู่ที่ชั้นล่างของหอก้อนเมฆ ที่เคยเป็นหอที่สูงที่สุดในเมืองหลงเจียง
แต่เพราะหอก้อนเมฆนั้นได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการต่อสู้ระหว่างเย่เย่กับหม่าเจา จงเจิ้งหมิงกับซ่างกวานอวี่นั้นจึงได้เรียกรวมเหล่าตระกูลใหญ่ๆในเมืองหลงเจียงให้มารวมตัวกันเพื่อซ่อมแซมหอก้อนเมฆโดยปากเปล่าเพื่อแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่าทางจวนเจ้าเมืองนั้นมุ่งมั่นที่จะซ่อมแซมเมืองหลงเจียงให้แล้วเสร็จอย่างรวดเร็ว
ในฐานะที่เป็นหน้าเป็นตาของทางจวนเจ้าเมืองหลงเจียงแล้ว แน่นอนว่าเหยียนเสี่ยวเฟยก็ต้องมาเข้าร่วมงานนี้ด้วย ถึงแม้ว่าตัวเขานั้นจะไม่สนใจเรื่องเช่นนี้จากก้นบึ้งของหัวใจ แต่ประสบการณ์ในช่วงนี้ก็ได้ทำให้เขาค่อยๆเปลี่ยนแผนการในอนาคตของเขา
นับตั้งแต่ที่ออกมาจากตระกูลเหยียนมานานหลายปี เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้ร่อนเร่ไปทั่วแผ่นดินว่านหลิง นอกจากการเข้าร่วมกับหอธารสวรรค์เพราะต้องการเงินแล้ว เหยียนเสี่ยวเฟยนั้นก็ไม่เคยคิดที่จะเข้าร่วมกับสำนักหรือลงหลักปักฐานที่ไหน
แต่ในเวลานี้ในตอนที่เขามาเข้าร่วมกับทาง เมืองหลงเจียง จงเจิ้งหมิงกับซ่างกวานอวี่ก็ได้ความสนใจเขาอย่างเต็มที่ และศักยภาพของเย่เย่เองก็ได้ทำให้เหยียนเสี่ยวเฟยนั้นรู้สึกว่าการติดตามเย่เย่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่นัก ดังนั้น เหยียนเสี่ยวเฟยจึงได้มีความคิดที่จะลงหลักปักฐานขึ้นมา
ความคิดที่จะแต่งงานมีลูก, สร้างครอบครัวและเริ่มทำธุรกิจนั้น ความคิดเหล่านี้ที่ไม่เคยอยู่ในหัวของเหยียนเสี่ยวเฟยมาก่อน ก็ได้เริ่มทำให้เขารู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องห่างไกลอีกแล้ว นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมเหยียนเสี่ยวเฟยถึงได้ยอมเห็นด้วยกับจงเจิ้งหมิงและซ่างกวานอวี่มาร่วมงานนี้พร้อมกับพวกเขาด้วย และหวังที่จะหลอมรวมตัวเองเข้ากับเมืองหลงเจียง
ที่ห้องโถงใหญ่ หลังจากที่จงเจิ้งหมิงกับซ่างกวานอวี่ กล่าวปราศรัยจบ เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้เดินขึ้นเวทีและกล่าวปลุกใจให้กับขุมอำนาจใหญ่ๆในเมืองหลงเจียง และพูดกระตุ้นให้ทุกคนทำงานร่วมกันเพื่อสร้างเมืองหลงเจียงให้กลายเป็นเมืองโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหรืออะไรแบบนั้น
แต่ทว่าในขณะที่เหยียนเสี่ยวเฟยที่ตั้งใจทำเป็นพูดกระตุ้นและปลุกใจทุกคนให้ร่วมมือกันด้วยน้ำเสียงที่เป็นทางการอยู่นั้น เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้พลันรู้สึกที่สายตาที่เร่าร้อนกำลังจ้องมาที่เขา
“ไม่ใช่จิตสังหาร! แต่นี่มัน?”
เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้ระแวดระวังทันทีและกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วก็พบหญิงสาวที่กำลังมองมาทางเขาอย่างเอียงอาย
หญิงสาวคนนั้นดูอายุประมาณ 17-18 ปี ถึงแม้ว่านางจะยังเด็กอยู่ แต่ร่างกายของนางก็มีน้ำมีนวลแล้ว โดยเฉพาะใบหน้าที่งดงามของนางที่มีเสน่ห์อันเยาว์วัยที่ทำให้ชายหนุ่มทั้งหลายยากที่จะต้านทานได้
ในขณะที่เหยียนเสี่ยวเฟยกำลังพูดอยู่ นางก็ได้หันมามองที่เวทีอย่างกระตือรือร้นและเอียงอาย แล้วมีสายตาของความรักในดวงตาของตาที่ใครๆก็สามารถมองออก
ตึกตักๆ!
หัวใจของเหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้เต้นเร็วอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา และความยินดีที่หัวใจของเขาไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ เหยียนเสี่ยวเฟยนั้นรู้สึกอีกครั้งว่าตัวเขานั้นช่างโชคดีจริงๆที่ได้มาเข้าร่วมกับเมืองหลงเจียง
“เอาล่ะ! ข้าก็ได้พูดที่อยากจะพูดไปหมดแล้ว ถ้าหากทุกคนมีคำถามอะไรก็ถามมาได้เลย! ทางจวนเจ้าเมืองเองก็จะเข้าร่วมกับทุกกระบวนการของการฟื้นฟูเมือง ขอเพียงทุกคนเชื่อฟังการสั่งการของทางจวนเจ้าเมือง ทางจวนเจ้าเมืองก็จะตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อแน่นอน แล้วเมืองหลงเจียงก็จะรุ่งเรืองมากกว่าในอดีตแน่รอดูและรอชมได้เลย!”
ภายใต้การปลุกใจนี้ เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้จบการปราศรัยที่ยาวนาน และสรุปการพูดของเขาอย่างเร่งรีบ ราวกับว่าตัวเขาเองก็อยากที่จะให้ทุกคนแยกย้ายกันไปจนเหลือแค่หญิงสาวคนนั้นกับตัวเขาเพียงลำพัง
“ใต้เท้า ข้ามีเรื่องสงสัยอยู่ในใจที่อยากจะถาม…..”
แต่ทว่าหัวตระกูลหลี่ที่อยู่ในกลุ่มผู้คนที่ไม่ได้รู้ถึงความร้อนรนที่อยู่ในใจของเหยียนเสี่ยวเฟยเลย และทันทีที่สิ้นเสียงของเหยียนเสี่ยวเฟย เขาก็ได้ยกมือขึ้นถาม
“ถ้าหากว่ามีปัญหาอะไร! ข้าจะให้คนของทางเจ้าเมืองรับเรื่องของท่านไว้เอง ซึ่งถ้าหากมีอะไรคืบหน้าทางเราจะรีบตอบกลับท่านไปทันที! วันนี้พอแค่นี้แยกย้ายได้!”
แต่ก่อนที่ผู้นำตระกูลหลี่จะได้พูดถามในสิ่งที่เขาสงสัยออกมา เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้พูดขัดอีกฝ่ายขึ้นมาก่อน และรีบจบการปราศรัยนี้ และได้ประกาศจบให้การชุมนุมบูรณะเมืองครั้งนี้ทันที
“เอ๋! แต่ข้ายังไม่ทันจะถามอะไรเลยนะ!”
ผู้นำตระกูลหลีก็ได้มีสีหน้างุนงงขึ้นมา และหลังจากที่ เหยียนเสี่ยวเฟยกล่าวจบ เขาก็ได้รีบโต้แย้งขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ไม่รู้เรื่องอะไรบนใบหน้าของเขา
“เข้าใจแล้ว! จงเจิ้งหมิงเจ้าช่วยไปอธิบายเขาเกี่ยวกับกฎ 9 ข้อที่ของการชุมนุมที่ท่านเจ้าเมืองเพิ่งตั้งขึ้นมาให้เขาที ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องเข้าใจในทันทีแน่!”
เหยียนเสี่ยวเฟยก็ไม่ได้สนใจผู้คนที่กำลังสงสัยเลย และได้โยนภาระไปให้กับจงเจิ้งหมิง และตั้งใจที่จะจบการชุมนุมนี้อีกหนอย่างขอไปที
“เอ๋! กฎใหม่ในการชุมนุมทั้ง 9 ข้ออย่างนั้นเหรอ?”
จงเจิ้งหมิงที่ถูกเหยียนเสี่ยวเฟยเรียกนั้นก็ได้มีสีหน้างุนงงขึ้นมาทันที ตัวเขานั้นจำไม่ได้ว่าเย่เย่ได้บัญญัติกฎเหล่านั้นมาตั้งแต่เมื่อไร ทำให้เขามีเหงื่อไหลออกมาอย่างมากมายและไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี
แต่ทว่าก่อนที่เขาจะได้คิดหาทางแก้ไข เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้เดินขึ้นหน้าเวทีราวกับว่าปัญหาถูกแก้ไขแล้ว และกล่าวกับผู้คนที่อยู่ด้านล่างของเวทีต่อ “ข้าเชื่อว่าหลังจากที่ทุกท่านได้ฟังคำอธิบายแล้วเขาแล้ว ทุกท่านจะต้องเข้าใจว่ามีอะไรที่จะต้องระวังกับการชุมนุมในอนาคตบ้าง! เอาล่ะวันนี้พอแค่นี้ จบการชุมนุมได้!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา เหล่าผู้คนที่อยู่ในงานชุมนุมนี้ต่างก็มีสายตาดำมืดและมองไปที่เหยียนเสี่ยวเฟยอย่างสงสัยสุดๆ
แต่ทว่าในเรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว พวกเขาต่างก็ไม่คิดที่จะยุ่งวุ่นวายต่อ จึงได้พากันแยกย้ายออกไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ทันทีที่ผู้คนพากันแยกย้ายออกไปก็ได้เหลือเพียงยอดฝีมือจากทางจวนเจ้าเมืองที่อยู่บนเวทีและหญิงสาวคนนั้นที่ยังคงยืนอยู่ด้านหลังเวที
ทุกสิ่งเป็นไปดั่งที่เหยียนเสี่ยวเฟยคาดเอาไว้ หลังจากที่ผู้คนส่วนใหญ่ได้พากันออกไปแล้ว หญิงสาวในงานชุมนุมเมื่อสักครู่ก็ได้รวบรวมความกล้าและเดินมารอที่หลังเวที และได้หยิบเอาจดหมายซองสีแดงที่ตกแต่งอย่างสวยงามออกมาจากร่องหน้าอกของนาง
รอยยิ้มบนใบหน้าของเหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้เบ่งบานมาก และคิดว่าฤดูใบไม้ผลินั้นได้มาเยือนเขาแล้ว และได้ยื่นมือออกมาเพื่อรับจดหมายในมือของหญิงสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความยินดี
แต่ทว่าหลังจากที่หญิงสาวมาถึง นางก็ได้เดินเลยผ่าน เหยียนเสี่ยวเฟยไปและเดินไปหาจงเจิ้งหมิงที่อยู่ด้านหลังของ เหยียนเสี่ยวเฟย แล้วกล่าวกับจงเจิ้งหมิงอย่างอายๆ “พี่จงเจิ้งหมิงคะ นี่ของท่านค่ะ ได้โปรดช่วยอ่านจดหมายฉบับนี้ด้วยนะคะ!”
แล้วบรรยากาศก็ได้ซบเซาขึ้นมาในทันที!
เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้ยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับรูปปั้นและไม่ขยับไปไหน ร่างของเขายังคงยืนนิ่งในท่าเอามือไปรับจดหมาย แต่ใบหน้าของเขานั้นกลับแข็งทื่อราวกับน้ำแข็ง
ไม่ไกลออกไปจางเทียนอวี้กับพรรคพวกที่เห็นเช่นนี้แล้วพวกเขาต่างก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจเหยียนเสี่ยวเฟยขึ้นมาอย่างไม่รู้จบ
เมื่อสักครู่พวกเขานั้นสงสัยว่าทำไมเหยียนเสี่ยวเฟยถึงได้รีบร้อนที่จะจบการประชุมนี้นัก แต่ในเวลานี้พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าเป็นเพราะหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าจงเจิ้งหมิงนี่เอง และเพราะว่าเหยียนเสี่ยวเฟยนั้นประมาณตัวเองผิดไป จึงจบลงด้วยความเข้าใจผิดและตกอยู่ในสภาพที่น่าอับอายอย่างสุดๆไป
ซึ่งไม่ไกลจากหญิงสาวและจงเจิ้งหมิง เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้มีใบหน้าซีดเผือดอย่างสุดๆ และไม่ได้ขยับไปไหนทั้งนั้น หัวใจของเขาราวกับถูกฟ้าผ่าใส่ แม้ว่าจะทรมานแต่ก็ไม่สามารถจะไปบอกกับใครได้เลย