ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 398 ข้อเสนอ
บทที่ 398
ข้อเสนอ
เมืองโบราณหยวนฟางที่อยู่ในเขตริมชายฝั่งทะเลนั้น นับตั้งแต่ตอนที่เหยียนเสี่ยวเฟยได้ย้ายเข้าไปอยู่ในจวนเจ้าเมืองนั้น ความสัมพันธ์ของเขากับหวงเทานั้นก็ได้ดีมากขึ้นเรื่อยๆ
และในเมื่อเย่เย่นั้นยังไม่ได้รายงานออกไปว่าภารกิจที่เขารับมาจากหอธารสวรรค์ทำสำเร็จแล้วนั้น เสิ่นเตี้ยนหลินที่น่าจะเป็นผู้จ้างวานเย่เย่มากที่สุดนั้น จึงยังไม่รู้ว่าหวงต้าไห่ตัวจริงนั้นตายไปแล้ว นางจึงยังคิดว่าเหยียนเสี่ยวเฟยนั้นคือหวงต้าไห่ตัวจริง และนับตั้งแต่ที่เหยียนเสี่ยวเฟยได้ข้ามาอยู่ในจวนเจ้าเมืองนั้น นางก็ได้เพ่งเล็งเขาทุกหนทุกแห่งและคิดที่จะไล่เขาออกจากจวนเจ้าเมืองทันที
แต่เหยียนเสี่ยวเฟยนั้นย่อมเทียบไม่ได้กับหวงต้าไห่ตัวจริงอยู่แล้ว ทุกครั้งที่เสิ่นเตี้ยนหลินเล่นงานเขา เขาก็จะจัดการตอบโต้กับนางอย่างชำนาญ ซึ่งได้ทำให้ความประทับใจของหวงเทาที่มีต่อเขานั้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และความเชื่อใจของเขาก็ได้เพิ่มมากขึ้นไปอีกระดับ
โดยอาศัยโอกาสอันดีนี้เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้เริ่มลงมือ แล้วเขาก็ได้เข้ามาในห้องทำงานของหวงเทาในค่ำคืนที่ดวงจันทร์แจ่มแจ้งไร้ซึ่งแสงดาว เมื่อพบหน้ากับหวงเทา เขาก็ได้แสร้งทำเป็นไม่พอใจแล้วกล่าว “ท่านพ่อ นับตั้งแต่ที่ข้าเข้ามาในจวนเจ้าเมือง ก็ไม่มีวันไหนเลยที่ฮูหยินจะไม่สร้างปัญหาให้ข้า! ถึงแม้ว่าข้าจะไม่กลัวนาง แต่ถ้าหากข้าไม่สร้างความสำเร็จสักเล็กน้อยเพื่อให้ได้จุดยืนในเมืองหยวนฟางแล้ว เกรงว่าข้าคงจะถูกไล่ออกจากจวนโดยนางเข้าสักวันเป็นแน่! ข้าจึงได้อยากขออนุญาตท่านพ่อไปที่เมืองชางลู่ ข้าสัญญาว่าคราวนี้ข้าจะทำให้ตกใจอย่างแน่นอน!”
เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้กล่าวอย่างมีเลศนัย ซึ่งก็ได้ปลุกความสงสัยของหวงเทาให้ตื่นขึ้นทันที
แล้วเขาก็ได้จ้องไปที่เหยียนเสี่ยวเฟยด้วยความโล่งใจ และคิดว่าลูกชายของเขานั้นในที่สุดก็คิดอะไรเพื่ออนาคตเสียที แล้วจากนั้นหวงเทาก็ได้ถามหวงเสี่ยวเฟยอย่างสงสัย “จะเดินทางไปที่เมืองชางลู่อย่างนั้นเหรอ? เจ้าคิดที่จะทำไปอะไรที่นั่นล่ะ?”
เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้มีสีน่าอึดอัดใจขึ้นมา ราวกับว่าเขานั้นไม่อยากที่จะบอกหวงเทาถึงแผนการของเขา แต่ทว่าภายใต้สายตาที่จริงจังของหวงเทาแล้ว เขาก็ได้ยอมเปิดปากและบอกถึงมุมมองของเขาที่มีต่อสถานการณ์ในเขตริมชายฝั่งทะเลกับหวงเทา
“เรียนท่านพ่อ เมืองโม่ไห่ในเวลานี้ได้กลายเป็นขุมกำลังที่ใหญ่ที่สุดในเขตริมชายฝั่งทะเลไปแล้ว และยังมีแน้วโน้มว่าจะยึดครองทั้งเขตนี้ได้ด้วย ถ้าหากว่าเมืองโบราณอื่นๆจะยังคงทางใครทางมันเช่นนี้ต่อไป ก็คงจะไม่มีทางต่อต้านเมืองโม่ไห่ได้แน่ ถึงแม้ว่าจะมีข่าวลือมาว่าเมืองชางลู่นั้นได้อาศัยยาแปลงโฉมสร้างข่าวลือขึ้นมาในเวลานี้ แต่หากว่าไม่มีใครที่หาหลักฐานมาได้แล้ว พวกเขาก็จะยังยืนยันในสิ่งที่พวกเขาพูดเช่นนั้นต่อไปก่อนที่ความจริงจะปรากฏ นั่นคือเรื่องที่เย่เย่ได้ทรยศต่อเมืองโม่ไห่และไปทำสัญญาเข้ากับเมืองชางลู่แทน
เหยียนเสี่ยวเฟยกล่าวขณะที่มองไปที่หวงเทาอย่างสนใจ แล้วก็กล่าวต่อด้วยคำพูดเชิงยุแยง “ถ้าหากพวกเรา เมืองหยวนฟางเป็นเมืองแรกที่ประกาศออกไปว่าจะขอสนับสนุนเมืองชางลู่และเสนอที่จะก่อตั้งสมาพันธ์กับเมืองชางลู่แล้วให้พวกเขาเป็นแกนนำของสมาพันธ์ในการต่อสู้กับเมืองโม่ไห่ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะก่อตั้งเป็นสมาพันธ์ขนาดใหญ่ได้ก่อนเมืองโม่ไห่ก็ได้ แล้วจากนั้นก็อาศัยโอกาสนี้เข้ากำจัดศัตรูในขณะที่ยังแบเบาะเสีย! ข้าจึงได้ขอให้ส่งผู้แทนทางการทูตไปเจรจากับเมืองชางลู่ และหวังว่าท่านจะสนับสนุนเรื่องนี้ เพื่อพิสูจน์สายตาของข้าหวงต้าไห่คนนี้ให้เมืองหยวนฟางและทั่วทั้งเขตริมชายฝั่งทะเลได้เห็น
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา ก็ได้บังเกิดความเงียบขึ้นมาในห้องทำงานนั้น
หวงเทาก็ได้จับจ้องไปที่เหยียนเสี่ยวเฟยที่ปลอมเป็นหวงต้าไห่ด้วยความไม่อยากเชื่อ ราวกับว่าตัวเขาเพิ่งรู้จักกับหวงต้าไห่ แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เหยียนเสี่ยวเฟยพูดนั้นมีความจริงอยู่บ้าง เขาจึงยังไม่ได้ตอบรับคำของเหยียนเสี่ยวเฟย ออกไปทันที
“ที่เจ้าพูดมาเมื่อสักครู่ ว่าหากยังไม่มีใครที่ยืนยันได้ว่าเมืองชางลู่นั้นเป็นคนปล่อยข่าวลือแล้ว พวกเขาก็ยังสามารถยืนยันต่อไปได้ว่าเย่เย่ได้ติดต่อกับเมืองชางลู่ และแอบบรรลุข้อตกลงบางอย่างกับพวกเขาแล้วได้ แต่ถึงหลักฐานจะหายไปแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเมืองชางลู่นั้นจะเป็นผู้บริสุทธิ์ เรื่องที่พวกเขาใช้ยาแปลงโฉมเพื่อเผยแพร่ข่าวลือนั้นก็ยังมีความเป็นไปได้ไม่น้อยอยู่ดี และถึงแม้ว่าเมืองหยวนฟางของพวกเราจะยินดีที่จะก่อตั้งสมาพันธ์ร่วมกับพวกเขา แล้วทำไมถึงให้เมืองชางลู่เป็นแกนนำของสมาพันธ์ล่ะ?”
หลังจากที่ผ่านไปพักใหญ่ หวงเทาก็ได้ค่อยๆพูดขึ้นมา แล้วเสนอความคิดเห็นของเขาที่มีต่อเรื่องนี้
เห็นได้ชัดว่าเขานั้นไม่ปฏิเสธในสิ่งที่เหยียนเสี่ยวเฟย กล่าวเรื่องที่จะก่อตั้งสมาพันธ์ขึ้นมา แต่หวงเทาก็ได้คัดค้านที่จะให้เมืองชางลู่เป็นแกนนำของสมาพันธ์ และยังไม่เห็นด้วยที่จะให้ เหยียนเสี่ยวเฟยออกไปจากเมืองชางลู่ด้วย
แต่ทว่าเหยียนเสี่ยวเฟยก็เหมือนจะเดาได้อยู่แล้วว่า หวงเทานั้นจะต้องตอบเช่นนี้ หลังจากเขาได้ยินที่หวงเทากล่าวแล้ว เขาก็ได้เกลี้ยกล่อมหวงเทาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดทันที “ในเมื่อแม้แต่ท่านพ่อเองก็ยังเห็นด้วยเรื่องที่การก่อตั้งสมาพันธ์นั้นเป็นหนทางเดียวที่จะต่อกรกับเมืองโม่ไห่ได้ ข้าก็เชื่อว่าเจ้าเมืองโบราณอื่นๆเองก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน แต่ทำไมถึงยังไม่มีใครที่คิดจะทำอะไรจนถึงป่านนี้ล่ะ? มันไม่ใช่เพราะความเข้มแข็งของเมืองโบราณใหญ่ๆแต่ละเมืองนั้นต่างกันหรอก แต่เป็นเพราะไม่มีใครที่อยากจะให้อีกฝ่ายเป็นผู้นำต่างหาก ถ้าหากเมืองโบราณใหญ่ๆยังคงลังเลเช่นนี้ต่อไป ข้าเชื่อว่าการที่เมืองโม่ไห่นั้นจะรวบรวมเขตริมชายฝั่งทะเลให้กลายเป็นหนึ่งเดียวนั้นคงเป็นผลที่จะออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
เมื่อเห็นว่าหวงเทานั้นเริ่มมีสีหน้าลังเลใจออกมาแล้ว เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้ตีเหล็กตอนกำลังร้อนเกลี้ยกล่อมเขาต่อ “แทนที่จะนั่งอยู่เฉยๆ ทำไมพวกเราไม่ยอมถอยออกมาสักก้าวก่อน และแสร้งทำเป็นว่าข้อมูลที่เมืองชางลู่ประกาศออกมานั้นเป็นความจริง แล้วด้วยวิธีนี้เมืองชางลู่ก็จะมีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นผู้นำของสมาพันธ์ แล้วการก่อตั้งสมาพันธ์ก็จะรุดหน้าอย่างรวดเร็วขึ้นด้วย แล้วพวกเขาก็จะเป็นเมืองโบราณแรกในเขตริมชายฝั่งทะเลที่กล้าจะเป็นปรปักษ์กับเมืองโม่ไห่ล่วงหน้าไปก่อนเมืองโบราณอื่นๆ แล้วก็จะไม่ใช่เรื่องยากที่คนอื่นๆจะยอมรับพวกเขาในฐานะผู้นำสมาพันธ์”
หลังจากที่เหยียนเสี่ยวเฟยกล่าวจบ หวงเทาก็ได้ตกอยู่ในความเงียบอีกหน
จากสีหน้าของเขาแล้วมันแสดงให้เห็นว่าเขานั้นรู้สึกประทับใจกับความเห็นของเหยียนเสี่ยวเฟยมาก ราวกับว่ามันได้มอบวิธีคิดใหม่ให้กับหวงเทา ปัญหามากมายที่เขาไม่สามารถสะสางได้ก่อนหน้านี้นั้นก็ได้กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาทันที
เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นเช่นนี้ แต่เขาก็ยังทำการเกลี้ยกล่อมหวงเทาต่อ “ท่านพ่ออย่าได้ลังเลอีกเลย! ถ้าหากเมืองหยวนฟางของพวกเราเป็นเมืองแรกที่แสดงออกถึงการสนับสนุนเมืองชางลู่ก่อนใครแล้ว หลังจากที่สวีโหย่วเทียนเจ้าเมืองชางลู่ได้ขึ้นเป็นผู้นำสมาพันธ์ ก็จะสำนึกในบุญคุณของพวกเราเมืองหยวนฟางอย่างแน่นอน แล้วเมื่อถึงเวลานั้นตำแหน่งรองผู้นำสมาพันธ์ก็จะต้องตกเป็นของท่านพ่ออย่างไปไหนเสีย เป็นการได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายอย่างแท้จริง!”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา หวงเทาที่ยังลังเลอยู่เมื่อสักครู่นั้นก็ได้ตัดสินใจ และมีรอยยิ้มที่ยินดีบนใบหน้าของเขา
เขาได้เงยหน้าขึ้นมาแล้วมองไปที่เหยียนเสี่ยวเฟยที่อยู่ตรงหน้าเขา แล้วกล่าวกับเหยียนเสี่ยวเฟยด้วยสีหน้าชื่นชม “เดิมทีข้าคิดว่าเจ้านั้นทำได้แค่กิน, ดื่มและเที่ยวเล่นไปวันๆ แต่ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีความคิดดีๆเช่นนี้ได้! แต่ดูจากที่เจ้าทำกับ ฮูหยินก่อนหน้านี้แล้ว ถ้าหากข้าไม่เห็นเจ้ามีท่าทีกลัวฮูหยินก่อนหน้านี้แล้ว ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไม่เชื่อว่าเจ้ากับหวงต้าไห่คนก่อนหน้านี้เป็นคนคนเดียวกัน!”
“ท่านพ่อมีวิสัยทัศน์กว้างไกลนัก ต้าไห่ไม่มีอะไรจะกล่าวอีก!”
เมื่อเหยียนเสี่ยวเฟยได้ยินที่หวงเทาพูดออกมาเมื่อสักครู่ เขาก็ได้ชะงักขึ้นมาและรีบกล่าวแสดงความชื่นชมหวงเทาเพื่อปิดบังอาการตื่นตระหนกของเขา
แล้วหวงเทาก็ได้หัวเราะออกมาทันที และไม่ขุดคุ้ยถึงความต่างระหว่างเหยียนเสี่ยวเฟยกับกับคนก่อนต่อ กลับกันเขาก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วตบไหล่ของเหยียนเสี่ยวเฟยอย่างแรงแล้วกล่าวออกมาอย่างพึงพอใจมาก “เมื่อเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าก็รู้สึกสบายใจ ไม่เพียงแต่ความรู้สึกผิดก่อนหน้าจะหายไปอย่างมากแล้ว แต่ยังรู้สึกโล่งอกเรื่องผู้สืบทอดเมืองหยวนฟางด้วย!”
เมื่อเหยียนเสี่ยวเฟยได้ยินที่หวงเทากล่าวแล้ว สีหน้าของเขาก็ได้แสดงออกถึงความยินดีขึ้นมา แล้วเขาก็ได้รีบก้มหัวให้หวงเทาแล้วกล่าว “ขอบพระคุณท่านพ่อมากสำหรับความรักของท่าน ข้าต้าไห่จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน!”
“ฮ่าๆๆ ลุกขึ้นเถิดๆ! ข้อเสนอของเจ้าในวันนี้เป็นประโยชน์ต่อข้ามากจริงๆ แต่เจ้าไม่ต้องรีบร้อนนักที่จะไปที่เมืองชางลู่ เมื่อใดที่เวลาเหมาะสมแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปที่เมืองชางลู่ด้วยตัวเอง!”
หลังจากที่หวงเทาได้ประกาศการตัดสินใจของเขาแก่ เหยียนเสี่ยวเฟยแล้ว เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้คารวะตอบหวงเทาทันที
แล้วจากเหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้กล่าวลากับหวงเทาและรีบหันหลังกลับและออกจากห้องทำงานของหวงเทาไป
ในค่ำคืนที่มืดมิดนั้น ดวงไฟในห้องทำงานของหวงเทานั้นยังคงส่องสว่าง และแสงไฟที่ลุกโชนอยู่บนเทียนไขนั้นก็ลุกโชนเหมือนกับอารมณ์ของหวงเทาในเวลานี้
จนกระทั่งพระอาทิตย์ของวันต่อมาโผล่ขึ้นมา หวงเทาก็ได้ออกจากห้องทำงานและประกาศในนามของเจ้าเมืองหยวนฟางออกไปว่า เมืองหยวนฟางนั้นจะสนับสนุนกับการกระทำของเมืองชางลู่และยินดีที่จะก่อตั้งสมาพันธ์ร่วมกับเมืองชางลู่ในฐานะที่เป็นแกนนำในการต่อสู้กับเมืองโม่ไห่!
แล้วข่าวนี้ก็ได้ก่อนให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในเขตริมชายฝั่งทะเลราวกับพายุทันที แล้วเจ้าเมืองโบราณทั้งหมดที่ได้รู้ถึงท่าทีนี้ของหวงเทาต่างก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
เพราะนับตั้งแต่ที่ข่าวลือเรื่องความลับของยาแปลงโฉมได้ถูกเผยแพร่ออกมา เกือบทั้งเขตริมชายฝั่งทะเลนั้นต่างก็มองเมืองชางลู่ด้วยความสงสัย แต่ในเวลานี้เมืองหยวนฟางนั้นกลับสวนกระแส ทำให้เหล่าเจ้าเมืองโบราณคนอื่นๆต่างก็ต้องทำอะไรไม่ถูกไปสักพักหนึ่ง
แม้ว่าจะมียอดฝีมือของเมืองหยวนฟางบางคนที่มีท่าทีสงสัยกับการกระทำครั้งนี้ของหวงเทา แต่เจินเทียนสี่กับ หยางอู่เยว่ยอดฝีมือราชันย์เทพที่เหลืออีก 2 คนในเมืองเหยียนฟางนั้นก็ได้โผล่มาตรงหน้าของหวงเทาและแสดงความสงสัยของพวกเขาต่อหวงเทา
เมื่อเผชิญกับความสงสัยของทั้งคู่แล้ว หวงเทาก็ไม่ได้ปิดบังจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาแก่ทั้งคู่ หลังจากที่บอกเหตุผลไปถึงสาเหตุที่เหยียนเสี่ยวเฟยมาเกลี้ยกล่อมเขาให้ทั้งสองคนฟังแล้ว เจินเทียนสี่กับหยางอู่เยว่นั้นต่างก็เลิกคัดค้านทันทีหลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้ แล้วเมืองหยวนฟางก็ได้ช่วยกันสร้างกระแสของการก่อตั้งสมาพันธ์ขึ้นมา แล้วข่าวนี้ก็ได้ทำให้เมืองโบราณอื่นๆในเขตริมชายฝั่งทะเลนั้นตกใจอย่างมากและทำอะไรไม่ถูก
แต่ไม่มีกำแพงที่ปิดกั้นได้ทุกอย่างในโลกนี้ หลังจากที่ผ่านไประยะเวลาหนึ่ง เจ้าเมืองโบราณอื่นๆต่างก็ทยอยกันรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของหวงเทาจากปากของคนในระดับสูงของเมืองหยวนฟาง ถึงแม้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่นั้นจะตกใจ แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนมากที่เห็นด้วยกับความคิดนี้ของหวงเทา และยังได้ประกาศออกไปว่าจะสนับสนุนเมืองชางลู่ขึ้นเป็นแกนนำของสมาพันธ์
แล้วในชั่วขณะหนึ่งที่เขตริมชายฝั่งทะเลนี้ได้เกิดความโกลาหลขึ้นมา ก่อนที่สมาพันธ์โม่ไห่จะได้ถูกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการนั้น ก็ได้มีขุมอำนาจที่เป็นปรปักษ์โดยมีเมืองชางลู่เป็นศูนย์กลางนั้นถือกำเนิดขึ้นมา สวีโหย่วเทียนนั้นก็ย่อมที่จะไม่พลาดโอกาสครั้งเดียวในชีวิตเช่นนี้อยู่แล้ว หลังจากที่ได้รับการสนับสนุนจากเมืองโบราณต่างๆแล้ว เขาก็ได้ประกาศว่าจะมีงานก่อตั้งสมาพันธ์อย่างเป็นทางการในอีก 3 วันให้หลัง และได้ทำการเชิญเจ้าเมืองหยวนฟางและเจ้าเมืองอื่นๆมาหารือกันถึงเรื่องการก่อตั้งสมาพันธ์ต่อต้านเมืองโม่ไห่ขึ้นมา
อีกด้านหนึ่งที่เมืองโม่ไห่นั้น ซ่างกวานจ้งกับพรรคพวกนั้นต่างก็ตกใจพอๆกันเมื่อพวกเขาได้ทราบข่าวนี้ แม้แต่กำลังใจของทั้งสามเมืองภายใต้สมาพันธ์โม่ไห่นั้นก็ยังได้รับผลกระทบนี้ โดยเฉพาะเมื่อใคร่ครวญถึงจุดประสงค์ของพวกสวีโหย่วเทียนที่ก่อตั้งสมาพันธ์ขึ้นมาเพื่อเป็นศัตรูกับพวกเขาแล้ว ความรู้สึกร้อนรนในใจของผู้คนในเมืองโม่ไห่นั้นก็ได้ร้อนรุ่มยิ่งกว่าเดิม
แต่โชคยังดีที่เมืองโม่ไห่นั้นจะไม่มีพันธมิตรที่ไหนเลย ในตอนที่พวกสวีโหย่วเทียนนั้นได้เริ่มเตรียมการก่อตั้งสมาพันธ์ด้วยแรงผลักดันที่มากมายแล้ว ทางจวนเจ้าเมืองเสียหยางก็ได้เผยถึงความตั้งใจที่จะเข้าร่วมสมาพันธ์โม่ไห่ ถึงแม้ว่าทั้งจงเทียนหลินกับจงเจิ้งหมิงนั้นจะไม่ได้ออกมายอมรับข่าวลือนี้อย่างเป็นทางการ แต่ทุกคนต่างก็คิดว่าความเป็นไปได้ที่เมืองเสียหยางจะเข้าร่วมกับเมืองโม่ไห่นั้นมีสูงมาก
เมื่อซ่างกวานจ้งได้ทราบเรื่องนี้ก็ได้รู้สึกยินดีอย่างมาก และในขณะที่เขาได้แสดงออกถึงการต้อนรับเมืองเสียหยางนั้น ก็ได้ทำให้กำลังใจของสมาพันธ์โม่ไห่นั้นเริ่มฟื้นคืนขึ้นมา แล้วสายตาของทั่วทั้งเขตริมชายฝั่งทะเลนั้นก็ได้ให้ความสนใจไปที่ทั้งสองกองกำลังนี้ และเกือบทุกคนที่ต่างก็คิดว่า ถ้าหากไม่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้นแล้ว อนาคตของเขตริมชายฝั่งทะเลนั้นก็คงจะขึ้นอยู่กับผลของการต่อสู้ระหว่างทั้งสองขุมกำลังใหญ่ทั้งสองนี้เป็นแน่