ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 429 ความผันเปลี่ยนของผู้คน
บทที่ 429
ความผันเปลี่ยนของผู้คน
“ท่านเจ้าสำนัก การฝึกวิชาต้องห้ามมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะครับ! และหม่าเจาก็น่าจะเรียนวิชานี้มาจากเขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวนเป็นแน่ ถ้าหากทางเขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวนรู้เรื่องนี้เข้า สำนักแก้วหลากสีของพวกเราคงได้ถูกพาดโยงไปถึงหม่าเจาแน่ ดังนั้นเรื่องที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือการคุมตัวหม่าเจากลับมา เพื่อกันไม่ให้พวกเรามีความบาดหมางกันกับทางเขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวนนะครับ!”
เมื่อเห็นว่าซูเทียนอวี้นั้นยังคงนิ่งเฉย ฮัวลั่วเฉิงก็ได้พลันรู้สึกไม่ดีขึ้นมาในใจ จึงได้เดินขึ้นหน้ามาและกล่าวเสนอความคิดเห็นแก่ซูเทียนอวี้อย่างแรงกล้า และพยายามเกลี้ยกล่อม ซูเทียนอวี้ให้ยังอยู่ฝ่ายเดียวกับเขา
ซึ่งหลังจากที่กล่าวจบ ซูเทียนอวี้ก็ได้ลืมตาขึ้นมา เขาได้เงยหน้าขึ้นมาแล้วมองไปยังฮัวลั่วเฉิงที่อยู่ตรงหน้าเขา จากนั้นสีหน้าของเขาก็ได้เย็นชาขึ้นมา และกล่าวกับฮัวลั่วเฉิงด้วยน้ำเสียงที่เฉียบคม “ก่อนที่จะจัดการกับหม่าเจาน่ะ มีเรื่องอื่นที่เจ้าควรจะบอกข้าไม่ใช่หรือไง?”
ฮัวลั่วเฉิงก็ได้ผงะไปชั่วขณะหนึ่ง และรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็ยังทำเป็นสงบนิ่งอยู่และถาม ซูเทียนอวี้กลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่เข้าใจ “ท่านอาจารย์ ข้าไม่เข้าใจว่าท่านหมายถึงอะไร?”
ซูเทียนอวี้ก็ได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ได้จ้องไปที่ฮัวลั่วเฉิงแล้วกล่าว “เจ้าคิดเหรอว่าข้าจะไม่รู้น่ะว่าพวกพานโส่วน่ะได้ภักดีต่อเจ้าเป็นเวลานานแล้ว? และในครั้งนี้พวกพานโส่วก็ได้ตามหม่าเจาไปที่เมืองหลงเจียงด้วย แล้วเจ้ายังจะกล้าพูดเหรอว่าพวกเขาไม่ได้ทำตามคำสั่งของเจ้า เข้าไปขัดขวางไม่ให้หม่าเจาทำภารกิจได้สำเร็จน่ะ?”
เมื่อฮัวลั่วเฉิงได้ยินเช่นนี้แล้ว ก็ได้มีชั้นเหงื่อผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขาในทันที
ตัวเขาพอจะเดาถึงท่าทีของซูเทียนอวี่ที่มีต่อการฝึกวิชาต้องห้ามของหม่าเจาได้ ดังนั้นเขาจึงได้ลงไปคุกเข่าแล้วขอขมา ซูเทียนอวี้ “ท่านอาจารย์ข้าผิดไปแล้ว! ข้าขอให้ท่านอาจารย์ได้โปรดเห็นแก่ข้าที่อุทิศตนให้กับสำนักและยกโทษให้ข้าด้วย!”
แต่ทว่าซูเทียนอวี้นั้นก็ไม่ได้หันมามองเขา
“เข้ามาพาตัวเขาออกไปแล้วขังเขาเอาไว้ แล้วรอจนกว่าหม่าเจาจะกลับมาที่สำนักแล้วค่อยตัดสินว่าจะทำเช่นไรกับเขา!”
หลังจากที่กล่าวกับยอดฝีมือของสำนักแก้วหลากสีที่อยู่ข้างนอกเสร็จ ซูเทียนอวี้ก็ได้หลับตาลงและคิดที่จะตั้งใจฝึกวิชาต่อ
“น้อมรับคำสั่ง!”
แล้ว 2 ยอดฝีมือจากสำนักแก้วหลากสีที่ยืนรออยู่ที่ข้างนอกก็ได้เข้ามาข้างในและจับตัวฮัวลั่วเฉิงเอาไว้ และคิดที่จะลากพาตัวเขาออกไป
แล้วสิ่งที่ฮัวลั่วเฉิงได้หวั่นเอาไว้ก็ได้เป็นจริงขึ้นมาแล้ว และใบหน้าของเขาก็ได้เต็มไปด้วยความกระวนกระวายขึ้นมาทันที
แล้วเขาก็ได้รีบสลัดออกจากการจับกุมของยอดฝีมือทั้งสองคนในทันที แล้วก็ได้ลงไปคุกเข่าตรงหน้าของซูเทียนอวี้อีกหนและขอร้องทั้งน้ำมูกและน้ำตา “ท่านเจ้าสำนัก ข้าสำนึกผิดแล้ว! และไม่กล้าที่จะไม่เคารพศิษย์พี่หม่าเจาอีก ขอให้ท่านเจ้าสำนักได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย! ข้าสัญญาว่าตัวข้านั้นจะขอก้าวตามการชี้นำไปสู่อนาคตของศิษย์พี่หม่าเจา ขอให้ท่านเจ้าสำนักเมตตาด้วย!”
แต่ทว่าซูเทียนอวี้นั้นก็ยังคงไม่ลืมตาของเขาขึ้นมา
เมื่อเห็นเช่นนี้ยอดฝีมือของสำนักแก้วหลากสีทั้งสองคนนั้นที่ยืนอยู่ด้านหลังของฮัวลั่วเฉิงก็ได้เดินเข้ามาคุมตัวฮัวลั่วเฉิงอีกครั้งและมาพาตัวเขาออกไปทันที
“ลั่วเฉิงพลาดแล้วก็คือพลาดเลย! ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องยอมรับชะตากรรมของเจ้าแล้ว!”
ในขณะที่ฮัวลั่วเฉิงกำลังถูกลากตัวออกจากห้องไปนั้น ซูเทียนอวี้ก็ได้เอ่ยขึ้นมาอย่างช้าๆ
แต่หลังจากที่ฮัวลั่วเฉิงได้ยินเสียงที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆของซูเทียนอวี้แล้ว ก็ได้มีสีหน้าสิ้นหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาทันที และเขาก็ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะร้องขอความเมตตาอีก
เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่หม่าเจาได้บรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพแล้ว ซูเทียนอวี้ก็ไม่รอช้าที่จะเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อฮัวลั่วเฉิง และกลายเป็นฝั่งเดียวกันกับหม่าเจาทันที
ถึงแม้ว่าการที่หม่าเจาฝึกวิชาลับนั้นจะเป็นเรื่องที่อันตราย แต่ภายใต้สถานการณ์ความวุ่นวายในดินแดน เทียนหนานแล้ว ไม่มีขุมอำนาจใหญ่ๆที่ไหนที่กล้าจะแข็งขืนกับสำนักแก้วหลากสี อย่างมากพวกเขาก็ทำได้แค่ประณามเท่านั้นและเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะเปิดศึกกับสำนักแก้วหลากสีในเรื่องที่พวกเขาไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรด้วย
ส่วนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวนนั้น เพราะว่าอยู่ห่างไกลออกไปซูเทียนอวี้จึงได้ไม่กังวลถึงความผิดของพวกเขามากนัก ขอเพียงเขาสามารถทำให้เว่ยเหยียนที่อยู่ที่สำนักแก้วหลากสีนั้นเข้าใจได้ ตัวเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลเรื่องของเขาศักดิ์สิทธิ์ ไท่ยวนอีก ดังนั้นหลังจากที่ลองชั่งน้ำหนักระหว่างหม่าเจากับฮัวลั่วเฉิงแล้ว ซูเทียนอวี้ก็ตัดสินใจได้ในทันที และก่อนที่ หม่าเจาจะกลับมาที่สำนัก ตัวเขาก็ได้ทำการกำจัดเสี้ยนหนามให้หม่าเจาเรียบร้อย เพื่อแสดงให้เห็นถึงการยอมรับของสำนักแก้วหลากสีและความสำคัญของหม่าเจา
โลกนั้นมีทั้งร้อนและเย็น ผู้คนนั้นก็มีอุ่นและหนาว ทุกหนแห่งในสำนักแก้วหลากสีก็ได้เปลี่ยนหลังจากการกลับมายิ่งใหญ่ของหม่าเจา และการร่วงหล่นของฮัวลั่วเฉิงนั้นก็แค่เพิ่งจะเริ่มเท่านั้น มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องไปทั่วทั้งสำนักแก้วหลากสีในช่วงหลายวันนี้ ซึ่งเจ้าสำนักซูเทียนอวี้ก็ได้ทำเป็นหลับหูหลับตากับเรื่องนี้ และเพื่อที่แผ้วถางทางให้ยอดฝีมือที่แท้จริงของสำนักแก้วหลากสีแล้ว เขานั้นไม่สนใจเรื่องของชื่อเสียงและกฎเกณฑ์ทั้งนั้น สนใจแค่ความเป็นจริงและผลประโยชน์เท่านั้น
อีกทางด้านหลังหลังจากที่ยึดครองเมืองหลงเจียงมาจากเย่เย่ได้นั้น หม่าเจาก็ได้พักอยู่ที่อยู่เจ้าเมืองหลงเจียง ส่วนคนของจวนเจ้าเมืองหลงเจียงก่อนหน้าอย่างพวกอวี๋เซี่ยลี่นั้น ในเวลานี้ถูกขังอยู่ในจวนเจ้าเมืองและกลายเป็นนักโทษของเจ้าเมืองหลงเจียงคนใหม่
และที่เจ็บแสบยิ่งกว่าคือ คนที่เอาพวกเขามาขังนั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นพวกจูหลงคงที่ครั้งหนึ่งเคยถูกพวกอวี๋เซี่ยลี่นำมาขังเอาไว้ หลังจากที่เข้าร่วมกับหม่าเจาสำเร็จแล้ว พวกจูหลงคงก็ได้กลับมายิ่งใหญ่กลายเป็นขุมอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลงเจียงไป ซึ่งเมื่อเทียบกับฐานะของพวกเขาในเมืองหลงเจียงแต่ก่อนแล้ว พวกจูหลงคงที่ในเวลานี้สามารถปักหลักในจวนเจ้าเมืองได้แล้วนั้น ก็ได้รุ่งเรืองมากขึ้นไปอีกระดับ พวกเขาจึงได้เต็มไปด้วยความซาบซึ้งต่อหม่าเจา และยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนในความใจกว้างของหม่าเจา
ส่วนศิษย์ทั้ง 2 คน อย่างพานโส่วและจ้าวเสียงที่เดินทางมาจากสำนักแก้วหลากสีพร้อมกับหม่าเจานั้น ในเวลานี้พวกเขานั้นโดดเดี่ยวอย่างชัดเจน และไม่มีที่ให้พวกเขาอยู่ในจวนเจ้าเมืองด้วย
เดิมทีพวกเขาคิดว่าหม่าเจานั้นคงจะแพ้ให้กับเย่เย่อย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แม้แต่จะเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ และคิดที่จะกลับไปหาฮัวลั่วเฉิงที่สำนักแก้วหลากสีทันทีที่ผลการประลองออกมา แต่ไม่คาดคิดว่าไม่เพียงแต่เขาจะเอาชนะเย่เย่ได้ แต่ยังบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพได้ด้วยวิชาต้องห้ามอีกด้วย ทำให้ฐานะของเขาในสำนักแก้วหลากสีนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาจนทิ้งฮัวลั่วเฉิงไปไกล
ถึงแม้ว่าพานโส่วกับจ้าวเสียงนั้นจะหลบหนีออกมาเพราะการที่พวกเขาหายไปจากงานประลองยุทธ์ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้มีความยินดีใดๆอยู่ในใจของพวกเขาในเวลานี้
เหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาที่เป็นคนโปรดของฮัวลั่วเฉิงนั้นถึงได้กลายมาเป็นตัวเลือกของภารกิจนี้นั้น ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเพราะพวกเขาไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าพานโส่วกับจ้าวเสียงนั้นจะไม่รู้ถึงข่าวเรื่องที่ฮัวลั่วเฉิงถูกจับ แต่ทั้งสองคนก็รู้ดีถึงการแข่งขันที่โหดร้ายและไร้ความปรานีในสำนักแก้วหลากสีดี ดังนั้นพวกเขาจึงได้พอที่จะเดาถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสำนักแก้วหลากสีหลังจากการกลับมายิ่งใหญ่ของหม่าเจา
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพัก ทั้ง 2 คนก็ได้ตัดสินใจที่จะแปรพักตร์และกลับไปที่เมืองจวนเจ้าเมืองเพื่อยอมรับผิดและยอมสวามิภักดิ์ต่อหม่าเจา
แต่ทว่าเมื่อทั้งสองได้เข้าไปที่จวนเจ้าเมืองเมื่อวานนี้ คนของจวนเจ้าเมืองนั้นไม่สนใจพวกเขาเลย แม้ว่าพวกจูหลงคงนั้นจะรู้ดีว่าพานโส่วกับจ้าวเสียงนั้นเป็นศิษย์สำนักแก้วหลากสีก็ตามที แต่พวกเขาก็ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความซาบซึ้งใดๆให้เห็นเลย
ซึ่งพานโส่วกับจ้าวเสียงนั้นก็ได้รู้สึกโมโหอย่างสุดๆ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะแสดงความโกรธใดๆออกมาและรอหม่าเจาเรียกพบพวกเขาอย่างเงียบๆ ซึ่งทั้งสองคนก็ได้เตรียมตัวถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้วว่าอาจจะไม่ได้พบหม่าเจาเลยก็ได้ แต่ในยามเช้าตรู่ ก็ได้มีคนมาแจ้งว่าหม่าเจาได้เรียกให้พวกเขาเข้าไปพบทันทีที่พวกเขาตื่น
พากโส่วกับจ้าวเสียงก็ได้รีบมุ่งหน้าไปที่จวนเจ้าเมืองทันที ซึ่งพวกเขาก็พบหม่าเจาที่กำลังนั่งรอพวกเขาอยู่ในห้องอย่างเงียบๆ ซึ่งทั้งสองคนก็รู้สึกยินดีอย่างสุดๆและรีบเข้าไปคุกเข่าตรงหน้าหม่าเจาและกล่าวกับเขาอย่างยินดี “ขอแสดงความยินดีกับศิษย์พี่หม่าเจาด้วยที่บรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพได้ และกลายมาเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักแก้วหลากสี! พวกเราเชื่อว่าสำนักแก้วหลากสีของพวกเราคงจะได้ทะยานขึ้นเหนือฟ้าภายใต้การนำของศิษย์พี่หม่าเจา และกลายเป็นดั่งแสงที่สาดส่องไปทั่วทั้งดินแดนเทียนหนาน!”
ท่าทีการยอมสวามิภักดิ์ของทั้งสองคนนั้นได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน และพวกเขานั้นก็เชื่อด้วยว่าเป็นไปไม่ได้ที่หม่าเจาจะไม่รู้สึกถึงมันด้วย ดังนั้นหลังจากที่พวกเขากล่าวจบก็ได้พากันเงยหน้าขึ้นมามองหม่าเจาด้วยความคาดหวัง โดยหวังว่าหม่าเจาจะให้คำตอบที่พวกเขาคาดหวังเอาไว้
หม่าเจาที่นั่งอยู่ที่บัลลังก์ในห้องโถงใหญ่นั้น ก็ได้จ้องไปที่พวกพานโส่ว และรู้สึกชื่นชมในการแล่นเรือไปตามลมของพวกเขาทั้งสองคน แต่ทว่าหม่าเจานั้นไม่ใช่คนโง่หรือคนดีแต่อย่างใด ดังนั้นหลังจากที่ได้ยินที่ทั้งสองคนกล่าว หม่าเจาก็ได้กล่าวกับทั้งคู่ “ถ้าหากฮัวลั่วเฉิงมาเห็นพวกเจ้าในเวลานี้ เขาก็คงจะรู้สึกคิดผิดที่ส่งพวกเจามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาอย่างแน่นอน! ชะตากรรมของเจ้านายตัวเองเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย แต่กลับเริ่มแว้งกัดเจ้านายตัวเองเสียแล้ว พวกเจ้าช่างเป็นหมาที่โหดเหี้ยมจริงๆ!”
เมื่อพานโส่วกับจ้าวเสียงได้ยินหม่าเจากล่าว สีหน้าของพวกเขาก็ได้ซีดเผือดขึ้นมาทันที
พวกเขานั้นเชื่ออย่างหนักแน่นว่าหม่าเจานั้นคงจะหมดโอกาสที่จะกลับมายิ่งใหญ่ได้แล้ว พวกเขาจึงได้ไม่เคยแสดงความนับถือหม่าเจาเลยทั้งต่อหน้าและลับหลัง ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ให้เหล่ายอดฝีมือจากทั้ง 4 ตระกูลใหญ่มาคอยเฝ้าบ้านที่หม่าเจาพักอยู่ก็ดี ซึ่งทั้ง 2 คนก็ไม่ได้อธิบายเหตุผลอะไรให้หม่าเจาฟังเลย และต่อมาภายหลังทั้งการประชุมร่วมกับตระกูลเซียวและในงานประลองยุทธ์นั้น ทั้งสองคนก็ไม่ได้มาเข้าร่วมโดยที่ไม่บอกเหตุผลอีกด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องไม่ยากนักที่หม่าเจานั้นจะเดาได้ว่าทั้งสองคนนั้นเป็นคนที่ฮัวลั่วเฉิงส่งมา
และเหตุผลที่ว่าทำไมทั้ง 2 คนถึงได้กล้ามาสวามิภักดิ์ต่อหน้าหม่าเจาภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ก็ไม่มีอะไรอื่นเลยนอกจากอาศัยโอกาสในยามที่ขาดแคลนคนของหม่าเจา และหวังว่าจะช่วยบรรเทาความสัมพันธ์ที่บาดหมางของพวกเขากับหม่าเจา ซึ่งหากว่าทำได้สำเร็จฐานะของพวกเขาในสำนักแก้วหลากสีก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอน เรียกได้ว่าเสี่ยงมากแต่ก็คุ้มมาก
แต่ทว่าสิ่งที่หม่าเจาพูดเมื่อสักครู่นั้นได้ทำลายความหวังของพวกเขาทั้งคู่ เพราะพวกเขาได้ยินจากน้ำเสียงของหม่าเจาและพบว่าหม่าเจานั้นดูแคลนพวกเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ แม้ว่าหม่าเจาในเวลานี้จะต้องการคนอย่างมาก แต่เขาก็ไม่มีความคิดที่จะเอาทั้งสองคนนี้มาอยู่ใต้อาณัติของเขาอย่างแน่นอน
แต่ทว่าพานโส่วนั้นก็ไม่ได้ยอมแพ้ง่ายๆ หลังจากที่ หม่าเจาได้แสดงท่าทีของเขาออกมา เขาก็ได้กล่าวกับหม่าเจาภายใต้แรงกดดัน “เรียนศิษย์พี่หม่าเจา ก่อนหน้านี้พวกเรานั้นหน้ามืดตาบอดและหลงเชื่อในคำพูดหวานหูของฮัวลั่วเฉิง พวกเราขอสาบานว่าจากนี้ไปพวกเราจะขอทำตามการชี้นำของศิษย์พี่หม่าเจา และจะไม่แปรเปลี่ยนเป็นสองอีก ขอได้โปรดให้ศิษย์พี่หม่าเจาช่วยเข้าใจด้วย!”
“ขอศิษย์พี่หม่าเจาได้โปรดช่วยเข้าใจด้วย!”
หลังจากที่พานโส่วกล่าวจบ จ้าวเสียงเองก็ได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อขอโอกาสให้ตัวเอง
ทั้งคู่นั้นต่างก็มองไปที่หม่าเจาด้วยสายตาที่จริงใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ราวกับว่าทุกคำพูดของพวกเขานั้นออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจของพวกเขา และคิดว่าหม่าเจานั้นจะเชื่อในสิ่งที่พวกเขาพูดเมื่อสักครู่ อย่างไรเสียจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้วพวกเขานั้นแทบจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหวังพึ่งหม่าเจาเท่านั้น
แต่ทว่าหม่าเจาก็ยังส่ายหัวให้กับทั้ง 2 คน และกล่าวตอบทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงที่หนาวเย็นสุดขั้ว “พลาดแล้วก็คือพลาดเลย พวกเจ้าจงสำนึกผิดในทางเลือกของตัวเองเสียเถอะ!”
ในขณะที่พูดเช่นนี้หม่าเจาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงซูเทียนอวี้เจ้าสำนักแก้วหลากสี ถึงแม้ว่าตัวเขานั้นจะต้องทนทุกข์อย่างมากกับการเมินเฉยต่อซูเทียนอวี้ แต่หม่าเจาก็พบว่าตัวเขานั้นเริ่มเหมือนกับซูเทียนอวี้มากขึ้นเรื่อยๆ
พานโส่วกับจ้าวเสียงนั้นไม่รู้ว่าเวลานี้หม่าเจานั้นกำลังคิดอะไรอยู่ หลังจากทั้งสองคนนั้นผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ทั้งสองคนก็ยังมีสีหน้าไม่ยอมแพ้ง่ายๆ พานโส่วก็ได้ลุกขึ้นมาแล้วถามหม่าเจาอย่างสงสัย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมศิษย์พี่หม่าเจาถึงได้เรียกพวกเรามาพบด้วย?” ท่านให้ความหวังกับพวกเราแล้วก็ทำให้พวกเราผิดหวังเช่นนี้ หรือว่าศิษย์พี่หม่าเจาจงใจทำเช่นนี้เพื่อให้พวกเราต้องอับอายอย่างนั้นเหรอ?”
จ้าวเสียงเองก็ได้ลุกขึ้นมาเช่นกันแล้วมองไปที่หม่าเจาด้วยความสงสัยและไม่พอใจ ราวกับว่าตัวเขานั้นต้องการคำอธิบาย
“ไม่เลย พวกเจ้าเข้าใจข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ใช่คนทำอะไรน่าเบื่อขนาดนั้นหรอก! ข้าให้พวกเจ้ามาที่นี่ในเวลานี้ก็เพื่อจะขอยืมอะไรบางอย่างจากพวกเจ้าเท่านั้น!”
หลังจากที่หม่าเจาได้ยินเช่นนั้น เขาก็ได้รีบหันหน้ามามองทั้ง 2 คน ด้วยสายตาที่สงบนิ่งในดวงตาของเขา
“อะไรรึ?”
แล้วพานโส่วกับจ้าวเสียงนั้นก็ได้สงสัยมากขึ้นไปอีก พวกเขานั้นคิดไม่ออกว่าหม่าเจานั้นต้องการสิ่งใดจากพวกเขา ทำให้สีหน้าของพวกเขานั้นเกิดความงุนงง
“แน่นอนว่าเป็นหัวของพวกเจ้ายังไงล่ะ!”
หม่าเจาก็ได้ตอบทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม และในขณะที่ทั้งสองคนไม่ทันได้ตั้งตัว หม่าเจาก็ได้โจมตีใส่ในทันที แล้วในชั่วพริบตาทั้งคู่ก็ได้กลายเป็นศพไร้หัวและล้มลงกับพื้นทันที