ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 416 ฐานใต้ดิน
บทที่ 416
ฐานใต้ดิน
เย่เย่ไม่สนใจจูเฮยจื่อที่อยู่ข้างหลังเขา และเพ่งความสนใจของเขาไปที่ซากเมืองร้างที่อยู่ตรงหน้าเขา บริเวณซากเมืองนี้คือสิ่งที่ถูกทิ้งร้างจากการต่อสู้กันของเหล่ายอดฝีมือในเมืองหลงเจียง และเพราะมีซากที่ถูกทิ้งร้างเช่นนี้อยู่มากมายในเมืองหลงเจียง ดังนั้นคนในเมืองหลงเจียงจึงได้คุ้นชินกับซากเหล่านี้
แต่เย่เย่ที่รู้จากจูเฮยจื่อมาว่าที่บริเวณซากเมืองนี้มีพวก จูหลงคงซ่อนตัวอยู่ เขาจึงได้ตื่นตัวอย่างมากในตอนที่เดินค้นหาซากเหล่านี้ ไม่นานนักเย่เย่ก็พบว่าที่พื้นในมุมหนึ่งของบริเวณซากเมืองนี้ดูผิดปกติ
หลังจากที่เขาเดินไปดูพร้อมกับจูเฮยจื่อ เขาก็ได้กระทืบพื้นไปเบาๆแล้วที่พื้นดินที่มุมของซากเมืองนั้นก็ได้สั่นสะเทือน ไม่นานนักทั้งดินและหินที่ถูกนำมาถมไว้ก็ได้ค่อยๆกระจัดกระจายหายไป และเผยให้เห็นแผ่นหินสีน้ำเงินวางปิดเอาไว้อยู่ทางเข้าฐานใต้ดินเอาไว้อยู่
โดยปราศจากซึ่งคำสั่งของเย่เย่ จูเฮยจื่อก็ได้เดินไปยกแผ่นหินนั้นขึ้นมาทันที และทางเข้าขนาดใหญ่ก็ได้เผยให้เห็นต่อหน้าของทั้งสองคน
เย่เย่จึงได้เดินเข้าไปในหลุมนั้นด้วยสีหน้านิ่งๆ และเดินลงบันไดไปตามทาง หลังจากที่ตามทางเดินใต้ดินที่ลึกและยาวไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันจากส่วนลึกของทางเดินนี้ แล้วก็ได้มีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของเย่เย่ จากนั้นเขาก็ได้เดินเข้าไปข้างในพร้อมกับจูเฮยจื่อ และคิดที่จะทำให้จูหลงคงกับพรรคพวกที่ซ่อนอยู่ในฐานใต้ดินนี้ตกใจสักหน่อย
ที่ฐานใต้ดินในเวลานี้ จูหลงคงผู้นำตระกูลจู , หยางหลิ่วจือประมุขพรรคบูชาเมฆ, โฉวว่านจ้งประธานสมาคมสามดาบและคนอื่นๆกำลังหารือถึงแผนการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของพวกเขากันอยู่
เบื้องหน้าก็มีทางจวนเจ้าเมืองที่กำลังไล่ล่าพวกเขาอยู่ และเบื้องหลังก็มี 4 ตระกูลใหญ่กำลังล้อมอยู่ ถึงแม้ว่าพวกจูหลงคงนั้นจะหนีออกจากคุกได้สำเร็จ แต่ชีวิตหลังจากที่ได้รับอิสรภาพนี้ก็ไม่ง่ายนัก นอกจากส่งออกไปสืบดูสถานการณ์ในปัจจุบันของเมืองหลงเจียงเป็นครั้งคราวแล้ว ส่วนใหญ่พวกเขาก็เอาแต่หลบซ่อนตัวอยู่ในฐานใต้ดินขนาดใหญ่นี้
ถ้าหากไม่ใช่เพราะฐานใต้ดินแห่งนี้ถูกพวกจูเฮยจื่อ ตกแต่งเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว ก็เกรงว่าคงมีบางคนที่ทนอยู่กับบรรยากาศทึมๆของฐานใต้ดินไม่ไหว และเสี่ยงชีวิตออกไปจากที่นี่และกลับสู่ผืนดินไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นแล้วนักโทษส่วนใหญ่ที่หนีออกมาจากคุกนั้นต่างก็รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านมากขึ้นเรื่อยๆ เวลาที่พวกเขาจะกลับไปสู่ผืนดินนั้นก็ได้กระชั้นเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆแล้ว
“จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว! ถ้าหากพวกเราไม่หาทางพาทุกคนออกไปจากเมืองหลงเจียงแล้ว พวกเขาก็จะถือวิสาสะออกไปข้างนอกเองและสู้กับพวกเย่เย่และเซียวหลิงเมื่อไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว!”
จูหลงคงก็ได้จ้องมองดูสีหน้าของทุกคนในฐานใต้ดิน และเห็นความกระวนกระวายในใจของพวกเขานั้นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จึงได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล
หยางหลิ่วจือประมุขพรรคบูชาเมฆเองก็ผงกหัวอย่างเห็นด้วย เหล่ายอดฝีมือของพรรคบูชาเมฆที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาเองก็ได้ใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว ถ้าหากพวกเขายังไม่สามารถคิดหาทางออกไปในเร็วๆนี้แล้ว มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วว่าเมื่อไรที่เหล่าศิษย์พรรคบูชาเมฆนั้นจะไม่ได้ยินคำสั่งของเขาอีกและหุนหันพลันแล่นหนีออกไปจากที่แห่งนี้และทิ้งผู้นำของเขาเอาไว้
ในตอนแรกตัวเขานั้นได้แอบมาหารือกับพวกจูหลงคง, โฉวว่านจ้งและคนอื่นๆเกี่ยวกับการก่อกบฏต่อต้านเมืองโม่ไห่ แต่คาดไม่ถึงว่าซ่างกวานอวี่จะนำพาคนมาจับกุมพวกเขาทั้งหมดเช่นนี้ ไม่เพียงแค่นั้นแต่เหล่ายอดฝีมือจากเมืองหลงเจียงที่เข้าร่วมในแผนการนี้ต่างก็ทยอยกันถูกจับมาอยู่ในคุกด้วยฝีมือของพวกซ่างกวานอวี่
ถ้าหากไม่ใช่เพราะพวกจูเฮยจื่อนั้นไม่ได้อยู่ในเมืองหลงเจียงในช่วงเวลานั้นพอดี ก็เกรงว่าในเวลานี้พวกเขาคงไม่มีโอกาสได้หนีรอดออกมาจากคุกในจวนเจ้าเมืองเป็นแน่
แต่ถึงอย่างนั้น ในตอนที่จูเฮยจื่อถูกจับเย่เย่จับตัวไปนั้น เหล่าคนในชุดดำคนอื่นๆที่ถูกเย่เย่จับนั้นต่างก็พากันตายกันหมด ทำให้เหล่าผู้ที่เหลือรอดของพวกเขาในเมืองหลงเจียงนั้นร่อยหรอลงเรื่อยๆ นอกจากนี้ตระกูลใหญ่ทั้ง 4 ก็ถูกเย่เย่สั่งให้ออกมาตามล่าพวกเขาอีก ในเวลานี้ทั่วทั้งเมืองหลงเจียงนั้นเหลืออยู่เพียงคนในฐานใต้ดินเท่านั้นที่เป็นผู้สนับสนุนของพวกเขาที่เหลือรอด
ถ้าหากว่าพวกเขานั้นไม่สามารถนำพาเหล่าคนในฐานใต้ดินนี้ฝ่าวงล้อมที่แน่นหนานี้ออกไปได้ ก็เกรงว่าต่อให้พวกเขาไม่ถูกเย่เย่กับเหล่ายอดฝีมือของ 4 ตระกูลใหญ่หาพบ พวกเขาก็คงพังล้มพับไปเองและไม่มีโอกาสที่จะได้กลับมาภูผาบูรพาผงาดอีก
“แทนที่จะมานั่งอยู่เฉยๆ ก็สู้ออกไปสู้กับพวกเขาให้รู้แล้วรู้รอดเลยดีกว่า อย่างไรเสียก็มียอดฝีมือจากสมาพันธ์โม่ไห่อยู่ในเมืองหลงเจียงไม่มากนัก ศัตรูหลักๆของพวกเราในเวลานี้ก็มีแต่เจ้าพวกหัวขโมยเซียวหลิงกับหวังอวิ๋นเท่านั้นแหละ ต่อให้พวกเราต้องสูญเสียไปบ้าง แต่ขอเพียงพวกเราสามารถฝ่าออกไปพร้อมกับเหล่ายอดฝีมือหัวกะทิของพวกเราไปได้ ในอนาคตพวกเราก็ยังมีโอกาสได้ล้างอายในวันนี้อย่างแน่นอน!”
โฉวว่านจ้งประธานสมาคมสามดาบเองก็คิ้วขมวด แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดกับจูหลงคงและหยางหลิ่วจือด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด และน้ำเสียงที่แน่วแน่ของเขา
เมื่อจูหลงคงกับหยางหลิ่วจือได้ยินเช่นนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่ได้โต้แย้งความคิดของโฉวว่านจ้งออกไปทันที จริงๆแล้วพวกเขาในเวลานี้เองก็มาถึงทางตันเช่นกัน และไม่รู้ว่าจะออกมาจากสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้อย่างไรดีโดยปราศจากซึ่งความสูญเสีย
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ทำการตัดสินใจลงไป ก็ได้มีชายแปลกหน้าเดินเข้ามาในฐานทัพของพวกเขา และกล่าวกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “จริงๆแล้ว พวกท่านไม่จำเป็นต้องมองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้นก็ได้ ข้าจะให้โอกาสพวกท่านได้กลับมาผงาดอีกครั้ง แต่ก็ขึ้นอยู่กับพวกท่านว่าจะทำได้หรือไม่?”
จูหลงคง, หยางหลิ่วจือและคนอื่นๆต่างก็ตกใจ แล้วพวกเขาก็ได้รีบถอยห่างออกจากชายแปลกหน้าทันที และมองไปที่อีกฝ่ายอย่างระแวดระวัง “เจ้าเป็นใคร? แล้วหาทางเข้าฐานใต้ดินแห่งนี้ได้อย่างไร?”
ที่ฐานใต้ดินแห่งนี้ เหล่ายอดฝีมือคนอื่นๆที่พบว่าเย่เย่ได้เข้ามาห้องนี้ต่างก็รีบไปรวมกันที่ข้างหลังพวกจูหลงคงพร้อมด้วยอาวุธในมือของพวกเขา ราวกับว่าพวกเขาจะออกไปสังหารเย่เย่ทันทีถ้าหากตกลงกันไม่ได้
แต่ปราศจากการรอให้จูหลงคงกับพรรคพวกได้ถามต่อ จูเฮยจื่อที่ตามเย่เย่มานั้นก็ได้ดึงดูดสายตาของทุกคนทันที จูหลงคงก็ได้รู้สึกยินดีอย่างมากตอนที่พบจูเฮยจื่อ และตะโกนเรียก จูเฮยจื่อด้วยความยินดีทันที “เฮยจื่อ เจ้ามาที่นี่ได้ยัง? ไม่ใช่ว่าเจ้าถูกเย่เย่จับตัวไปพร้อมกับคนอื่นๆหร…..”
ในขณะที่กำลังพูดอยู่ จูหลงคงก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วก็ได้หันหน้าไปหาชายแปลกหน้าที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว แล้วชี้ไปที่เย่เย่ด้วยนิ้วที่สั่นเครือแล้วถาม “เจ้า…เจ้าคือ…..”
เพราะเย่เย่นั้นไม่เคยมาที่เมืองหลงเจียงมาก่อน และ จูหลงคงกับพรรคพวกก็ไม่เคยเห็นรูปของเย่เย่ ดังนั้นในตอนแรกจึงยังจำเย่เย่ไม่ได้ แต่หลังจากที่จูหลงคงตั้งสติได้เมื่อสักครู่ ทุกคนก็ได้พลันคิดถึงความเป็นไปได้ที่น่ากลัวอย่างสุดๆขึ้นมา และมองไปที่เย่เย่ด้วยความหวาดกลัวและรอคอยคำตอบจากเขา
“ถูกต้องแล้ว ข้าคือเย่เย่เจ้าเมืองคนปัจจุบันของเมืองหลงเจียง! พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องสุภาพนักตอนที่พบกันครั้งแรกก็ได้นะ!”
เย่เย่ก็ได้ยิ้มและผงกหัวให้กับจูหลงคงและพรรคพวก และประกาศตัวเองออกไป
แต่จูหลงคงกับพรรคพวกนั้นก็ไม่ได้หัวเราะออกไปแต่อย่างใด พวกเขาต่างก็มองมาที่เย่เย่ด้วยสายตาไม่เชื่อ และมีบางคนที่เผยให้เห็นความสิ้นหวังในดวงตาของเขา
“จูเฮยจื่อเจ้าทรยศพวกเราเรอะ!”
“ช่างน่าละอายนักที่พวกเราอุตส่าห์ยังเชื่อมั่นในตัวเจ้าและเป็นกังวลถึงความปลอดภัยของเจ้า!”
“จบแล้ว มันจบแล้ว!”
เมื่อพวกเขาได้รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาคือเย่เย่แล้ว จูหลงคงและหยางหลิ่วจือกับคนอื่นๆในระดับสูงสุดจอมเทพ ไม่มีใครที่คิดว่าพวกเขานั้นจะสามารถรอดออกไปจากที่นี่ได้ในวันนี้
ผู้คนที่ไม่เคยนึกสงสัยจูเฮยจื่อก่อนหน้านี้ก็ได้มองไปที่ จูเฮยจื่อที่อยู่ด้านหลังของเย่เย่ด้วยความไม่พอใจ และมีความเศร้าใจบนใบหน้าของเขา ไม่เคยคิดว่าจูเฮยจื่อนั้นจะทรยศพวกเขาเลย แต่เมื่อเรื่องมาถึงตรงนี้แล้ว พวกเขาต่างก็จนปัญญาและหมดหวังต่อโชคชะตาของพวกเขา แม้แต่ความคิดที่จะเป็นกบฏต่อเย่เย่นั้นก็ได้ค่อยๆเลือนหายไปด้วย
อย่างไรเสียความแข็งแกร่งของเย่เย่นั้นก็ได้ฝังรากลึกลงไปในจิตใจของผู้คนแล้ว แม้ว่าพวกจูหลงคงนั้นจะเพิ่งหนีออกมาจากคุกเมื่อไม่กี่วันก่อนก็ตาม แต่พวกเขายังรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับสมาพันธ์โม่ไห่จากผู้คนที่ยังรับคำสั่งของพวกเขา ซึ่งในบรรดานั้นมีวรยุทธ์สูงที่สุดก็คือระดับสูงสุดจอมเทพ แต่ทว่าหากไม่ใช่ยอดฝีมือระดับสูงสุดราชันย์เทพแล้วก็ยากที่จะสังหารเย่เย่ได้ พวกเขานั้นจึงไร้ซึ่งพลังที่จะต่อกรกับเย่เย่ ซึ่งหลังจากที่ถูกเย่เย่ขวางทางออกฐานใต้ดินแล้ว แม้แต่ซ่างกวานจ้งกับพรรคพวกที่อยากจะรอดออกไปมากที่สุดแล้วก็ยังยอมทิ้งความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ไป
“นายท่าน ท่านต้องการให้ข้าปิดปากพวกเขาไหม?”
จูเฮยจื่อที่อยู่ข้างหลังเย่เย่นั้นที่เห็นว่าเหล่าคนที่อยู่ด้านหลังจูหลงคงต่างก็ส่งเสียงดังน่าหนวกหูออกมา ตัวเขาจึงได้ถามเย่เย่ทันที ซึ่งสายตาของเขานั้นได้ทำให้คนเหล่านั้นต้องหนาวเย็นไม่รู้จบทันที
ในฐานใต้ดินนั้น ผู้คนที่โกรธในการทรยศของจูเฮยจื่ออยู่แล้วนั้น เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วก็ได้โกรธมากยิ่งขึ้นไปอีก และสาปแช่งจูเฮยจื่อที่หักหลังกัน แม้แต่จูหลงคิดที่คิดว่าตัวเองนั้นรู้จัก จูเฮยจื่อมากกว่าใครแล้ว ก็ได้มองไปที่จือเฮยจื่อด้วยสายตาที่ไม่อยากเชื่อ และรู้สึกได้ถึงความไม่คุ้นเคยราวกับว่าเพิ่งได้รู้จักเขาเป็นครั้งแรก
“พวกท่านโทษพวกเขาผิดแล้วล่ะ! จูเฮยจื่อน่ะถูกควบคุมอยู่ด้วยผลของยันต์เชื่อฟังของข้า และในเวลานี้เขาก็ไม่ต่างไปจากข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ของข้า! จริงๆแล้วถ้าหากว่าเขายอมบอกที่ซ่อนของพวกเจ้าออกมาดีๆแล้ว ข้าก็คงไม่ต้องเสียยันต์เชื่อฟังไปหรอก ดังนั้นพวกเจ้าไม่ต้องตกใจมากขนาดนั้นก็ได้นะ!”
เมื่อเห็นสีหน้าตกใจของพวกจูหลงคงแล้ว เย่เย่ก็ได้ครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่งแล้วก็ได้อธิบายถึงเหตุผลที่จูเฮยจื่อกลายเป็นเช่นนี้ให้พวกเขาฟัง ไม่เพียงแค่นั้นหลังจากที่เย่เย่พูดจบเขาก็ได้ชี้ไปที่หน้าผากของจือเฮยจื่อ
ปัง!
ก็พบว่าที่หน้าผากของจือเฮยจื่อนั้นก็ได้มียันต์ที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่านั้นปรากฏขึ้นมา แล้วทันใดนั้นก็ได้กลายเป็นขี้เถ้าและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากที่ผลของยันต์เชื่อฟังได้หายไป ดวงตาของ จูเฮยจื่อก็ได้พลันเหม่อลอย และร่างของเขาก็ได้สั่นเครืออยู่พักหนึ่งแล้วจากนั้นก็ได้ล้มลงไปหมดสติอยู่ที่พื้น และไม่เคลื่อนไหวอีกราวกับคนตาย
“เจ้าทำอะไรกับเขาน่ะ?”
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จูหลงคงก็ได้รีบเดินออกไปตรวจดู จูเฮยจื่อ แล้วเห็นว่าเขาแค่สลบไปเท่านั้นและไม่ได้มีอาการสาหัสใดๆ แล้วเขาก็ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่ก็ยังถามเย่เย่ออกไปด้วยความกระวนกระวายอย่างมาก
เย่เย่ก็ได้ยักไหล่และอธิบายกับจูหลงคง “ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าก็แค่เอายันต์เชื่อฟังออกและคืนอิสรภาพให้กับเขาก็เท่านั้น พอเขาฟื้นขึ้นมาเมื่อไร เขาก็จะได้สติคืนกลับมาและกลายเป็น จูเฮยจื่อที่พวกเจ้ารู้จัก!”
หลังจากที่ได้ยินที่เย่เย่กล่าว จูหลงคงก็ได้รู้สึกโล่งอกและสีหน้าของผู้คนในฐานใต้ดินต่างก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่ทว่าดวงตาของพวกเขาที่มองมาที่เย่เย่นั้นยังคงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และอดไม่ได้ที่จะคาดเดาว่าเย่เย่นั้นจะมีกลวิธีที่พิสดารอื่นๆอีกหรือไม่ ซึ่งหากเทียบกับการถูกเย่เย่ควบคุมด้วยวิธีการที่พวกเขาไม่รู้จักเช่นนี้แล้ว พวกเขาก็ยินดีที่จะถูกเย่เย่ฆ่าเสียดีกว่า อย่างน้อยๆพวกเขาก็ไม่ต้องรู้สึกเหมือนกับตายทั้งเป็นอย่างจูเฮยจื่อเมื่อสักครู่!
ในขณะที่เย่เย่ได้ควบคุมความได้เปรียบเอาไว้อย่างหมดจดแล้วนั้น ไม่เพียงแต่เขาจะไปฆ่าพวกเขาทั้งหมดทันทีแล้ว กลับกันก็ได้ปล่อยจูเฮยจื่อคืนให้กับพวกเขาอีกด้วย ในขณะที่พวกจูหลงคงกำลังตกตะลึงเขาก็ยังเผยถึงเจตนาดีออกมา แล้วทันใดนั้นสายตาของจูหลงคงกับพรรคพวกก็ได้มองไปที่เย่เย่ด้วยสายตาที่บอกไม่ถูก