ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 409 4 ตระกูลใหญ่
บทที่ 409
4 ตระกูลใหญ่
ในฐานะที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตของเมืองโม่ไห่แล้ว เมืองหลงเจียงนั้นต่างก็จมอยู่ในบรรยากาศที่หดหู่ในช่วงเวลานี้
ในตอนแรกตระกูลจู, พรรคบูชาเมฆและขุมกำลังอื่นๆนั้นต่างก็คิดที่จะนำยอดฝีมือของเมืองหลงเจียงก่อการกบฏขึ้นมาในตอนที่เว่ยเหยียนได้มาที่ดินแดนเทียนหนาน และขับไล่ขุมกำลังของเมืองโม่ไห่ที่เข้ามายึดครองออกไปจากเมืองหลงเจียง แต่ก็ไม่คาดคิดว่าแผนการของพวกเขานั้นจะถูกล่วงรู้เข้าโดย ซ่างกวานอวี่ที่มาที่เมืองหลงเจียงในช่วงเวลานั้นเข้าเสียก่อน ทำให้ผู้นำตระกูลจูและประมุขพรรคบูชาเมฆนั้นถูกโยนเข้าไปในห้องขัง ทำให้ขุมกำลังเหล่านี้ค่อยๆลดอิทธิพลลงไป แล้วจากนั้นไม่นานก็ได้ถูกแทนที่ด้วยขุมกำลังอื่นในเมืองโบราณหลงเจียง
แต่ทว่าตระกูลที่มั่งคั่งที่ได้ขึ้นมาแทนตระกูลจูกับขุมอำนาจอื่นๆนั้น แม้ว่าเบื้องหน้านั้นจะไม่ใช่พวกเดียวกันกับตระกูลจูและพรรคบูชาเมฆ และได้แสดงความสวามิภักดิ์ต่อเมืองโม่ไห่ก็ตามที แต่จากก้นบึ้งหัวใจของพวกเขานั้นยังคงปฏิเสธการปกครองของเมืองโม่ไห่อยู่ เพียงแค่ว่าพวกเขานั้นไม่มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะต่อกรกับเมืองโม่ไห่ได้ ดังนั้นหลังจากที่มีข่าวของการก่อตั้งสมาพันธ์ชางลู่ได้แพร่ออกมา ก็ได้มีบางคนที่เห็นโอกาสนี้คิดจับปลาในน้ำขุ่น แต่พอข่าวเรื่องของสมาพันธ์ ชางลู่ได้ล่มสลาย แผนการของพวกเขาก็ได้เหลวเป๋วอีกหน และเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะมีโอกาสที่จะได้ปลดแอกจากการปกครองของเมืองโม่ไห่ได้แล้ว
แต่ทว่าสวรรค์มักไม่ปิดทางคน ในขณะที่เย่เย่กำลังจะมาถึงที่เมืองหลงเจียง และเตรียมใจที่จะยอมมอบเมืองหลงเจียงให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสมาพันธ์โม่ไห่อยู่นั้นเอง ก็ได้มีข่าวที่น่าตื่นเต้นแพร่เข้ามาในบรรดาตระกูลใหญ่ของเมืองหลงเจียง
“ผู้นำตระกูลเซียว ข่าวนี้เชื่อถือได้แน่รึ?”
ในเวลานี้ ในบรรดาตระกูลใหญ่ทั้ง 4 ของเมืองหลงเจียงอันได้แก่ เซียว, หวัง, เฉิน, หลี่นั้น ตระกูลเซียวนั้นแข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นในตอนที่เซียวหลิงผู้นำตระกูลเซียวได้เรียกให้ผู้นำตระกูลทั้ง 3 มาพบกัน ก็ได้ประกาศออกไปว่าสำนักแก้วหลากสีนั้นจะส่งคนมาที่เมืองหลงเจียงแล้ว หวังอวิ๋นผู้นำตระกูลหวังก็ได้ถามเสี่ยวหลิงออกไปด้วยความตื่นเต้นทันที
“แน่นอน! ข่าวนี้ได้ถูกส่งมายังตระกูลเซียวของพวกเราด้วยตัวของท่านผู้นั้นด้วยตัวเอง และในเวลานี้ท่านผู้นั้นก็ได้มาอยู่ที่เมืองหลงเจียงแล้ว และที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาในวันนี้ก็เพื่อที่จะแจ้งข่าวนี้ และเพื่อไปพบกับท่านผู้นั้นพร้อมกันกับข้าในอีก 3 วันให้หลัง!”
เสี่ยวหลิงเองก็ตื่นเต้น ราวกับว่าตัวเขาได้ทุ่มความหวังทั้งหมดของเขาไปที่ยอดฝีมือที่มาจากสำนักแก้วหลากสี
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ผู้นำตระกูลอีก 3 คนเหลือก็ได้เริ่มเชื่อในสิ่งที่เสี่ยวหลิงพูดขึ้นมา และมีความตื่นเต้นอย่างอธิบายไม่ถูกขึ้นมาในใจของพวกเขา
“ข้าของบังอาจถามท่านผู้นำตระกูลเซียวสักหน่อย ยอดฝีมือจากสำนักแก้วหลากสีที่ท่านว่ามีวรยุทธ์อยู่ในระดับไหน? จะสามารถสังหารเย่เย่ได้ในคราวเดียวและนำพาเมืองหลงเจียงของพวกเราออกจากการควบคุมของสมาพันธ์โม่ไห่ได้จริงๆเหรอ?”
หลังจากที่หลี่เฉิงผู้นำตระกูลหลี่หายจากอาการตื่นเต้นแล้ว เขาก็ได้ถามคำถามที่เขากังวลมากที่สุดออกมาทันที
อย่างไรก็ดีถึงแม้ว่าสำนักแก้วหลากสีนั้นจะมีอิทธิพลอย่างมากก็ตามที แต่เย่เย่นั้นก็ยังแข็งแกร่งมากเกินไปอยู่ดี ถ้าหากสำนักแก้วหลากสีนั้นเกิดส่งลูกศิษย์มาที่นี่แบบส่งๆแล้ว ก็เกรงว่าอาจจะจบลงไม่ได้ดีไปกว่าเกาหลิงก่อนหน้านี้ก็ได้
ทันทีที่หลี่เฉิงได้ถามคำถามนี้ออกมา หวังอวิ๋นกับอีกคนต่างก็ได้จ้องมองไปที่เซียวหลิงอย่างคาดหวัง และรอฟังคำตอบที่พวกเขาอยากจะฟังมากที่สุดจากปากของเขา
เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนได้จับจ้องมาที่เขาอย่างกระวนกระวายใจแล้ว เสี่ยวหลิงก็ไม่คิดที่จะทรยศต่อความหวังของพวกเขา และได้ตอบให้หลี่เฉิงกับคนอื่นๆฟังทันที “คงแม้ว่าท่านผู้นี้จะมีวรยุทธ์อยู่แค่เพียงระดับสูงสุดราชันย์เทพ แต่ตัวตนของเขานั้นก็ไม่ใช่ศิษย์ทั่วๆไปของสำนักแก้วหลากสีหรอกนะ!”
เมื่อเห็นสายตาที่สงสัยของหวิงอวิ๋นกับคนอื่นๆแล้ว เสี่ยวหลิงก็ได้ยิ้มและกล่าวต่อ “ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงจะเคยได้ยินชื่อของหม่าเจากันมาก่อนแล้ว! ในตอนที่ท่านหม่าเจามีชื่อเสียงไปทั่วทั้งดินแดนเทียนหนานนั้น แม้แต่สำนักต่างไฟก็ยังเลือกที่จะหลีกเลี่ยงสำนักแก้วหลากสีก็เพราะเห็นหม่าเจาคนนั้นเป็นเหมือนเสี้ยนหนามในสายตาของพวกเขา!”
“หรือว่าหม่าเจาที่ท่านผู้นำตระกูลเซียวพูดถึง จะเป็นศิษย์เอกสำนักแก้วหลากสีหม่าเจาคนนั้น?”
“ยอด ด้วยท่านหม่าเจาอยู่ที่นี่แล้ว ต่อให้เป็นเย่เย่ก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้!”
“ข้าได้ยินมาว่าท่านหม่าเจาได้เคยไปอยู่ที่เขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวนมาแล้ว ความแข็งแกร่งของเขานั้นคงเทียบกับยอดฝีมือระดับสูงสุดราชันย์เทพทั่วๆไปไม่ได้แน่ๆ!”
“ถึงแม้ว่าจะมีวรยุทธ์แค่ระดับสูงสุดราชันเทพ แต่เย่เย่นั้นก็ไม่ใช่คู่มือของท่านหม่าเจาหรอก!”
เมื่อหวังอวิ๋น, หลี่เฉิงและอีกคนได้ยินชื่อของหม่าเจาแล้ว สายตาของพวกเขาก็ได้ปรากฏความตื่นเต้นออกมา โดยเฉพาะหลังจากที่พวกเขายืนยันได้ถึงตัวตนของหม่าเจาจากปากของเซียวหลิงแล้ว พวกเขาต่างก็หมดซึ่งความกังวลในอนาคตของเมืองหลงเจียง
ในความคิดของพวกเขานั้นถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะโด่งดังมากในดินแดนเทียนหนาน แต่หากเทียบกับศิษย์เอกของสำนักแก้วหลากสีที่เคยไปฝึกวิชาที่เขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวนมาแล้วนั้น ก็ยังเรียกได้ว่าห่างชั้นกันอยู่ดี เพียงแค่ได้ยินชื่อของหม่าเจาแล้วความกังวลของผู้นำตระกูลทั้ง 4 ก็ได้หายไปในทันที ในเวลานี้พวกเขาต่างก็เฝ้ารอไปพบกับหม่าเจาในอีก 3 วัน เพื่อหารือกับหม่าเจาว่าจัดการอย่างไรกับเย่เย่ดี ส่วนสมาพันธ์โม่ไห่กับที่เหลือนั้นเอาไว้ทีหลังได้
แต่ในขณะที่ผู้นำตระกูลทั้ง 3 คนกำลังจะออกจากบ้านสกุลเซียวเพื่อกลับไปยังบ้านของตัวเองเพื่อเตรียมตัวสำหรับการพบกันของพวกเขาในอีก 3 วันให้หลังนั้น ก็ได้มีข้ารับใช้คนหนึ่งของตระกูลเซียวได้โผล่เข้ามาหาเซียวหลิงและรายงานกับเขาว่ามีชายผู้หนึ่งที่อ้างว่าเป็นจางเทียนอวี่ต้องการที่จะพบกับเซียวหลิง
“จางเทียนอวี่?”
เมื่อเซียวหลิงได้ยินชื่อนี้ เขาก็รู้สึกคุ้นๆหูขึ้นมานิดหน่อย แต่ผ่านไปสักพักหนึ่งเขาก็ยังนึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
หลี่เฉิงผู้นำตระกูลหลี่ก็ได้พลันเปลี่ยนสีหน้าของเขาทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ และรีบบอกกับเซียวหลิงและผู้นำตระกูลคนอื่นๆ “ในตอนที่ข่าวลือในเมืองโม่ไห่แพร่ออกไปทั่วนั้น ที่เมืองหลิ่วเยว่ก็ได้มีอัจฉริยะหนุ่มที่สนใจจะผลักดันเย่เย่ให้ขึ้นเป็นผู้นำสมาพันธ์อยู่ ถ้าจำไม่ผิดเขาน่าจะชื่อว่าจางเทียนอวี่หรืออย่างไรนี่แหละ?”
“ข้าก็นึกออกแล้ว! ไม่ใช่ว่าจางเทียนอวี่นั้นเป็นผู้ที่สนับสนุนเย่เย่อย่างสุดขั้วนี่นา? ทำไมเขาถึงมาที่เมือง หลงเจียงของพวกเราได้ล่ะ?”
หลังจากที่ได้ยินที่หลี่เฉิงพูด หวังอวิ๋นผู้นำตระกูลหวังก็นึกออกเรื่องของจางเทียนอวี่ขึ้นมาได้เหมือนกัน แล้วก็ได้พูดขึ้นมาพร้อมด้วยความสงสัยบนใบหน้าของเขา
“ไม่ว่าจุดประสงค์ของเขาจะคืออะไร พวกเราก็ควรที่จะออกไปพบเขาจะดีกว่า! อย่างไรเสียผู้นำตระกูลทั้ง 4 ก็อยู่ที่นี่ทั้งที ก็ออกไปดูหน่อยว่าจางเทียนอวี่อยากจะเล่นลูกไม้อะไร!”
หลังจากที่เซียงหลิงนึกชื่อของจางเทียนอวี่ขึ้นมาได้ เขาก็ได้เต็มไปด้วยความสงสัยถึงจุดประสงค์ของจางเทียนอวี่
ถึงแม้ว่าจะมีข่าวลือเรื่องที่จางเทียนอวี่เป็นผู้สนับสนุนที่สนับสนุนอย่างเหนียวแน่นของเย่เย่แล้ว เซียงหลิงนั้นเชื่อว่าที่ จางเทียนอวี่สนับสนุนเย่เย่ให้ขึ้นเป็นใหญ่นั้นก็เพื่อที่จะสนองต่อความทะเยอทะยานของตัวเองเท่านั้น และในเวลานี้แผนการของเขาก็ได้ล้มเหลวไปแล้ว และคิดว่าเขานั้นคงจะไม่ได้มีความคิดที่อ่อนหัดเหมือนกับเย่เย่ก็ได้
หวังอวิ๋นกับคนอื่นๆจึงได้ผงกหัวและกลับไปนั่งประจำที่ของพวกเขาในห้องนั้น และตั้งใจที่จะพบกับจางเทียนอวี่อัจฉริยะหนุ่มจากเมืองหลิวเยว่ผู้นี้
ใช้เวลาไม่นานนักหลังจากที่ข้ารับใช้ของตระกูลเซียวที่มารายงานเมื่อสักครู่นั้นไปพาชายหนุ่มคนหนึ่งมาที่ห้องโถงใหญ่ของบ้านสกุลเซียว ซึ่งชายคนนั้นก็คือจางเทียนอวี่ที่เคยแอบพบกับเย่เย่ที่เมืองโม่ไห่ก่อนหน้านี้
“จางเทียนอวี่จากเมืองหลิวเยว่ ขอคารวะท่านผู้นำตระกูลหวัง, เซียว, เฉิน, หลี่ทั้ง 4 ท่านด้วย!”
ทันทีที่จางเทียนอวี่ได้เดินเข้ามาในห้อง เขาก็พบว่านอกจากเซียวหลิงแล้ว ก็ยังมีหวังอวิ๋นกับคนอื่นๆที่กำลังรอพบเขาอยู่ในห้องนี้ด้วย ถึงแม้ว่าจะมีความตกใจปรากฏบนใบหน้าของเขา แต่เขาก็ปรับอารมณ์กลับมาได้อย่างรวดเร็ว แล้วคารวะให้พวกเซียวหลิงอย่างไม่อวดดีหรือถ่อมตัวเกินไปแต่อย่างใด
ถึงแม้ว่าที่แห่งนี้จะเป็นเมืองหลงเจียง และผู้ที่อยู่ตรงหน้าของจางเทียนอวี่นั้นจะเป็นผู้นำตระกูลใหญ่ทั้ง 4 ในเมืองหลงเจียง แต่จางเทียนอวี่ก็ไม่ได้คิดที่จะก้มหัวให้ อย่างไรเสียทั้งเขาและพวกเซียวหลิงนั้นต่างก็เป็นยอดฝีมือในระดับสูงสุดจอมเทพเหมือนกัน จะไม่จำเป็นที่เขาจะต้องสุภาพกับพวกเขามากนัก เมื่อรวมกับความสามารถของเขาด้วยแล้ว โอกาสที่เขาจะได้บรรลุขึ้นเป็นราชันย์เทพได้นั้นมีมากกว่าพวกเซียวหลิงเสียอีก ดังนั้นในตอนที่จางเทียนอวี่ได้คารวะให้เซียวหลิงกับพรรคพวกนั้น ก็ไม่ได้ความคิดที่จะประจบประแจงแต่อย่างใด
“เจ้ารู้จักพวกข้าด้วยเหรอ?”
เซียวหลิงยังไม่ได้พูดอะไร แต่หวังอวิ๋นที่อยู่ข้างๆก็ได้ตามจางเทียนอวี่ด้วยความตกใจ
เพราะว่าพวกเขานั้นได้พบกับจางเทียนอวี่เป็นครั้งแรก พวกเขาคิดว่าจางเทียนอวี่จะรู้จักแค่เซียวหลิงที่เป็นผู้นำตระกูลเซียวเพียงคนเดียว แต่ไม่นึกว่าจางเทียนอวี่นั้นจะรู้จักถึงตัวตนของพวกเขาที่เพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรกด้วย
เซียวหลิง, พวกหลี่เฉิงต่างก็มองมาที่จางเทียนอวี่อย่างสงสัย ราวกับกำลังรอคำอธิบายจากเขาอยู่ เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จางเทียนอวี่ก็ไม่ได้คิดปิดบังอะไร แล้วเขาก็ได้กล่าวกับฝูงชนกลับไปอย่างใจเย็น “ว่ากันตามตรงเลย จริงๆแล้วข้าได้มาที่ เมืองหลงเจียงสักพักใหญ่ๆแล้ว และในช่วงที่ผ่านมานี้ข้าก็ได้ทำการศึกษาสถานการณ์ของขุมกำลังใหญ่ๆในเมืองหลงเจียงอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่ข้าจะรู้จักพวกท่านผู้นำตระกูล ดูเหมือนว่าข้าจะมาไม่เสียเที่ยวดีจริงๆ!”
เมื่อได้ยินที่จางเทียนอวี่กล่าว พวกเซียวหลิงทั้ง 4 คนต่างก็พากันยักคิ้ว พวกเขาไม่มีเวลาที่จะมาสนใจท่าทีของ จางเทียนอวี่มากนัก สิ่งที่พวกเขากังวลมากที่สุดในเวลานี้มีเพียงจุดประสงค์ของจางเทียนอวี่ที่มาที่เมืองหลงเจียง
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง เซียวหลิงก็ได้ถาม จางเทียนอวี่ออกไปตรงๆ “ข้าเซียวหลิงก็เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านมาบ้างเหมือนกัน และข้าก็ได้ยินมาว่าท่านนั้นเป็นผู้สนับสนุนอย่างเหนียวแน่นของเจ้าเมืองเย่เย่ และที่ท่านมาที่เมืองหลงเจียงในเวลานี้ ก็คงจะเป็นเพราะท่านอยากที่จะติดตามท่านเจ้าเมืองเย่เย่มากำจัดตระกูลของพวกเราออกไปจากเมืองหลงเจียงใช่หรือไม่?”
คำพูดของเซียวหลิงก็ได้เต็มไปด้วยดินปืน ถึงแม้ว่าเขานั้นจะยังนับถือเย่เย่จากภายนอก แต่ก็จะเห็นได้จากคำถามของเขาว่าเซียวหลิงนั้นได้ตั้งให้เย่เย่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับ 4 ตระกูลใหญ่ในเมืองหลงเจียง
ซึ่งหลังจากที่เขาพูดจบ ผู้นำตระกูลใหญ่ทั้ง 4 ในเมืองหลงเจียงต่างก็จ้องมองไปที่จางเทียนอวี่ เพื่อที่จะรอดูท่าทีที่แท้จริงของจางเทียนอวี่ที่มีต่อเย่เย่จากการตอบสนองของเขา
แต่แล้วพวกเขาก็ต้องตกใจ ซึ่งในขณะที่จางเทียนอวี่ได้ยินคำถามของเซียวหลิงแล้ว เขาก็ได้ยิ้มออกมาเบาๆ จากนั้นเขาก็ได้ตอบเซียวหลิงด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ “ท่านผู้นำเซียวไม่จำเป็นต้องทดสอบข้าหรอก! ถ้าหากข้ายังเป็นผู้สนับสนุนของเย่เย่อย่างที่ท่านพูดแล้ว ข้าก็คงจะไม่มาปรากฏตัวอยู่ที่บ้านสกุลเซียวของท่านในเวลานี้หรอก แต่ข้าคงไปปรากฏตัวที่จวนเจ้าเมืองหลงเจียงแล้ว”
เซียวหลิง, หวังอวิ๋น และคนอื่นๆต่างก็เปลี่ยนสีหน้าของพวกเขา ราวกับว่าพวกเขานั้นเริ่มสนใจในตัวของจางเทียนอวี่ขึ้นมาแล้ว
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ถามอะไรออกไป จางเทียนอวี่ก็ได้พูดกับพวกเซียวหลิงต่อ “พวกท่านคงจะรู้อยู่แล้วว่านับตั้งแต่ที่เจ้าเมืองหลิวเยว่คนก่อนถูกเย่เย่สังหารไป เมืองหลิวเยว่ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากราวกับแผ่นดินไหว ตัวขาดนั้นถึงแม้ว่าจะไม่ได้มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง แต่ก็เป็นผู้ที่มากความสามารถและพลังเหนือใคร จึงได้สามารถมีจุดยืนที่มั่นคงในเมืองหลิวเยว่และได้กลายมาเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองหลิวเยว่”
เซียวหลิงกับคนอื่นๆนั้นต่างก็ไม่ได้ขัดการอวดอ้างตัวเองของจางเทียนอวี่ และจางเทียนอวี่ก็ไม่ได้คิดจะหยุดเช่นกัน แต่น้ำเสียงของเขานั้นก็ได้พลันหนักอึ้งขึ้นมา และมีความไม่พอใจอย่างมากปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“เดิมทีข้าคิดว่าขอเพียงข้าฉวยโอกาสจากความขัดแย้งของสมาพันธ์โม่ไห่และสนับสนุนเย่เย่แล้ว เมื่อใดที่เขาได้ขึ้นเป็นผู้นำของสมาพันธ์ เขาก็จะต้องยกให้ข้าขึ้นเป็นเจ้าเมืองหลิวเยว่แน่ แต่ก็ไม่นึกเลยว่าเย่เย่นั้นจะเป็นคนขี้กลัวและขี้ขลาดเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เขาจะไม่กล้าโค่นล้มซ่างกวานจ้งแล้วขึ้นเป็นผู้นำสมาพันธ์เสียเองแล้ว ยังร่วมมือกับซ่างกวานจ้งทำลายขุมกำลังของข้าในเมืองหลิวเยว่อีก เดิมทีข้านั้นอยู่ห่างจากตำแหน่งเจ้าเมืองหลิวเยว่อีกเพียงแค่เอื้อมเท่านั้น แต่ในเวลานี้ข้ากลับต้องละเห็ดออกจากบ้านเกิดของข้าแล้วมาอาศัยอยู่ที่นี่ แล้วพวกท่านคิดเหรอว่าตัวข้ายังคิดที่จะติดตามเย่เย่อย่างเหนียวแน่นแบบเมื่อก่อนได้อีกน่ะ?”