ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 440 สงบจิตใจ
บทที่ 440
สงบจิตใจ
ผ่านไปไม่กี่วัน เว่ยเหยียนก็ยังคงทำสมาธิด้วยการตกปลาอยู่ที่ทะเลสาบ ถึงแม้ว่าเขานั้นจะไม่ได้ปลาเลย แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกกระวนกระวายใจอะไรกับประสบการณ์ในการตกปลาเป็นครั้งแรกของเขา
แต่ทว่าทันทีความรู้สึกแปลกใหม่ได้ผ่านไป เว่ยเหยียนที่ไม่รู้ว่าอารมณ์ของเขานั้นได้เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร และความกระวนกระวายก็ได้ค่อยๆปรากฏในดวงตาของเขา
โชคยังดีที่เว่ยเหยียนนั้นนึกถึงคำสอนของผู้อาวุโสฉวนกงอยู่เสมอ ทำให้เขายังสามารถสงบสติอารมณ์เอาไว้ได้ และในทุกๆวันเขาก็ได้มานั่งเงียบๆอยู่ที่ทะเลสาบและเฝ้ารอให้ปลาในทะเลสาบมากินเหยื่อที่เขาได้ขว้างไป
ในช่วงระหว่างนี้ เว่ยเหยียนก็ได้ไปที่เขาหลิวหลีด้วยตัวเองเพื่อแจ้งกับซูเทียนอวี้ว่าตัวเขานั้นได้บรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพแล้ว และตัวเขาก็ได้ทราบจากซูเทียนอวี้ว่าหม่าเจานั้นได้ถูกเย่เย่ฆ่าตายแล้วในตอนที่เขาได้บรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพ
ดินแดนเทียนหนานในทุกวันนี้ ความรุ่งเรืองของสมาพันธ์โม่ไห่นั้นแทบจะฉุดไม่อยู่แล้ว นอกไปจากสำนักแก้วหลากสีคิดที่จะทำลายความรุ่งเรืองนี้และบุกเข้าโจมตีละแวกริมชายฝั่งทะเลแล้ว พวกเขาก็คงทำได้แค่มองดูสมาพันธ์โม่ไห่เติบโตอย่างต่อเนื่องและกลายเป็นขุมอำนาจอันดับต้นๆในดินแดน เทียนหนาน
ถึงแม้ว่าพลังปราณในอากาศในละแวกริมชายฝั่งทะเลนั้นจะหนาแน่นน้อยกว่าเทือกเขาหลิวหลีก็ตามที แต่การมีเมืองโบราณในละแวกริมชายทะเลจำนวน 10 กว่าเมืองและจำนวนยอดฝีมือมากกว่าสำนักแก้วหลากสีหลายเท่าตัว ถ้าหากว่าปล่อยให้สมาพันธ์โม่ไห่ มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปลี่ยนให้จำนวนกลายเป็นคุณภาพได้ และค่อยๆเพิ่มจำนวนยอดฝีมือจักรพรรดิเทพในสมาพันธ์โม่ไห่ขึ้นมา
ดังนั้นความกระวนกระวายในใจของซูเทียนอวี้นั้นจึงยากที่จะหาอะไรมาเทียบได้ หลังจากที่ได้รับการยืนยันว่าหม่าเจาตายแล้ว เขาก็ได้รีบปล่อยตัวศิษย์เอกของสำนักแก้วหลากสีฮัวลั่วเฉิงเป็นอิสระ และได้มอบข้าวของจำนวนมากให้กับฮัวลั่วเฉิงเพื่อให้เขานั้นบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพให้ได้
ไม่ว่าฮัวลั่วเฉิงนั้นจะจงรักภักดีมากขนาดไหนหลังจากที่ผ่านขาขึ้นและขาลงมา แต่ภายใต้ความน่าดึงดูดใจของการได้บรรลุเป็นจักรพรรดิเทพแล้ว เขาก็ยังคงแสดงความซาบซึ้งใจและกลับมาเชื่อฟังซูเทียนอวี้อีกหน
อย่างไรก็ตามความกระวนกระวายในใจของซูเทียนอวี้นั้นก็ยังไม่ได้หายไปอยู่ดี อย่างไรเสียศิษย์ของสำนักแก้วหลากสีที่ใกล้จะบรรลุจักรพรรดิเทพนั้นก็ยังมีน้อยมากอยู่ดี แม้ว่าเขาจะยอมทุ่มสิ่งของให้กับฮัวลั่วเฉิงเพื่อให้พวกฮัวลั่วเฉิงอย่างเต็มที่เพื่อให้บรรลุก็ตามที แต่โอกาสที่ศิษย์เหล่านี้จะสามารถบรรลุขึ้นจักรพรรดิเทพได้นั้นก็ยังไม่สูงมากอยู่ดี
ดังนั้นหลังจากที่ทราบว่าเว่ยเหยียนได้บรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพแล้ว ในใจที่ร้อนรุ่มของซูเทียนอวี้ก็ได้เหมือนมีฝนตกลงมา และมีความรู้สึกยินดีอย่างบอกไม่ถูก
ส่วนเว่ยเหยียนนั้นไม่ได้มีความรู้เสียใจใดๆหลังจากที่รู้ว่าหม่าเจาที่ได้บรรลุขึ้นจักรพรรดิเทพนั้นถูกเย่เย่สังหารแล้ว กลับกันจากในมุมมองของเว่ยเหยียนแล้ว เขารู้สึกยินดีที่เย่เย่ได้บรรลุขึ้นจักรพรรดิเทพและสังหารหม่าเจาได้มากกว่า เพราะเย่เย่นั้นได้กลายมาเป็นศัตรูที่คู่ควรของเขาแล้ว!
และอีกเหตุผลหนึ่ง จุดประสงค์ที่เว่ยเหยียนได้ลงมาจากเขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวนเพื่อหาโอกาสที่จะบรรลุนั้นก็ได้สำเร็จไปได้ด้วยดีแล้ว ดังนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจที่จะไม่เสียเวลาอีกต่อไป และคิดที่จะช่วยเหลือแก้วหลากสีเพื่อจัดการกับภัยที่มาจากเย่เย่แล้วจากนั้นก็เดินทางกลับเขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวน
ถึงแม้ว่าเว่ยเหยียนกับผู้อาวุโสเป่ยซานของ ตระกูลเหยียนนั้นจะเคยได้ตกลงกันก่อนหน้านี้ ว่าเว่ยเหยียนนั้นจะไม่ลงมือกับเย่เย่และสมาพันธ์โม่ไห่เป็นเวลา 1 ปี ไม่อย่างนั้นแล้วตระกูลเหยียนจะหันไปหาสำนักต่างไฟและกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายมาขยี้สำนักแก้วหลากสีของพวกเขา
แต่ในเวลานี้เว่ยเหยียนนั้นไม่จำเป็นต้องสนใจ ตระกูลเหยียนอีกต่อไปแล้ว นอกจากนี้ผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นก็ไม่ได้ปรากฏตัวเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว และได้ข่าวลือมาด้วยว่าผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นได้หายตัวไปแล้ว ทำให้เว่ยเหยียนนั้นไม่อยากที่จะทำตามข้อตกลงของทั้งสองฝ่ายอีกต่อไปแล้ว
เขาจึงได้บอกกับซูเทียนอวี้ว่าตัวเขานั้นจะขอเวลาสักครึ่งเดือนแล้วจะไปที่เทือกเขาเหยียนเป่ยเพื่อสืบหาความจริง ถ้าหากข่าวลือที่ว่าผู้อาวุโสเป่ยซานหายตัวไปนั้นตัวเขายืนยันได้แล้วว่าเป็นความจริง และคนในตระกูลเหยียนที่เหลือปฏิเสธที่จะสวามิภักดิ์ต่อสำนักแก้วหลากสีแล้ว เมื่อนั้นตระกูลเหยียนก็จะเป็นตระกูลแรกในดินแดนเทียนหนานที่จะไม่มีอยู่อีกต่อไป
เมื่อใดที่ตระกูลเหยียนถูกทำลาย ตัวเขาเว่ยเหยียนก็จะไม่มีอะไรขัดขวางอีกต่อไป แล้วก็จะถึงคราวที่เขาไปที่ละแวกริมชายฝั่งทะเลเพื่อทำลายสะพานโม่ไห่ และเมื่อถึงเวลานั้นแล้วชื่อเสียงของสำนักแก้วหลากสีก็จะโด่งดังขึ้นมา และขุมกำลังอื่นๆนอกจากสำนักต่างไฟก็จะมาขอสวามิภักดิ์ แล้วซูเทียนอวี้ก็จะอาศัยโอกาสนี้ก่อตั้งสมาพันธ์ต่อต้านสำนักต่างไฟขึ้นมาอีกหน และโอกาสที่คราวนี้จะสำเร็จก็จะมากขึ้นกว่าครั้งก่อนอีกด้วย
ดังนั้นซูเทียนอวี้จึงได้เห็นด้วยกับแผนการของเว่ยเหยียน และกล่าวกับเว่ยเหยียนว่าหากเขาต้องการอะไรแล้ว ทางสำนักแก้วหลากสีก็จะพยายามอย่างเต็มที่ในการช่วยเหลือภารกิจนี้ของเขา
แต่ทว่าเว่ยเหยียนก็ได้ส่ายหัวของเขาเบาๆและได้กลับไปที่ยอดเขาฮ่าวหรานเพื่อตกปลาที่ทะเลสาบต่อ และคิดที่จะใช้โอกาสนี้ฝึกฝนจิตใจของเขาต่อ
และอีกไม่กี่วันได้ผ่านไป เว่ยเหยียนที่แทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับก้อนหินจนเป็นรูปปั้นหินนั้น ก็ยังตกไม่ได้อะไรอยู่ดี
ภูเขาสีเขียวยังคงไม่แปรเปลี่ยนและน้ำสีฟ้าก็ยังคงไหลริน
น้ำตกที่อยู่ไม่ไกลจากเว่ยเหยียนนั้นก็มีความสูงมากกว่า 10 จั้ง และน้ำที่ไหลลงมานั้นไม่เพียงแต่จะส่งเสียงดังราวกับฟ้าผ่าแล้ว แต่ยังนำพาซึ่งชีวิตชีวามายังทะเลสาบแห่งนี้อีกด้วย
น้ำในทะเลสาบนั้นก็ทั้งเย็นและใส ราวกับเป็นไข่มุกที่ส่องประกายอยู่ในยอดเขาฮ่าวหราน ส่องประกายงดงามยิ่งกว่าดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เสียอีก ปลาพากันแหวกว่ายอยู่ในทะเลสาบ บางครั้งก็ว่ายผ่านพืชน้ำ บางครั้งก็กระโดดขึ้นมาเหนือทะเลสาบ ราวกับว่ามันมีความสุขที่ได้เกิดในยอดเขาฮ่าวหราน
เพราะความอุดมสมบูรณ์จากพลังปราณในอากาศนั้น ทำให้ปลาที่แหวกว่ายอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้นั้นไม่เพียงแต่จะแข็งแรงและทรงพลัง แต่ยังมีพลังปราณปล่อยออกมาจางๆจากในดวงตาของพวกมันอีกด้วย แต่ทว่าเป็นเพราะส่วนใหญ่นั้นเพิ่งจะเกิดมาได้ไม่นาน และไม่ได้รับพลังปราณในอากาศเป็นเวลานานๆ ทำให้พวกมันยังไม่ถึงขั้นที่จะกลายเป็นสัตว์อสูรได้ และยังคงเป็นแค่ปลาที่แหวกว่ายอย่างขยันขันแข็งเท่านั้น
แต่ทว่าปลาเหล่านี้นั้นก็ไม่ได้มีปัญญาเหล่านี้ก็ยังทำให้เว่ยเหยียนนั้นต้องรู้สึกผิดหวังขึ้นมา บางทีอาจเป็นเพราะตัวเขานั้นไม่มีความสามารถในการตกปลาก็ได้ ผ่านไป 9 วันแล้ว เว่ยเหยียนนั้นไม่เพียงแต่จะตกปลาไม่ได้สักตัว แม้แต่สายเบ็ดตกปลาที่เขาโยนลงไปในทะเลสาบหลายต่อหลายครั้งนั้นก็ยังไม่มีท่าทีที่จะขยับเลยแม้แต่น้อย
จนกระทั่งผ่านไปวันที่ 10 เอ็นตกปลาที่อ่อนนุ่มนั้นก็ได้ตึงขึ้นมาทันที โดยผ่านการสั่นไหวของเบ็ดตกปลาในมือของเขา เว่ยเหยียนก็รู้สึกได้ว่ามีปลาติดเบ็ดของเขาเข้าให้แล้ว
“มาแล้วๆ!”
เว่ยเหยียนนั้นไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเช่นนี้มาเป็นเวลานานแล้ว แม้แต่คนที่ปกติมีสีหน้าไม่ยิ้มแย้มก็ยังเผยสีหน้ายินดีออกมา
ลุกขึ้นยืน, ยกคันเบ็ดขึ้น และดึงสายเบ็ดขึ้นมา!
การกระทำทั้งหมดของเว่ยเหยียนนั้นเป็นไปอย่างรวดเดียว ราวกับนักตกปลามือฉมังที่ฝึกฝนมานานหลายปี แต่ความคาดหวังและความกระวนกระวายในดวงตาก็ยังแสดงให้เห็นว่าตัวเขาเป็นแค่มือใหม่อยู่ดี
แต่ทว่าเว่ยเหยียนนั้นไม่ได้สนใจรายละเอียดเหล่านั้นในเวลานี้ ในตอนแรกที่เขายกเบ็ดขึ้นมานั้น ดวงตาของเขาก็ได้จับจ้องไปที่ปลายสายเบ็ด และพบว่ามีปลาสีขาวเงินที่กำลังดิ้นรนอย่างเต็มที่พยายามดิ้นให้หลุดออกจากเบ็ดอย่างสุดกำลังของมัน
เว่ยเหยียนก็ได้ยื่นมือขวาออกไปด้วยความยินดี ในขณะที่เอียงสายเบ็ดเข้าหาตัว และคว้าปลาตัวน้อยที่เขาจับได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เขาตกปลามา
ตัวเขานั้นไม่ได้มีเจตนาที่จะเอามาต้มหรือย่างแต่อย่างใด ความอยากอาหารของเขานั้นไม่ได้จำเป็นสำหรับยอดฝีมือจักรพรรดิเทพแล้ว ตัวเขานั้นแค่อยากจะลิ้มรสของความสุขในการตกปลาเท่านั้น แล้วคิดที่จะปล่อยปลาตัวน้อยนั้นกลับไปหาพรรคพวกของมันที่กำลังว่ายอยู่ในทะเลสาบใสแห่งนี้
แต่ทว่าความอยากที่จะมีชีวิตรอดของปลาสีขาวเงินตัวนี้นั้นเหนือกว่าที่เว่ยเหยียนคาดเอาไว้
ในตอนที่เว่ยเหยียนกำลังจะจับปลานั้นเอง ปลาตัวน้อยนี้เพื่อที่จะกลับลงไปในทะเลสาบแล้วก็ไม่ลังเลที่จะสละเลือดของมันออกมา 3 ฉื่อ ซึ่งพอมันดิ้นหลุดออกจากเบ็ดได้ มันก็ได้กลับตัวกระโดดกลับลงไปในน้ำ
จ๋อม!
เสียงที่ดังขึ้นมานี้ราวกับเป็นเสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะ และประกาศว่าปลาน้อยตัวนั้นได้รับอิสรภาพแล้ว และน้ำที่สาดกระเซ็นออกมานี้ก็ราวกับเป็นดอกไม้ไฟฉลอง ยามที่สะท้อนเข้ากับแสงแดดดูแล้วช่างงดงามยิ่งนัก
แต่ทว่าใบหน้าของเว่ยเหยียนที่นั่งอยู่บนก้อนหินนั้นกลับมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ตัวเขานั้นยังคงค้างอยู่ท่าคว้าอากาศอยู่ และมีความปั่นป่วนปรากฏอยู่ในใจที่สงบนิ่งของเขา
ถึงแม้ว่าเว่ยเหยียนนั้นจะมีเป็นหมื่นหนทางที่จะทำให้ปลาตัวนั้นไม่สามารถกลับไปในทะเลสาบได้ แต่ในชั่วขณะที่ปลาตัวน้อยได้เป็นอิสระจากเบ็ดนั้นเอง เว่ยเหยียนก็ได้ฝืนยับยั้งอารมณ์ของเขา ราวกับนักตกปลาที่ยอมรับความล้มเหลวของตัวเองอย่างสงบ
เพราะเว่ยเหยียนรู้ดีอยู่แก่ใจว่าถ้าหากเขาใช้พลังยุทธ์ในการจับปลาแล้ว ความพยายามที่จะฝึกฝนจิตใจของเขาในเวลานี้นั้นก็จะสูญเปล่าทันที
แต่พอมองไปที่ปลาสีขาวเงินที่หลุดออกจากมือของเขาไปแล้วนั้น เว่ยเหยียนก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะสามารถฝึกฝนจิตใจได้ต่อแล้ว
หลังจากที่เงียบงันอยู่พักใหญ่ๆ เขาก็ได้ยิ้มออกมาเบาๆและในขณะที่กลับหลังหันก็ได้กระโดดลงจากก้อนหินแล้วโยนเบ็ดในมือของเขาลงไปในทะเลสาบที่อยู่ด้านหลังของเขา
ตุ้มซ่า!
เบ็ดตกปลายาว 1 จั้งพร้อมด้วยสายตกปลาและเบ็ดก็ได้วาดโค้งสวยงามในอากาศแล้วจากนั้นก็ได้ตกลงไปในน้ำเสียงดัง
“สงบจิตใจมันสำคัญจริงๆเหรอ? ขอเพียงมีความแข็งแกร่งมากพอแล้ว ไม่ว่าโลกจะกว้างใหญ่แค่ไหนก็จะสามารถคว้ามาได้ แล้วทำไมตัวเราถึงต้องมาเสียเวลาทำอะไรที่นี่ด้วยนะ?”
เว่ยเหยียนก็ได้ส่ายหัวของตัวเองและยักไหล่ในขณะที่เดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง ราวกับว่าตัวเขานั้นไม่สนใจที่จะฝึกจิตใจของตัวเองอีกแล้ว
ตูม!
ทันทีที่เขาพูดจบ เบ็ดตกปลาที่เว่ยเหยียนได้ถ่ายพลังปราณลงไปนั้นก็ได้เกิดการระเบิดขึ้นในทะเลสาบ
แล้วทันใดนั้นเองก็ได้เกิดเป็นพายุคลั่งในทะเลสาบ และปลาจำนวนนับไม่ถ้วนก็ได้ตายลงด้วยแรงระเบิดนั้น เกิดเป็นเลือดสีแดงฉานย้อมทะเลสาบนั้นจนกลายเป็นสีแดง ราวกับไข่มุกที่เปื้อนฝุ่น แล้วยอดเขาฮ่าวหรานที่เคยเงียบสงบนั้นก็ได้นองเลือดขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ทว่าเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเว่ยเหยียนที่เดินจากไปไกลแล้ว แล้วตัวเขานั้นก็ได้หายไปจากยอดเขา ฮ่าวหราน แล้วชื่อเสียงของเว่ยเหยียนก็จะเป็นที่รู้กันไปทั่วทั้งดินแดนเทียนหนานอีกครั้ง
ที่เมืองหลงเจียงนั้น เย่เย่ที่หมดสติเป็นเวลานานก็ได้พื้นขึ้นมา
ตัวเขาที่สลบไปร่วมครึ่งเดือนอันเนื่องจากอาการบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้กับหม่าเจานั้น โชคยังดีที่ร่างกายของเขานั้นได้เปลี่ยนไปเพราะพลังวิญญาณมังกรในร่างของเขามาเป็นเวลานานแล้ว ทำให้พลังการฟื้นตัวของเขานั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าสัตว์อสูรบางตัวเสียอีก ดังนั้นอาการบาดเจ็บของเย่เย่ก็ได้หายโดยสมบูรณ์แล้วในระหว่างที่กำลังหมดสติอยู่นี้
หลังจากที่ฟื้นขึ้นมา เย่เย่ก็ได้หยิบเอายารักษาออกมา หลังจากที่พลังของยาเริ่มออกฤทธิ์ อาการบาดเจ็บของเขานั้นก็ได้หายสนิทแล้ว
สิ่งที่ทำให้เขาตกใจจริงๆก็คือการเปลี่ยนแปลงในละแวกริมชายฝั่งทะเลหลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมา
ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะรู้อยู่นานแล้วว่าการที่เขาได้บรรลุขึ้นจักรพรรดิเทพนั้นจะต้องส่งผลกระทบอย่างมากกับสถานการณ์ในละแวกริมชายฝั่งทะเล แต่เขานั้นก็ไม่คาดคิดว่าเมืองโบราณเกือบครึ่งหนึ่งต่างก็ได้พากันมาเข้าร่วมกับสมาพันธ์โม่ไห่ และทำให้สมาพันธ์โม่ไห่ของพวกเขานั้นยึดครองอาณาเขตแม่น้ำและภูเขาครึ่งหนึ่งในละแวกริมชายฝั่งทะเลนี้
ถึงแม้ว่าจะมีเมืองโบราณที่เหลือนั้นจะได้รีบก่อตั้งสมาพันธ์พึ่งตนเองขึ้นมาก็ตามที แต่ใครที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลก็จะเห็นว่าสมาพันธ์โม่ไห่ซึ่งมียอดฝีมือจักรพรรดิเทพอยู่นั้นไม่ได้เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย เหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงไปบุกโจมตีสมาพันธ์พึ่งตนเองและรวมละแวกริมชายฝั่งให้เป็นหนึ่งเดียวนั้น ก็เพราะว่าสมาพันธ์โม่ไห่นั้นยังจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในการปรับสภาพความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นมาอย่างกะทันหันนี้เสียก่อน ไม่อย่างนั้นสมาพันธ์พึ่งตนเองนั้นก็คงจะไม่มีชีวิตรอดอยู่ถึงทุกวันนี้แน่
และอีกเหตุผลคือท่าทีของสำนักแก้วหลากสีนี้ได้ทำให้ เย่เย่นั้นรู้สึกระแวงขึ้นมา เพราะจากท่าทีปกติของสำนักแก้วหลากสีนั้น ต่อให้พวกเขาไม่ส่งยอดฝีมือมาที่สมาพันธ์โม่ไห่เพื่อสู้กับเขา พวกเขาก็ย่อมที่จะไม่ปล่อยให้สมาพันธ์โม่ไห่ได้เติบโตอย่างแน่นอน
แต่ในเวลานี้สำนักแก้วหลากสีนั้นกลับเลือกที่จะอยู่อย่างเงียบๆอย่างน่ากลัวนี้ ทำให้เย่เย่อดคิดไม่ได้ว่านี่อาจจะเป็นท้องฟ้าสงบก่อนพายุเข้ามากกว่าที่สำนักแก้วหลากสีจะกลัวเย่เย่แน่ๆ