ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 438 คำต้องห้าม
บทที่ 438
คำต้องห้าม
จักรพรรดิเทพผู้ยิ่งใหญ่สิ้นชีพแล้ว!
อดีตศิษย์เอกของสำนักแก้วหลากสีที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งดินแดนเทียนหนานนั้น ได้ถูกเย่เย่สังหารในตอนที่กำลังจะกลับมายิ่งใหญ่ จะบอกว่าไม่เสียดายเลยก็คงไม่ได้!
แม้แต่เย่เย่เองที่เป็นคนที่สังหารหม่าเจาก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจกับเรื่องนี้นัก ในตอนที่เขายืนยันได้ว่าหม่าเจาตายแล้วนั้น ตัวเขาเองก็หมดสติลงไปกองกับพื้น โชคยังดีที่พวก ซ่างกวานอวี่กับจงเจิ้งหมิงที่ตามมาทีหลังนั้นได้มาพาตัวเขากลับไปที่เมืองหลงเจียงและการต่อสู้นี้ก็ได้จบลงด้วยชัยชนะของเย่เย่
ส่วนหม่าเจาที่ตาย ร่างของเขาก็ได้ถูกนำมาฝังโดยพวกซ่างกวานอวี่!
เมืองหลงเจียงนั้นเสียหายอย่างหนักจากสงครามนี้ ดังนั้นหลังจากที่ซ่างกวานอวี่กับจงเจิ้งหมิงจัดการกับเย่เย่ที่หมดสติเรียบร้อยแล้ว สิ่งแรกที่พวกเขาทำก็คือระดมผู้คนในเมืองหลงเจียงทั้งหมดช่วยกันซ่อมแซมเมืองหลังผ่านศึก
หลังจากที่ผ่านศึกครั้งนี้ ผู้คนในเมืองหลงเจียงก็ได้เลิกต่อต้านเย่เย่กับพรรคพวกดั่งแต่ก่อนแล้ว ขุมอำนาจน้อยใหญ่ที่เคยก่อการกบฏในเมืองหลงเจียงมาเป็นเวลานานนั้นก็ได้สูญเสียผู้ให้การช่วยเหลือไปหลังจากที่ 4 ตระกูลใหญ่กับพวกจูหลงคงถูกทำลายจนเหี้ยนแล้ว
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทุกขุมอำนาจในเมืองหลงเจียงที่ยอมรับการปกครองของสมาพันธ์โม่ไห่จากก้นบึ้งของหัวใจก็ตามที แต่อย่างน้อยต่อหน้าก็ไม่มีตระกูลหรือสำนักไหนในเมืองหลงเจียงที่กล้าต่อต้านสมาพันธ์โม่ไห่แล้ว
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าพวกเขานั้นจะได้รับการสนับสนุนจากผู้คนส่วนใหญ่ในเมืองหลงเจียงให้ทำต่อหรือไม่ก็ตามที เย่เย่ที่บรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพแล้วนั้น ก็เพียงพอที่จะดับความคิดที่จะก่อการกบฏของพวกเขาจนสิ้นแล้ว
ใช้เวลาไม่นานนักที่ข่าวเรื่องของการต่อสู้ระหว่างเย่เย่กับหม่าเจานั้นก็ได้แพร่ออกจากเมืองหลงเจียงไปยังทั่วทั้งดินแดนเทียนหนาน และไม่น่าแปลกใจที่เหล่าขุมอำนาจใหญ่ๆนั้นจะตกใจกับข่าวนี้จนไม่สามารถตั้งสติได้สักพักใหญ่ๆ
แม้แต่พวกซ่างกวานจ้งที่อยู่ในเมืองโม่ไห่เองต่างก็ไม่อยากจะเชื่อในตอนแรกที่ได้รับทราบข่าวนี้ แล้วยิ่งขุมอำนาจใหญ่ๆอย่างสำนักต่างไฟกับสำนักแก้วหลากสียิ่งไม่ต้องพูดถึง
แต่ทว่าหลังจากทำการยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายหน ก็ยืนยันความจริงได้ว่าเย่เย่นั้นได้บรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพ, สังหารหม่าเจา และทำการยึดเมืองหลงเจียงกลับคืนมาเรียบร้อยแล้ว พวกซ่างกวานจ้งนั้นต่างก็ตื่นเต้นกันอย่างไม่รู้จบในใจของพวกเขา และทั่วทั้งสมาพันธ์โม่ไห่ก็ได้ตกอยู่ในความยินดีปรีดา ซึ่งซ่างกวานจ้งก็ได้พาคนไปที่เมืองหลงเจียงด้วยตัวเอง เพื่อหมายที่จะแสดงความยินดีกับเย่เย่อย่างซึ่งๆหน้า
ส่วนเหล่าเจ้าเมืองโบราณในละแวกริมชายฝั่งทะเลนี้ หลังจากที่ได้ทราบข่าวว่าเย่เย่ได้บรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพแล้ว พวกเขาต่างก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความตื่นตระหนกขึ้นมาในใจของพวกเขา
เพราะสมาพันธ์โม่ไห่นั้นถือว่าเป็นขุมอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในละแวกริมชายฝั่งทะเลอยู่แล้ว และในเวลานี้เย่เย่ก็ได้บรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพอีก ก็แทบจะสรุปได้แล้วว่าสมาพันธ์โม่ไห่นั้นจะสามารถรวมทั้งละแวกริมชายฝั่งทะเลได้อย่างแน่นอนแล้ว เจ้าเมืองโบราณบางคนที่ยังพยายามที่จะก่อตั้งสมาพันธ์ขึ้นมาต่อต้านสมาพันธ์โม่ไห่นั้นก็ได้ล้มเลิกความคิดนี้หลังจากที่ได้รับทราบข่าวนี้ และรีบพาคนไปแสดงความยินดีกับสมาพันธ์โม่ไห่อย่างเปิดเผยทันที
ในบรรดาเมืองโบราณหลายสิบเมืองในละแวกริมชายฝั่งทะเลนั้น เกือบครึ่งหนึ่งก็ได้มาแสดงความยินดีที่จะสวามิภักดิ์เข้าร่วมกับสมาพันธ์โม่ไห่ในวันต่อมา และเพราะเหตุนี้ทำให้ชื่อเสียงของสมาพันธ์โม่ไห่นั้นได้ดังก้องไปทั่วทั้งดินแดนเทียนหนานอีกหน จนเกือบจะไล่ตามขุมอำนาจใหญ่ๆอย่างสำนักแก้วหลากสีหรือตระกูลเหยียนได้แล้ว
อีกทางด้านหนึ่ง เซี่ยงฮว๋า, เสิ่นจ้งหมิงและคนอื่นๆจากสำนักต่างไฟที่เป็นขุมอำนาจอันดับหนึ่งในดินแดนเทียนหนานนั้นต่างก็ไม่สามารถสงบใจลงได้พักใหญ่ๆ หลังจากที่ทราบข่าวว่า เย่เย่นั้นได้บรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพและสังหารหม่าเจาลงแล้ว อย่างไรก็ตามตั้งแต่แรกแล้วที่เรื่องนี้ทางสำนักต่างไฟนั้นก็ไม่คิดที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย พวกเขาจึงไม่ได้มีการตอบสนองอะไรหลังจากที่ได้รับทราบข่าวนี้
แต่ที่น่าตกใจสำหรับโลกภายนอกคือ สำนักแก้วหลากสีของหม่าเจานั้นกลับไม่มีท่าทีอะไรหลังจากที่ทราบข่าวว่าหม่าเจานั้นถูกฆ่าเลย มีบางคนที่คิดว่าสำนักแก้วหลากสีนั้นคงได้สั่นคลอนอย่างมากแน่ และยิ่งถูกสำนักต่างไฟเป็นเหมือนดั่งภูเขาไท่ซานกดหัวอีก ซึ่งในเวลาต่อมาพอขุมอำนาจรองลงมาอย่างตระกูลเหยียนกับสำนักพันพิสุทธิ์เองต่างก็สั่นคลอนไม่แพ้กัน และไม่ต้องการที่จะสร้างความเกลียดชังให้กับสมาพันธ์โม่ไห่มากขึ้นไปอีก
โดยเฉพาะในเวลานี้ที่เย่เย่ได้บรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพด้วยแล้ว การที่สมาพันธ์โม่ไห่จะรวมละแวกริมชายฝั่งทะเลได้หรือไม่นั้นก็แทบจะสรุปผลได้แล้ว หากว่าสำนักแก้วหลากสียังคงคิดที่จะสู้กับสมาพันธ์โม่ไห่ต่อ ความเสียหายที่พวกเขาจะต้องจ่ายคงได้หนักหนากว่าที่พวกเขาจะรับได้แน่
แต่ทว่าก็ยังมีบางคนที่คิดว่าสำนักแก้วหลากสีนั้นคงจะแค่ถอยหลังเพื่อไปตั้งหลักเท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้วพวกเขานั้นอาจจะแอบซ่องสุมเตรียมการใหญ่อยู่ก็ได้ อย่างไรเสียสำนักแก้วหลากสีทุกวันนี้ นอกจากซูเทียนอวี้กับยอดฝีมือจักรพรรดิเทพคนอื่นๆในสำนักแล้ว พวกเขาก็ยังมีผู้มาจุติอย่างเว่ยเหยียนที่มาจากเขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวนอยู่ด้วยอีก ดังนั้นไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขานั้นจะกลัวสมาพันธ์โม่ไห่
ถึงแม้ว่าศักยภาพของเย่เย่นั้นจะน่ากลัวมาก แต่หากเทียบกับเว่ยเหยียนของเขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวนแล้ว ทุกคนก็ยังคิดว่าเว่ยเหยียนนั้นก็ยังเป็นอันตรายอย่างมากอยู่ดี ถึงแม้ว่าทั้งคู่นั้นต่างก็เป็นผู้มาจุติทั้งคู่ แต่เว่ยเหยียนนั้นยังมีเขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวนคอยหนุนหลังเขาอยู่ และเป็นเบื้องหลังที่ยากที่เย่เย่จะสามารถทัดเทียมได้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้เชื่ออย่างหนักแน่นมากว่าวันที่รุ่งเรืองของสมาพันธ์โม่ไห่นั้นคงอยู่ไปได้ไม่ตลอดแน่
แต่เพราะเหตุนี้ เมื่อรู้ว่าเย่เย่นั้นได้บรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพก็ไม่มีขุมกำลังไหนในละแวกริมชายฝั่งทะเลที่กล้าสู้กับสมาพันธ์โม่ไห่อีก แต่ก็ยังมีเหล่าเจ้าเมืองโบราณในละแวกริมชายฝั่งทะเลอีกครึ่งหนึ่งที่ยังมีความคิดหวังเสี่ยงโชคอยู่ ที่คิดว่าสำนักแก้วหลากสีนั้นจะต้องเปิดศึกและทำลายสมาพันธ์โม่ไห่แน่ แล้วเมื่อนั้นสมาพันธ์โม่ไห่ก็จะต้องหายไปจากโลกนี้
อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้ก็ยังไม่สามารถที่จะหยุดยั้งความรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่องของสมาพันธ์โม่ไห่ได้
เกือบตลอดทั้งวันหลังจากที่ซ่างกวานจ้งได้กลับมาที่เมืองโม่ไห่นั้น เหล่าเจ้าเมืองโบราณที่ต้องการที่จะเข้าร่วมกับสมาพันธ์โม่ไห่นั้นต่างก็ได้พาคนมาที่เมืองโม่ไห่ด้วยตัวเองอย่างไม่คาดสาย และได้แสดงความสวามิภักดิ์ต่อซ่างกวานจ้ง
หลังจากที่ซ่างกวานจ้งได้ยอมรับการสวามิภักดิ์ของพวกเขาอย่างเอาจริงเอาจังแล้ว สมาพันธ์โม่ไห่ก็ได้ขยายอาณาเขตเพิ่มมากขึ้นเป็น 2 เท่าในทันที และมีพื้นที่เป็นครึ่งหนึ่งของละแวกริมชายฝั่งทะเล
ถ้าหากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวของสมาพันธ์โม่ไห่นั้นจำเป็นต้องใช้เวลาแล้ว ต่อให้เย่เย่ไม่ ออกโรง แล้วซ่างกวานจ้งนำพายอดฝีมือราชันย์เทพที่อยู่ภายใต้การสั่งการของเขาออกไปลุยเอง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถเข้ายึดครองเมืองโบราณที่เหลือในละแวกริมชายฝั่งทะเลได้
ภายใต้แรงกดดันอันมหาศาลนี้ทำให้เหล่าเจ้าเมืองโบราณที่เหลือต่างก็เริ่มพากันละทิ้งอคติทั้งหมดของตัวเอง และร่วมกันก่อตั้งสมาพันธ์พึ่งตนเองขึ้นมาด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง โดยมีจุดประสงค์ก็เพื่อเป็นอิสระต่อแรงกดดันของสมาพันธ์โม่ไห่ และจะไม่ยอมสวามิภักดิ์เข้าร่วมกับสมาพันธ์โม่ไห่ง่ายๆ
และเมื่อใดที่ทั้งสองสมาพันธ์สู้กัน การต่อสู้เพื่อรวมละแวกริมชายฝั่งทะเลก็จะเกิดขึ้น
แต่ทว่าทั้งสองฝ่ายนั้นเห็นว่ายังเร็วเกินไปที่จะขยายอาณาเขตของตัวเองในเวลานี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ยังจำเป็นต้องใช้เวลาในการรวมอาณาเขตกันอยู่นี้จึงยังไม่มีการต่อสู้ใดๆเกิดขึ้น โดยเฉพาะทางสมาพันธ์พึ่งตนเองที่เห็นว่าทางสมาพันธ์โม่ไห่นั้นมียอดฝีมือจักรพรรดิเทพอยู่ด้วยแล้ว พวกเขาจึงไม่กล้าที่จะเข้าไปยุ่งกับอีกฝ่ายก่อน และทุ่มกำลังทั้งหมดที่ตัวเองมีไปกับการพัฒนาตัวเอง
และในขณะเดียวกันที่เขาหลิวหลีที่สำนักแก้วหลากสีตั้งอยู่นั้น ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในเวลานี้
โดยไม่ทราบว่าเป็นคำสั่งของซูเทียนอวี้หรือเหตุผลกลใด แม้ว่าเหล่าศิษย์สำนักแก้วหลากสีนั้นจะทราบข่าวเรื่องการต่อสู้ระหว่างเย่เย่กับหม่าเจาแล้ว แต่พวกเขานั้นต่างก็ไม่กล้าที่จะพูดชื่อของทั้ง 2 คนนี้ในสำนัก
และไม่จำเป็นต้องบอกเลยว่าเย่เย่ได้กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตของสำนักแก้วหลากสีไปแล้วนับตั้งแต่ที่เขาได้เข้าร่วมกับสมาพันธ์โม่ไห่และกระทบกระทั่งกับสำนักแก้วหลากสีหลายต่อหลายครั้ง และมุมมองของสำนักแก้วหลากสีที่มีต่อเย่เย่นั้นก็ได้เปลี่ยนไป ซึ่งเย่เย่นั้นแม้จะอ่อนแอกว่า แต่ทุกครั้งที่สำนักแก้วหลากสีนั้นลงมือกับเย่เย่ก็ได้จบลงด้วยความล้มเหลวเสมอ
ไม่เพียงแค่นั้น แต่ทุกครั้งที่เย่เย่สามารถรอดจากหายนะมาได้ ตัวเขาก็จะแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้สำนักแก้วหลากสีนั้นต้องเสียซ้ำเสียซ้อน และมองเห็นเย่เย่เป็นเหมือนหนามยอกอกของพวกเขา
ถ้าหากว่าเรื่องนี้มันเพิ่งเกิดก็ยังพอมีหนทางที่จะสมานฉันท์กันระหว่างสำนักแก้วหลากสีกับเย่เย่ได้ แต่ในเวลานี้ทั้งสองฝ่ายคงได้จบลงแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่หรือไปเท่านั้น เป็นเพราะพวกเขาประมาทเย่เย่ในตอนแรก และคิดจะเอาเย่เย่มาเป็นตัวอย่างเชือดไก่ให้ลิงดูและจบลงด้วยความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำอีก ถ้าหากสำนักแก้วหลากสีนั้นเกิดเลือกที่จะสมานฉันท์กับ เย่เย่ในเวลานี้เข้า ก็คงจะไม่มีใครที่ชื่นชมว่าพวกเขาใจกว้างแน่ และมีแต่จะคิดว่าสำนักแก้วหลากสีนั้นตกต่ำและยากที่จะฟื้นคืนชื่อเสียงให้กลับมาดังเดิมได้
ซูเทียนอวี้นั้นรู้สึกคิดผิดอย่างสุดๆในใจของเขา ถ้าหากว่าตัวเขานั้นให้ความสนใจกับเย่เย่มากกว่านี้และสมานฉันท์กับ เย่เย่ตั้งแต่แรก พวกเขานั้นก็จะไม่เพียงแต่ทำให้คนภายนอกชื่นชมในความใจกว้างของพวกเขาแล้ว แต่ยังสามารถลดศัตรูตัวฉกาจของสำนักแก้วหลากสีไปได้ด้วย และคงจะไม่มาเป็นอย่างในทุกวันนี้แน่
แต่ในเวลานี้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ดำเนินไปแล้วภายใต้การจับตามองของทั่วทั้งดินแดนเทียนหนาน สำนักแก้วหลากสีจึงทำได้แค่เตรียมตัวเตรียมใจที่จะสู้กับเย่เย่จนถึงที่สุดเท่านั้น และทำให้โลกภายนอกนั้นเชื่อว่าสำนักแก้วหลากสีนั้นยังคงเป็นสำนักแก้วหลากสีเดิมอยู่ ต่อให้แรงกดดันจากสำนักต่างไฟนั้นจะเพิ่มขึ้น แต่สำนักแก้วหลากสีก็ไม่ยอมที่จะก้มหัวที่ทระนงของพวกเขาให้กับสมาพันธ์โม่ไห่แน่
แต่ทว่านอกจากเย่เย่แล้ว อดีตศิษย์เอกสำนักแก้วหลากสีอย่างหม่าเจานั้นก็กลายเป็นคำพูดต้องห้ามในสำนักแก้วหลากสีในเวลานี้ ซึ่งทำให้ผู้คนนั้นรู้สึกอึดอัดใจนัก
เหล่าศิษย์ทั่วๆไปในสำนักแก้วหลากสีนั้นต่างก็ไม่รู้ถึงอดีตของหม่าเจาโดยละเอียดนัก และด้วยความสงสัยก็ได้มีคนที่ตามสืบจากข่าวลือของหม่าเจา แต่ทว่าพวกเขานั้นกลับไม่คิดว่าเรื่องเช่นนี้ที่ควรจะเป็นเรื่องธรรมดาๆในสำนักแก้วหลากสี จะกลับโดนลงโทษอย่างสาหัสจากเหล่าคนในระดับสูงของสำนัก
เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งที่คำว่าหม่าเจานั้นได้หายไปจากปากของเหล่าศิษย์สำนักแก้วหลากสี และเป็นเหมือนจุดด่างพร้อยที่ไม่สามารถกำจัดออกจากประวัติศาสตร์ของสำนักแก้วหลากสีได้ และห้ามไม่ให้ใครพูดถึงเรื่องนี้ในสำนักแก้วหลากสีอีก
แต่ก็ยังมีศิษย์ในสำนักไม่กี่คนที่ให้ความสนใจกับหม่าเจา และรู้สึกเสียดายในการกลับมายิ่งใหญ่ของหม่าเจาที่ล่มสลายไปอย่างรวดเร็ว
ศิษย์เองของสำนักที่เคยคาดว่าจะได้เป็นเจ้าสำนักคนถัดไปนั้น ที่ชนเข้ากับกำแพงอย่างจังหลังจากที่ไปอยู่ที่เขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวน พอหลังจากที่กลับมาที่สำนักก็ได้หายหน้าไปเป็นเวลานานมาก แต่จู่ๆก็สามารถบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพได้ในระหว่างที่ทำภารกิจ และกลายเป็นที่สนใจของทั่วทั้งสำนักแก้วหลากสีอีกครั้ง
แต่ทว่าเพราะหม่าเจานั้นได้บรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพได้ด้วยการใช้วิชาต้องห้าม การกลับมาของเขานั้นจึงได้กลายเป็นที่วิจารณ์อย่างมาก แต่โชคยังดีที่สำนักแก้วหลากสีนั้นกำลังต้องการคนอย่างมาก และเจ้าสำนักซูเทียนอวี้นั้นก็ไม่ได้ลงโทษหม่าเจาเพราะเรื่องนี้ และได้มีผู้ที่ติดตามหม่าเจาจำนวนนับไม่ถ้วนในสำนักแก้วหลากสีขึ้นมา
แต่น่าเสียดายที่เวลาดีๆเช่นนี้คงอยู่ได้ไม่นานนัก แม้ว่าหม่าเจานั้นจะพยายามอย่างมากที่จะบรรลุขึ้นจักรพรรดิเทพด้วยวิชาต้องห้ามก็ตามที แต่เขาก็ถูกเย่เย่จัดการและกลายเป็นจักรพรรดิเทพคนแรกในสำนักแก้วหลากสีที่ตายด้วยน้ำมือของ เย่เย่ไป ซึ่งขาขึ้นและลงนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนยากที่เหล่าอาวุโสในสำนักแก้วหลากสีนั้นจะเห็นหม่าเจาเป็นความภาคภูมิใจของสำนัก และให้เหล่าศิษย์ในสำนักนั้นเรียนรู้จากเขา
ภายใต้การจัดการของเหล่าอาวุโสในสำนักแก้วหลากสี หม่าเจาก็ได้ค่อยๆกลายเป็นคำต้องห้ามและไม่ถูกพูดถึงในสำนักอีก โดยเฉพาะต่อหน้าเจ้าสำนักซูเทียนอวี้ ใครก็ตามที่พูดถึงหม่าเจาก็จะแทบหมดโอกาสที่จะได้เติบใหญ่ในสำนักแก้วหลากสีได้อีก