ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 388 ข่าวลือ
บทที่ 388
ข่าวลือ
เย่เย่นั้นรู้สึกโล่งอกที่เห็นว่าในที่สุดเหยียนเสี่ยวเฟยก็ยอมที่จะทำงานให้ตัวเอง และในขณะเดียวกันตัวเขาก็ได้มีแผนการที่ชัดเจนขึ้นมากขึ้น
จริงๆแล้วก่อนที่เขาจะตามเหยียนเสี่ยวเฟยไปที่หอธารสวรรค์เพื่อรับภารกิจนั้น เขาก็ได้ยอมจ่ายไป 100,000 เหรียญอเนกประสงค์จากระบบเติมเงินเพื่อซื้อเอามีดบินมาชุดหนึ่ง ถึงแม้ว่าการซื้อครั้งนี้จะทำให้เย่เย่นั้นปวดใจอย่างสุดๆ แต่เพื่อที่จะได้รับการช่วยเหลือจากเหยียนเสี่ยวเฟยแล้ว เย่เย่ก็ได้ไม่ใส่ใจมากนัก
อย่างไรเสียตัวเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้เหยียนเสี่ยวเฟยไปพบกับอาจารย์ที่เขาปั้นแต่งขึ้นมาหรือบอกความจริงกับเขาได้ นอกจากจะต้องล่อลวงอีกฝ่ายด้วยผลประโยชน์เท่านั้น และในเวลานี้เย่เย่ก็ยังคิดหาทางอื่นไม่ออกด้วย
หลังจากที่เหยียนเสี่ยวเฟยยอมตกลงช่วยแล้ว อันดับแรกเย่เย่ก็ได้ขอให้ช่วยสอนเขาให้ทำความคุ้นเคยกับขั้นตอนการทำภารกิจโดยด่วนที่สุด ดังนั้นเย่เย่จึงได้พาเหยียนเสี่ยวเฟยออกจากหอธารสวรรค์มายังเมืองหยวนฟางในละแวกริมชายฝั่งทะเลด้วย เพื่อให้ช่วยสอนและแนะนำเขาทำภารกิจแรกหลังจากที่เข้าร่วมหอธารสวรรค์นี้ให้สำเร็จโดยสมบูรณ์แบบ
และหวงต้าไห่ก็เป็นเป้าหมายของเย่เย่ในครั้งนี้ ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมทั้งคู่ถึงได้ออกไปเผชิญหน้ากับหวงต้าไห่เมื่อสักครู่นั้น เพราะนอกจากจะไม่ชอบในสิ่งที่เขาทำแล้ว ยังมีอีกเหตุผลก็คือเพื่อทดสอบว่ามีใครที่แอบคอยปกป้องอีกฝ่ายอยู่อีกหรือไม่
หากดูจากพลังที่พวกเขารู้สึกได้ในตอนนั้นแล้ว คนที่คอยแอบปกป้องหวงต้าไห่อยู่นั้นจะต้องเป็น 1 ใน 4 ยอดฝีมือราชันย์เทพของเมืองหยวนฟางเป็นแน่ ดังนั้นเย่เย่จึงรู้สึกได้ว่าหวงเทาเจ้าเมืองหยวนฟางคนนี้ให้ความสำคัญกับลูกชายนอกสมรสของเขาคนนี้มากนัก
แม่ของหวงต้าไห่นั้นเดิมทีเป็นเพียงสาวใช้ในจวนเจ้าเมือง หลังจากที่ถูกขืนใจโดยหวงเทาที่กำลังเมาแล้ว นางก็ได้หนีออกไปจากเมืองหยวนฟางและกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านนอก แม่ของหวงต้าไห่นั้นก็ไม่ได้ขอให้หวงเทานั้นชดใช้หลังจากที่คลอดหวงต้าไห่แต่อย่างใด และได้เลี้ยงดูหวงต้าไห่โดยลำพังมาเป็นเวลานาน
จนกระทั่ง 2 เดือนก่อน แม่ของหวงต้าไห่นั้นก็ได้ตายลงเพราะโรคร้าย ซึ่งก่อนที่นางจะตายนางก็ได้บอกกับหวงต้าไห่ว่าใครเป็นพ่อที่แท้จริงของเขา ดังนั้นหวงต้าไห่จึงได้เดินทางมาที่เมืองหยวนฟางเพื่อพบกับหวงเทา แล้วก็ได้มาอาศัยอยู่ในบ้านที่หรูหราที่หวงเทาได้จัดหาไว้ให้เขาในเมืองหยวนฟางเป็นการชั่วคราว
หวงต้าไห่นั้นที่ถูกผู้คนดูถูกตอนอยู่บ้านนอกนั้น หลังจากที่มาอยู่ที่เมืองหยวนฟางเขาก็ได้รับความรักจากหวงเทา ซึ่งไม่เพียงแต่จะสุขสมไปกับความรุ่งเรืองและความมั่งคั่งแล้ว ก็ยังมีข้ารับใช้จำนวนมากอยู่รอบตัวเขาตลอดเวลา พอตัวเขานั้นได้รับพลังอำนาจมานั้นตัวเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีที่จะอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆอีกต่อไป ทุกวันเขาจะต้องพาข้ารับใช้ของเขาไปทำในสิ่งที่เขาอยากจะทำในเมืองหยวนฟาง ทำให้ผู้คนทั่วทั้ง เมืองหยวนฟางนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
ทางด้านเจ้าเมืองหวงเทานั้นก็ค่อนข้างจะรู้สึกผิดต่อหวงต้าไห่อย่างมาก จึงได้แกล้งทำเป็นตาบอดกับท่าทีที่เลวร้ายของเขานี้
เย่เย่จึงได้ตัดสินใจที่จะรับงานสังหารหวงต้าไห่หลังจากที่ได้อ่านข้อมูลของหวงต้าไห่แล้ว หลังจากที่ปรากฏตัวพร้อมกับ เหยียนเสี่ยวเฟยในวันนี้เพื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายแล้ว ทั้งสองคนก็ได้ตัดสินใจที่จะทำให้หวงต้าไห่หายไปจากโลกนี้ตลอดในค่ำคืนนี้
แต่ทว่าก็ได้มีข่าวลือแว่วเข้ามาในหูของเย่เย่ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังทานอาหารอยู่ ทำให้เย่เย่นั้นต้องพับเก็บแผนที่จะลอบสังหารหวงต้าไห่เป็นการชั่วคราว และรีบมุ่งหน้ากลับไปที่เมืองโม่ไห่อย่างเร่งด่วนเพียงลำพัง
ในเมืองโม่ไห่ ซ่างกวานจ้ง,หลิวซื่อหมิงและคนอื่นๆก็ได้มารวมกันที่ห้องประชุมและต่างก็มีสีหน้าที่เคร่งเครียด
“เจ้าพบที่มาของข่าวลือนี้แล้วหรือยัง? ใครกันที่มันกล้ามายุ่งกับความสัมพันธ์ของข้ากับเย่เย่ เพื่อทำลายความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของเมืองโม่ไห่เรา?”
หลังจากที่ทุกคนนั่งประจำที่ ซ่างกวานจ้งก็ได้ถาม หลิ่วซื่อหมิงที่นั่งอยู่ข้างๆเขาด้วยสีหน้าที่จริงจัง
แต่ทว่าหลิ่วซื่อหมิงก็ได้ส่ายหัวและตอบซ่างกวานจ้งด้วยสีหน้าที่โกรธและทำอะไรไม่ถูก “ศัตรูนั้นซ่อนตัวเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าพวกเราจะส่งยอดฝีมือของจวนเจ้าเมืองเกือบครึ่งออกไปเพื่อตามสืบเรื่องนี้แล้ว แต่พวกเราก็ยังไม่ได้ข่าวอะไรที่เป็นประโยชน์กลับมาเลย”
ซ่างกวานจ้งก็ได้มีสีหน้าผิดหวังปรากฏขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ คนอื่นๆในห้องนั้นเองต่างก็คิ้วขมวดราวกับว่าพวกเขารู้สึกได้ถึงความร้ายแรงของปัญหานี้
นับตั้งแต่ที่ไม่กี่วันก่อนเมืองโบราณได้ประกาศออกไปว่าอีกไม่นานจะก่อตั้งสมาพันธ์โม่ไห่ขึ้นมา และหลังจากที่ตั้งใจจะเชิญเจ้าเมืองต่างๆในละแวกริมชายฝั่งทะเลให้มาร่วมงานชุมนุมก่อตั้งสมาพันธ์นั้น ที่เมืองโม่ไห่, เมืองหลิวเยว่ และเมืองหลงเจียงก็ได้มีข่าวลือขึ้นมาว่าเย่เย่นั้นพอใจในการจัดการของซ่างกวานจ้ง และได้ปล่อยข่าวออกไปว่าเย่เย่นั้นต้องการที่จะแย่งชิงตำแหน่งผู้นำสมาพันธ์โม่ไห่มาครอง
และข่าวลือนี้ก็ได้แพร่ไปไวมาก เพียงชั่วพริบตาเดียวเกือบทุกคนในทั้งสามเมืองนี้ต่างก็ได้ยินเรื่องนี้แล้ว เดิมทีผู้คนต่างก็คิดว่าเย่เย่นั้นทรงพลังมากอยู่แล้ว จึงย่อมที่จะเป็นภัยต่อตำแหน่งของซ่างกวานจ้งในอนาคตอยู่แล้วทำให้ผู้คนส่วนใหญ่จึงต่างก็เชื่อในข่าวลือนี้ ท่ามกลางความฮือฮานี้ก็ได้มีการประณามและสงสัยเย่เย่เกิดขึ้น ซึ่งอิทธิพลของข่าวลือนี้ก็รุนแรงมากจนทำให้ซ่างกวานจ้งกับพรรคพวกนั้นไม่สามารถอยู่นิ่งเฉยได้
ถึงแม้ว่าซ่างกวานจ้งนั้นจะได้รีบสั่งพวกหลิ่วซื่อหมิงให้ออกไปตามสืบที่มาของแหล่งข่าวนี้โดยทันทีแล้ว และได้ป่าวประกาศบอกกับผู้คนว่าอย่าไปหลงเชื่อข่าวปลอมนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้คนปล่อยข่าวทำสำเร็จแล้วก็ตามที แต่เพราะการกระทำของเย่เย่หลังจากที่มาเข้าร่วมเมืองโม่ไห่นั้นมันโดดเด่นมากจนเกินไป ทำให้อิทธิพลของข่าวลือนี้หนักหนากว่าที่พวกซ่างกวานจ้งคิดเอาไว้
ซึ่งในบรรดาผู้ที่เชื่อในข่าวลือนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นอดีตคนของซ่างกวานจ้งเอง พวกเขานั้นประณามในความทะเยอทะยานของเย่เย่ และพวกเขาก็ยังได้เสนอให้ซ่างกวานจ้งกำราบเย่เย่ด้วย แต่ก็ยังมีคนที่เชื่อในข่าวลือนี้อีกส่วนหนึ่งที่สนับสนุนเย่เย่ โดยเฉพาะเหล่าคนหนุ่มสาวที่มีความทะเยอทะยาน พวกเขาต่างก็คิดที่จะติดตามเย่เย่เพื่ออนาคตที่ดีกว่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้แสดงความต้องการที่จะสนับสนุนเย่เย่
ซึ่งเหล่าผู้ที่สนับสนุนเย่เย่นี้ไม่เพียงแต่จะไม่กลัวการกดดันของอดีตคนของซ่างกวานจ้งแล้ว แต่พวกเขายังคงสามารถพัฒนาและเติบโตท่ามกลางความลำบาก จนมีแนวโน้มว่าจะมีกำลังเทียบเท่ากับทางฝั่งอดีตคนของซ่างกวานจ้งได้แล้ว ซึ่งในระหว่างที่ซ่างกวานจ้งกับพรรคพวกนั้นได้ทุ่มแรงคนไปเป็นจำนวนมากกับการค้นหาที่มีของแหล่งข่าวนี้ สมาพันธ์โม่ไห่ที่ยังไม่ทันจะได้เริ่มก่อตั้งอย่างเป็นทางการ ก็ได้มีวี่แววว่าแตกแยกกันเสียแล้ว
ถึงแม้ว่าซ่างกวานจ้งนั้นจะเชื่อใจเย่เย่มาก แต่ทว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทั้งสามเมืองนั้นทำเอาเขาถึงกับนอนไม่ค่อยหลับ ซึ่งในขณะที่เขาได้ให้หลิ่วซื่อหมิงกับพรรคพวกตามสืบที่มาของข่าวลือนี้อยู่นั้น อีกทางด้านหนึ่งตัวเขาก็ได้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในสมาพันธ์ แต่ทว่าด้วยเหตุที่เย่เย่นั้นอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ความขัดแย้งกันระหว่างผู้ที่สนับสนุนเย่เย่และอดีตคนของซ่างกวานจ้งนั้นก็ได้ไม่มีทีท่าว่าจะคลายลงไปได้เลย ในทางกลับกันมีแต่จะตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆด้วยซ้ำ
ที่ห้องเจ้าเมืองในจวนเจ้าเมืองเสียหยาง เจ้าเมือง จงเทียนหลินก็ได้ฟังการวิเคราะห์สถานการณ์ของสมาพันธ์โม่ไห่ของจงเจิ้งหมิง ซึ่งลูกพี่ลูกน้องของจงเจิ้งหมิงที่ชื่อเสี่ยวอิ๋งก็ซุกอยู่ข้างๆจงเทียนหลินด้วย สายตาของนางก็ได้เต็มไปด้วยความชื่นชมและมองไปที่จงเจิ้งหมิงที่กำลังพูดอยู่อีกฝั่ง
“เรียนท่านพ่อ เรื่องของการก่อตั้งสมาพันธ์โม่ไห่ของเมืองโม่ไห่นี้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับพวกเรา ในเวลานี้กำลังของเมืองเสียหยางของพวกเรานั้นไม่ได้เข้มแข็งเหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว นอกจากนี้สถานการณ์ของละแวกริมชายฝั่งทะเลนี้ก็ได้อันตรายมากขึ้นเรื่อยๆด้วย ลำพังกำลังของพวกเราอย่างเดียวแล้ว คงจะเป็นไปได้ยากที่จะรักษาเอาไว้ได้ แต่ทว่าทางเมืองโม่ไห่นั้นกลับรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อยๆทวนกระแสน้ำนี้ และในเวลานี้ก็ได้มีการก่อตั้งสมาพันธ์ขึ้นอีก พวกเราจึงควรที่จะอาศัยโอกาสนี้ในการสร้างความสัมพันธ์กับเมืองโม่ไห่ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการเตรียมทางออกเผื่อเอาไว้สำหรับเมืองเสียหยางของพวกเรา”
จงเจิ้งหมิงเองก็รู้สึกตกใจไม่น้อยในตอนที่เขาได้รับคำเชิญมาจากเมืองโม่ไห่ แต่หลังจากที่ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็ได้รู้สึกว่าเมืองเสียหยางนั้นไม่ควรที่จะเป็นเพียงแค่ผู้ชม แต่ควรที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมกับการก่อตั้งสมาพันธ์โม่ไห่นี้ด้วย
เสี่ยวอิ๋งนั้นยังดูเหมือนจะสงสัยในคำพูดของจงเจิ้งหมิง อยู่บ้าง นางก็ได้คิ้วขมวดและอดไม่ได้ที่จะถามจงเจิ้งหมิงกลับไป “ท่านพี่ เมืองเสียหยางของพวกเรานั้นก็เป็นพันธมิตรกับเมือง โม่ไห่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ? แล้วพวกเราจะสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปอีกอย่างไรคะ?”
จงเจิ้งหมิงก็ได้จ้องไปที่เสี่ยวอิ๋งอย่างเอ็นดู แต่เขาก็ไม่ได้ตอบคำถามของนางในทันที กลับกันเขาได้หันหน้ามามองไปที่ดวงตาของจงเจิ้งหมิงแล้วกล่าว “ถึงแม้ว่าที่เมืองเสียหยางนั้นเป็นพันธมิตรกับเมืองโม่ไห่นั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆในละแวกริมชายฝั่งทะเลนี้แล้วก็เรียกได้ว่าปลอดภัยมากแล้ว แต่ทว่าสถานการณ์ในดินแดนเทียนหนานในเวลานี้นั้นก็ไม่สู้ดีนัก พวกเราจึงไม่สามารถที่จะประมาทได้ ข้าจึงคิดว่ามันถึงเวลาที่จะหารือกันแล้วว่าพวกเราควรที่จะนำพาเมืองเสียหยางนั้นไปเข้าร่วมกับสมาพันธ์โม่ไห่แล้วกลายเป็นส่วนหนึ่งของสมาพันธ์นี้หรือไม่!”
หลังจากที่เขาพูดจบ จงเทียนหลินก็ได้คิ้วขมวดทันที แม้แต่เสี่ยวอิ๋งก็ยังตกใจ จึงได้กล่าวกับจงเจิ้งหมิงด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ “ท่านพี่ ความแข็งแกร่งของเมืองเสียหยางของพวกเรานั้นเรียกได้ว่าเป็นอันดับต้นๆของละแวกริมชายฝั่งทะเลนะ แล้วในเวลานี้จะให้พวกเรายอมสวามิภักดิ์เข้ากับเมืองโม่ไห่อย่างนั้นเหรอ? ข้าเกรงว่าคงจะมีผู้คนมากมายที่ไม่เห็นด้วยกับทางจวนเจ้าเมืองแน่!”
ถึงแม้ว่าจงเทียนหลินนั้นจะไม่พูด แต่ก็พอจะเห็นได้จากท่าทีของเขา ว่าตัวเขาเองนั้นก็ยากที่จะยอมรับข้อเสนอนี้ของ จงเจิ้งหมิงได้
แต่ทว่าจงเจิ้งหมิงนั้นก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนความคิดของเขาแม้แต่น้อย เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนนั้นไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเขาแล้ว จงเจิ้งหมิงก็ได้กล่าวในสิ่งที่เขาวิเคราะห์ออกมาต่อ “เพราะในเวลานี้มันต่างไปจากที่ผ่านๆมาน่ะสิ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เมืองโม่ไห่มีพื้นที่ถึง 3 เมืองแล้วเลย ศักยภาพในอนาคตก็ยังเหนือกว่าเมืองเสียหยางของพวกเราอย่างมาก และเย่เย่ผู้มาจุติที่อยู่ในเมืองโม่ไห่นั้นก็มีศักยภาพในการพัฒนาเหนือกว่าที่พวกเราคิดเอาไว้มาก ถ้าหากว่าพวกเรายังคงสภาพเดิมของพวกเราและไม่ฉวยโอกาสนี้แล้ว ข้าเกรงว่าช่องว่าระหว่างเมืองเสียหยางกับเมืองโม่ไห่นั้นก็จะห่างมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจจะถึงจุดที่ที่พวกเราจะต้องแยกจากกันก็เป็นได้”
จงเจิ้งหมิงก็ได้สรุปในสิ่งที่เขาคิดออกมา ซึ่งนอกจากจะคำนึงถึงเรื่องของสถานการณ์ในละแวกริมชายฝั่งทะเลและทั่วทั้งดินแดนเทียนหนานแล้ว เย่เย่เองก็เป็นเหตุผลที่สำคัญว่าทำไมเขาถึงได้ตัดสินใจที่จะเสนอเรื่องการเข้าร่วมสมาพันธ์กับ จงเทียนหลิน
ซึ่งตัวจงเจิ้งหมิงเองก็ได้ตราตรึงอย่างมากกับความแข็งแกร่งและความทะเยอทะยานของเย่เย่หลังจากที่ได้พบกับ เย่เย่ในหนก่อน ซึ่งข่าวเรื่องที่เย่เย่นั้นได้สู้กับผู้อาวุโส ตระกูลเหยียนนั้นก็ได้ทำให้จงเจิ้งหมิงนั้นตกใจอย่างมาก
ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่ในเมืองเสียหยางนั้นจะคิดว่าเรื่องนี้คงเป็นเพียงแค่ข่าวลือ แต่จงเจิ้งหมิงก็ได้ส่งคนไปที่เมือง เหยียนเป่ยเพื่อตามสืบเรื่องนี้โดยละเอียดแล้ว ซึ่งข่าวที่ได้มานั้นก็ได้เหนือความคาดคิดของเขามากขึ้นไปอีก ซึ่งเรื่องนี้ได้ทำให้ความสนใจในตัวเย่เย่ของจงเจิ้งหมิงนั้นได้เพิ่มขึ้นไปอีกระดับ
เพราะจากข่าวสารที่ได้รับมานั้น ไม่เพียงแต่เย่เย่จะสามารถต่อกรกับผู้อาวุโสเป่ยซานของตระกูลเหยียนได้แล้ว แต่ยังเกิดการระเบิดที่รุนแรงมากขึ้นในภูเขาเหยียนเป่ยนั้นซึ่งทำให้ทั่วทั้งเมืองเหยียนเป่ยต้องเกิดการสั่นไหวขึ้น และสงสัยว่าจะต้องเกี่ยวข้องอะไรกับเย่เย่เป็นแน่ ซึ่งว่ากันตามตรงแล้ว การที่เย่เย่นั้นได้ไปก่อความวุ่นวายขึ้นในตระกูลเหยียนที่เป็นตระกูลอันดับหนึ่งในดินแดนเทียนหนานนั้น ก็เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีโอกาสรอดได้เลย แต่สุดท้ายไม่เพียงแต่เย่เย่จะมีชีวิตรอดกลับออกมาได้ และดูเหมือนว่าตระกูลเหยียนเองก็ได้ไม่มีทีท่าว่าจะตามล่าตัวหาเขาด้วย
ยิ่งจงเจิ้งหมิงคิดมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกว่าเย่เย่ล้ำลึกสุดหยั่งถึงมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพักใหญ่ เขาก็ได้ตัดสินใจเสนอให้จงเทียนหลินนั้นนำพาเมืองเสียหยางไปเข้ากับสมาพันธ์โมไห่ ถึงแม้ว่าการยอมสวามิภักดิ์เข้ากับเมืองโม่ไห่นั้นจะต้องทำให้บางคนในเมืองเสียหยางนั้นไม่ยินดีด้วยแน่ แต่เพื่ออนาคตที่อยู่รอดและรุ่งเรืองของเมืองเสียหยางแล้ว ความไม่พอใจชั่วครั้งชั่วคราวนี้ถือว่าไม่มีค่าอะไรสำหรับเขาเลย
ซึ่งตัวเขาเองนั้นก็ได้มีความรู้สึกเช่นนี้อยู่รางๆเช่นกัน ถ้าหากเมืองเสียหยางนั้นยังคงดึงดันที่จะไม่เข้าร่วมกับสมาพันธ์โม่ไห่แล้ว พวกเขาจะต้องรู้สึกเสียดายในอนาคตทีหลังเป็นแน่ ซึ่งจงเจิ้งหมิงนั้นก็ไม่ต้องการที่จะเห็นเมืองเสียหยางนั้นต้องตกต่ำไปถึงจุดนั้น ดังนั้นท่าทีของการแนะนำของจงเหมืองหมิงในเวลานี้จึงได้หนักแน่นมาก