ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 417 ร่วมมือกัน
บทที่ 417
ร่วมมือกัน
“จุดประสงค์ที่แท้จริงของเจ้าคืออะไร? ถึงแม้ว่าพวกเราจะไร้ซึ่งหนทาง แต่ถ้าเจาคิดว่าจะสยบพวกเราได้ง่ายๆแล้วล่ะ เกรงว่าเจ้าคงจะต้องผิดหวังแล้ว!”
โฉวว่านจ้งเป็นคนแรกที่ถามเย่เย่ขึ้นมาและหวังให้เย่เย่บอกกับพวกเขาถึงเจตนาที่แท้จริงของเขา
เพราะความเกลียดชังระหว่างเมืองหลงเจียงกับ เมืองโม่ไห่นั้นฝังลึกมาก ดังนั้นต่อให้พวกเขาต้องร่วงหล่นมาถึงจุดนี้ พวกเขาก็ยังไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อเย่เย่ง่ายๆ
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว เย่เย่ก็ได้รู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญของโฉวว่านจ้งและพรรคพวก แต่ทว่าที่เขาเดินทางมาที่ฐานใต้ดินในเวลานี้ เขาก็ไม่ได้คิดที่จะสยบพวกจูหลงคงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นหลังจากที่ได้ยินคำถามของโฉวว่านจ้งแล้วเขาจึงได้ตอบออกไปตรงๆ “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะสำคัญตัวเองผิดไปนะ! พวกเจ้าไม่มียอดฝีมือราชันย์เทพสักคน แล้วข้าจะสยบพวกเจ้าไปเพื่ออะไร?” เหตุผลที่ว่าทำไมข้าถึงได้มาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเจ้าในวันนี้ก็เพื่อจะมาบอกอะไรบางอย่างพวกเจ้าเท่านั้น ข้าเย่เย่จะกำจัดพวกเจ้าเมื่อไรก็ได้ แต่ถ้าหากพวกเจ้ายังอยากที่จะมีชีวิตรอดอยู่ในเมืองหลงเจียงแล้วล่ะก็ ร่วมมือกับข้าอย่างเชื่อฟังและให้ข้าใช้ประโยชน์ที่เหลือเพียงน้อยนิดของพวกเจ้าจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งพวกเจ้าลงไปอยู่ร่วมกับพวกคนในชุดดำในนรกเดี๋ยวนี้แหละ!”
ทันทีที่เขาพูดจบ เย่เย่ก็ได้ปลดปล่อยพลังกดดันในระดับสูงสุดราชันย์เทพออกมา ทันใดนั้นทุกคนในฐานใต้ดินนั้นนอกจากเย่เย่ต่างก็โคลงเคลงราวกับว่าพวกเขาจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ และมีใบหน้าที่ซีดเผือดมาก
ถึงแม้ว่าจูหยวนคงนั้นจะมีวรยุทธ์อยู่ในระดับสูงสุดจอมเทพ แต่ต่อหน้าเย่เย่แล้ว เขาก็ยังรู้สึกราวกับกำลังล่องเรืออยู่ตามลำพังในทะเลคลั่ง และจะถูกทะเลคลั่งจมลงไปได้ทุกเมื่อ ทำให้เขาต้องมองไปที่เย่เย่ด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว
“เจ้าจะให้พวกเราร่วมมืออย่างไร? ขอเพียงให้โอกาสรอดกับพวกเราได้ พวกเราก็ยินดีที่จะทำตามข้อตกลงของเจ้า!”
จูหลงคงนั้นรู้ดีว่าคำพูดของเย่เย่เมื่อสักครู่นั้นไม่ได้แฝงด้วยคำขู่แต่อย่างใด ถ้าหากว่าพวกเขาตอบปฏิเสธไป เกรงว่าในวันนี้คงไม่มีใครในฐานใต้ดินนี้ได้มีชีวิตรอดออกไปแน่ เขาจึงได้รีบแสดงท่าทีต่อเย่เย่อย่างรวดเร็ว
ไม่เพียงแค่นั้นแต่หยางหลิ่วจือ, โฉวว่านจ้งและคนอื่นๆต่างก็พากันผงกหัวให้กับเย่เย่ และมีความอ้อนวอนอยู่ในสายตาของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นถึงประมุขพรรคบูชาเมฆหรือประธานสมาคมสามดาบ แต่ในเวลานี้พวกเขานั้นต่างก็ไม่มีความกล้าจะสู้กับเย่เย่แล้ว จะบอกว่าเป็นปลานอนรอบนเขียงให้เย่เย่เชือดนั้นก็แทบจะไม่เกินจริงเลย ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ทำตามจูหลงคงและยอมโอนอ่อนต่อเย่เย่อย่างเชื่อฟัง”
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วเย่เย่ก็ได้ผงกหัวและเก็บพลังกดดันของเขากลับไป แล้วก็ได้มองไปที่พวกจูหลงคงแล้วกล่าว “ในอีก 1 วันหลังจากนี้ เซียวอวิ่นจากตระกูลเซียวจะขี่แรดเขามังกรจากป่าดินแดงมาที่บ้านสกุลเซียวด้วยแผ่นป้ายสัตว์อสูร ข้าจึงอยากให้พวกเขาไปขัดขวางเซียวอวิ่นในคืนวันนั้น หลังจากนั้นก็ใช้แผ่นป้ายสัตว์อสูรพาแรดเขามังกรกลับมาที่จวนเจ้าเมือง ถ้าหากพวกเจ้าทำได้ ข้าก็จะยกโทษให้พวกเจ้า และให้ขุมอำนาจของพวกเจ้ากลับคืนสู่ผืนดินเมืองหลงเจียง ส่วนเรื่องที่ว่าพวกเจ้าจะสามารถกลับมาผงาดภายใต้แรงกดดันของ 4 ตระกูลใหญ่ได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าเองแล้ว”
หลังจากที่เย่เย่พูดจบเขาก็ได้จับจ้องไปที่จูหลงคงและคนอื่นๆอย่างใกล้ชิด ดวงตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความแน่วแน่และจริงใจ ซึ่งทำให้เหล่าคนในฐานใต้ดินนั้นพากันตื่นเต้นขึ้นมาทันที และมองไปที่เย่เย่ด้วยความซาบซึ้งใจ
มีเพียงจูหลงคงกับหยางหลิ่วจือที่ยังคงเงียบกริบ ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะไม่รู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของเย่เย่ แต่ที่แน่ๆแผนการของเย่เย่นี้จะต้องส่งผลกระทบอย่างมากกับอนาคตของเมืองหลงเจียงแน่ ซึ่งอาจจะทำให้โอกาสที่เมืองหลงเจียงจะปลดแอดจากการควบคุมของสมาพันธ์โม่ไห่ได้นั้นหมดไปก็เป็นได้
แต่ในเวลานี้จูหลงคงและพรรคพวกนั้นไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว ถ้าหากพวกเขาปฏิเสธก็คงจะถูกเย่เย่สังหารตายคาที่ ดังนั้นหลังจากที่จูหลงคง, หยางหลิ่วจือและคนอื่นๆได้หันมามองหน้ากันแล้ว พวกเจาต่างก็ได้ตอบกับเย่เย่อย่างจริงจัง “ได้! ข้าหวังว่าท่านจะไม่คืนคำพูดของตัวเอง!”
ถึงแม้ว่าจูหลงคงกับพรรคพวกนั้นจะตื่นเต้นกับการที่ เย่เย่จะปล่อยให้พวกเขากลับมายิ่งใหญ่ในหลงเจียง แต่พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าเย่เย่นั้นต้องการที่จะนำพาขุมอำนาจของพวกเขาเข้าห้ำหั่นกันไม่รู้จบกับ 4 ตระกูลใหญ่
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นพวกเขาหรือ 4 ตระกูลใหญ่จะชนะ พวกเขาต่างก็จะสูญเสียกำลังพลไปอย่างสาหัสเป็นแน่ และที่แย่ยิ่งกว่าก็คือการต่อสู้ภายในของขุมอำนาจใหญ่ทั้งสองในเมืองหลงเจียงจะสั่นคลอนความคิดส่วนรวมของผู้คนในเมืองหลงเจียงที่ต่อต้านสมาพันธ์โม่ไห่ได้ หากว่าเย่เย่ใช้โอกาสนี้เอาชนะใจของผู้คนในเมืองหลงเจียงได้แล้ว เป้าหมายของพวกเขาที่จะขับไล่สมาพันธ์โม่ไห่ก็คงจะหายไปเป็นแน่
แต่ทว่าแม้แต่จูหลงคงเองก็ยังพบว่าตัวเขานั้นไม่สามารถที่จะปฏิเสธข้อเสนอนี้ของเย่เย่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกด้วยซ้ำในเวลานี้ อีกทั้งความชิงชังของพวกเขาที่มีต่อ 4 ตระกูลใหญ่นั้นก็ได้เกินจุดที่จะกลับมาประสานกันได้แล้วด้วย ขอเพียงมีโอกาส จูหลงคงกับพรรคพวกก็จะหันเป้าของพวกเขาไปหา 4 ตระกูลใหญ่อย่างแน่นอน เพื่อล้างแค้นให้กับครอบครัว, ญาติพี่น้องและมิตรสหายที่ถูก 4 ตระกูลใหญ่ฆ่าตาย ดังนั้นขอเสนอนี้ของเย่เย่จึงได้เป็นที่สนใจของพวกเขาในระดับหนึ่ง และอีกอย่างคือพวกจูหลงคงเองก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะปฏิเสธเย่เย่ด้วย
เมื่อเห็นดวงตาที่หม่นหมองของจูหลงคงกับพรรคพวกแล้ว เย่เย่ก็ได้ยิ้มและผงกหัวให้กับพวกเขา จากนั้นก็ได้หันหลังกลับและออกจากฐานใต้ดินที่ที่จูหลงคงกับพรรคพวกซ่อนตัวอยู่
ซึ่งก่อนที่เย่เย่จะมาเจรจากับพวกจูหลงคงนั้น เย่เย่ก็ยังสงสัยอยู่ว่าพวกจูหลงคงนั้นจะถือโอกาสนี้หนีออกไปจากเมืองหลงเจียงแล้วไม่กลับมาอีกเลยหรือไม่ แต่หลังจากที่ยืนยันความเกลียดชังที่มีต่อ 4 ตระกูลใหญ่ของพวกจูหลงคงได้แล้ว เย่เย่ก็ได้เชื่อว่าพวกเขานั้นจะต้องยอมทำตามข้อตกลงของเขาเป็นแน่ และหลังจากเสร็จงานที่เย่เย่มอบหมายให้แล้ว พวกเขาก็จะอยู่ที่เมืองหลงเจียงต่อเพื่อสู้กับ 4 ตระกูลใหญ่ให้ถึงที่สุด
ถึงต่อให้ไม่เป็นไปตามที่เย่เย่คิด พวกจูหลงคงก็ไม่สามารถที่จะหนีไปจากเงื้อมมือของเขาได้อยู่ดี เพราะต่อให้พวก จูหลงคงหลอกเย่เย่และคิดที่จะอาศัยโอกาสนี้หนีออกไปจากเมืองหลงเจียงแล้ว จางเทียนอวี่ที่คอยจับตาดูสถานที่แห่งนี้ภายใต้คำสั่งของเย่เย่นั้น ก็จะแจ้งบอกให้เขารู้ทันที
เมื่อถึงเวลานั้นแม้ว่าจะเสี่ยงที่จะต้องเผยไพ่ในมือ แต่จางเทียนอวี่ก็จะไปแทนที่พวกจูหลงคงไปที่ป่าดินแดงตามคำสั่งของเย่เย่แทน ส่วนพวกจูหลงคงที่หนีออกจากเมืองหลงเจียงไปนั้น ต่อให้เย่เย่ไม่ฆ่าพวกเขาด้วยตัวเอง เขาก็จะแจ้งตำแหน่งของพวกเขาให้กับ 4 ตระกูลใหญ่ แล้วเมืองถึงเวลานั้นทั้งสองฝ่ายก็จะเข้าเปิดศึกตัดสินกัน แล้วเย่เย่ก็จะเป็นชาวประมงคอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทีหลังอย่างง่ายดาย และผลก็จะออกมาดีสำหรับเขาเหมือนเดิม
วันต่อมาเย่เย่ก็ยังทำเป็นเหมือนปกติ และทุ่มเทให้กับการนำพาผู้คนในจวนเจ้าเมืองเตรียมงานประลองยุทธ์ต่อ
และเพื่อที่จะทำความเข้าใจกับมุมมองของเหล่าคนในเมืองหลงเจียงที่มีต่องานประลองยุทธ์อย่างแท้จริงแล้ว เย่เย่ก็ได้ลงไปเดินเยี่ยมชมตามถนนและตรอกซอกซอยต่างๆใน เมืองหลงเจียงด้วยตัวเอง และรับฟังความคิดเห็นของผู้คนในเมืองเกี่ยวกับงานประลองยุทธ์ในร้านอาหารยอดนิยมในเมืองหลงเจียง
เมื่อเย่เย่ได้มาหยุดอยู่ยังร้านอาหารที่มีชื่อว่าถักทอเมืองแล้ว ก็พบชายหนุ่มในชุดสีขาวที่ดึงดูดความสนใจของเย่เย่เข้าพอดี
ชายหนุ่มชุดขาวผู้นี้มีชื่อว่าสิงอี้ และเขาก็มีวรยุทธ์อยู่ในระดับจอมเทพ เขานั้นมีท่าทางและการพูดการจาที่ไม่ธรรมดา เพียงมองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าเขานั้นจะต้องมาจากตระกูลใหญ่ แต่สิงอี้นั้นไม่ได้มาจากเมืองหลงเจียงแต่อย่างใด และเหตุผลที่ทำไมเขามาที่นี่นั้นก็เพราะเขารู้สึกสนใจในตัวเย่เย่ จึงได้คิดที่จะมาที่เมืองหลงเจียงเพื่อเข้าร่วมกับเย่เย่
ในตอนที่สิงอี้กำลังทานอาหารอยู่ในร้านอาหารนั้น เขาก็ได้ยินใครบางคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆกำลังพูดประชดประชันงานประลองยุทธ์ที่กำลังจะจัดขึ้นในจวนเจ้าเมือง จึงอดไม่ได้ที่จะโต้แย้งกลับไป ซึ่งทั้งสองฝ่ายก็ได้เถียงกันไปเถียงกันมา จนเกิดเสียงดังไปทั่วร้านอาหารอยู่สักพักหนึ่ง
เย่เย่ก็เป็นแค่คนนอกแต่ดันมาสะเออะจะจัดงานประลองยุทธ์ขึ้นในเมืองหลงเจียงของพวกเรา คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? คงมีคนในเมืองหลงเจียงไม่มากหรอกที่จะเข้าร่วมงานนี้ ในครั้งนี้ เย่เย่คงได้ทำตัวเองขายหน้าแล้ว!
ชายร่างใหญ่ไว้หนวดที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆสิงอี้นั้นจะเห็นได้ว่าตัวเขานั้นไม่ชอบเย่เย่อย่างชัดเจน และเรียกเย่เย่ด้วยชื่อจริงด้วยซ้ำ และการที่พูดดูถูกงานประลองยุทธ์อย่างเปิดเผยเช่นนี้ก็ได้ทำให้เขาได้รับเสียงปรบมือจากในร้านอาหารทันที
เพราะว่าความบาดหมางระหว่างเมืองหลงเจียงกับเมืองโม่ไห่นั้นได้ฝังรากลึกมาเป็นเวลานานมากแล้ว แม้ว่าเย่เย่ในเวลานี้จะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งดินแดนเทียนหนาน แต่ผู้คนในเมืองหลงเจียงก็ยังคงดูถูกเขาอยู่ดี และเพราะว่าเย่เย่นั้นได้กลายมาเป็นเจ้าเมืองหลงเจียงแล้ว ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็เก็บเอาเรื่องนี้ไว้ในใจ ถึงแม้ว่าจะมีไม่กี่คนที่กล้าพูดออกมาอย่างชายร่างใหญ่ไว้หนวดคนนี้ ดังนั้นคนอื่นๆในร้านอาหารจึงต่างก็เห็นด้วยกับมุมมองของเขาและได้ปรบมือให้กับเขาหลังจากที่ได้ยิน
สิงอี้ที่เห็นว่าใบหน้าของเขาค่อนข้างน่ารังเกียจแล้ว เขาก็ได้หันหน้าไปจ้องที่ชายร่างใหญ่ไว้หนวดและกล่าวออกไปอย่างไม่พอใจ “ในโลกนี้ผู้ที่แข็งแกร่งคือผู้ที่น่านับถือ และงานประลองยุทธ์นั้นก็เป็นที่สนใจของผู้คนเสมอไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม และจะต้องมียอดฝีมือมาเข้าร่วมงานนี้อย่างมากมายแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นงานประลองยุทธ์นี้ก็ไม่ได้จำกัดภูมิลำเนาด้วย ดังนั้นผู้คนจากนอกเมืองหลงเจียงจะต้องมารวมกันเมื่อทราบข่าวนี้ แล้วทำไมพวกเจ้าถึงยังจะว่าเย่เย่ทำตัวเองขายขี้หน้าอีกเหรอ?”
ในฐานะที่เป็นผู้สนับสนุนของเย่เย่แล้วสิงอี้ก็ยังเห็นเย่เย่เป็นแบบอย่างของตัวเองอีกด้วย ในเวลานี้เขาได้เดินทางมาที่เมืองหลงเจียงภายใต้การปกครองของเย่เย่นั้น โดยที่ไม่ได้รู้ถึงสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงได้แสดงความไม่พอใจกับชายร่างใหญ่ไว้หนวดกับคนอื่นๆไป
ในร้านอาหารนั้น ทุกคนก็เห็นได้ว่าสิงอี้นั้นไม่ใช่คนจากเมืองหลงเจียง ซึ่งเมื่อผู้คนมากมายที่รังเกียจเย่เย่นั้นได้ยินที่สิงอี้กล่าว พวกเขาต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะที่น่ารังเกียจออกมา ซึ่งได้ทำให้สีหน้าของสิงอี้ไม่ดีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมและเกือบที่จะหกคว่ำใส่พวกเขา
“ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะที่นี่คือเมืองหลงเจียงน่ะสิ! และเพราะเย่เย่อยากที่จะเป็นเจ้าเมืองหลงเจียงนัก พวกเราชาวเมืองหลงเจียงจึงได้ปล่อยให้เขาได้เห็นความเป็นจริงชัดๆยังไงล่ะ ต่อให้เย่เย่มีความแข็งแกร่งอย่างที่ไม่มีใครในเมืองหลงเจียงเทียบได้ แต่เขาก็ไม่สามารถบังคับให้ผู้คนในเมืองหลงเจียงเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ของเขาได้หรอก! หรือถ้าหากเขาทำเช่นนั้นจริงๆ มันก็ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าขายขี้หน้านั้น!”
ชายร่างใหญ่ไว้หนวดนั้นก็ได้แสดงให้เห็นถึงความเห็นของเขาอย่างชัดเจนมาก หลังจากที่ตอบคำถามของสิงอี้อย่างประชดประชันแล้ว เขาก็ได้รับเสียงเฮและปรบมือจากคนในร้านอาหาร แม้แต่เจ้าของร้านถักทอเมืองเองก็ยังเห็นด้วยกับชายร่างใหญ่ไว้หนวด และไม่ได้ห้ามเขาหลังจากที่โต้เถียงกันแต่อย่างใด กลับกันคนอื่นๆในร้านต่างก็แสดงความสนับสนุนชายร่างใหญ่ไว้หนวด
สิงอี้ก็ได้จ้องมองไปที่ผู้คนในร้านอาหารที่หัวเราะเยาะเขาอย่างเย็นชา และยังไม่มีเจตนาที่จะยอมแพ้แต่อย่างใด และเพื่อที่จะเปลี่ยนท่าทีของผู้คนที่มีต่องานประลองยุทธ์แล้ว เขาก็ได้พูดกับชายร่างใหญ่ไว้หนวดและคนอื่นๆอย่างใจเย็น
“ดูเหมือนเจ้าจะเชื่อว่าคนในเมืองหลงเจียงจะเป็นอย่างที่เจ้าพูดสินะ? แต่ข้ากลับได้ยินมาว่าตระกูลใหญ่ทั้ง 4 ต่างก็ช่วยกันเตรียมงานประลองยุทธ์นี้กันอย่างเต็มที่นะ ต่อให้เจ้าไม่ไว้หน้าทางจวนเจ้าเมือง แต่เจ้าไม่ไว้หน้า 4 ตระกูลใหญ่ได้อย่างนั้นเหรอ?”