ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 381 อาจารย์
บทที่ 381
อาจารย์
มองไปที่ผู้อาวุโสเป่ยซานที่อยู่ตรงหน้าเขา จิตสังหารในดวงตาของเย่เย่นั้นก็ได้เบาบางลงไป แต่สีหน้าของเขายังคงหนาวเย็นสุดขั้วอยู่
เมื่อได้ยินที่ผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นร้องขอความเมตตาแล้ว เขาก็ได้แบมือไปตรงหน้าของผู้อาวุโสเป่ยซานแล้วกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว “ส่งยาอุษาชาดมาแล้วข้าจะไว้ชีวิต!”
เมื่อผู้อาวุโสเป่ยซานได้ยินเช่นนี้ เขาก็ได้รีบหยิบขวดยาในแขนเสื้อออกมาแล้วมอบให้กับเย่เย่ แล้วกล่าวขอบคุณเย่เย่ซ้ำแล้วซ้ำอีก “ขอขอบพระคุณมากที่ไม่ฆ่าข้า! ความบาดหมางระหว่างเราจะเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขอเพียงท่านไว้ชีวิตข้าในครั้งนี้ ต่อจากนี้ไปข้าจะเปลี่ยนความคิด และจะปิดปากเงียบเก็บรักษาความลับของท่านด้วย!”
เย่เย่ก็ได้เปิดปากขวดยาออกมาและดมดู หลังจากที่ยืนยันได้แล้วว่าเป็นยาอุษาชาดที่เขาต้องการจริงๆก็ได้ผงกหัวอย่างพึงพอใจและเก็บขวดหยกไป
แต่ทว่าเย่เย่นั้นก็ไม่ได้เชื่อในคำสัญญาของ ผู้อาวุโสเป่ยซานอย่างสนิทใจ หลังจากที่มองดูสภาพที่อ่อนแอของผู้อาวุโสเป่ยซานแล้ว ดวงตาของเย่เย่ก็ได้ปรากฏแสงขึ้นมาแล้วจากนั้นก็ได้ดึงเอาแหวนที่นิ้วโป้งออกมาแล้วโยนออกไป
ตูม!
แหวนวงนั้นก็ได้กลายเป็นอารามวิถีสวรรค์ในทันที ผู้อาวุโสเป่ยซานที่มองดูอยู่นั้นก็ได้ตกตะลึงและมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าเย่เย่นั้นคือประมุขอารามวิถีสวรรค์จริงๆ
แต่เย่เย่นั้นก็ไม่ได้สนใจว่าผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นจะคิดอะไรอยู่ ซึ่งหลังจากที่อารามวิถีสวรรค์ได้ปรากฏออกมาแล้วนั้น เขาก็ได้หันหน้ามามองผู้อาวุโสเป่ยซานแล้วกล่าว “โทษตายพอละเว้นได้! แล้วก็ไม่ใช่ว่าเจ้าชอบจองจำผู้อื่นนักไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ก็ถึงคราวที่เจ้าจะต้องถูกข้าจองจำบ้าง! เจ้าเข้าไปในอารามวิถีสวรรค์เดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายเสียตรงนี้นี่แหละ!”
เย่เย่ก็ได้สลับชั้นของอารามวิถีสวรรค์ และคิดที่จะใช้มิติพิเศษในชั้นที่ 8 ของอารามวิถีสวรรค์เพื่อจองจำผู้อาวุโสเป่ยซาน สภาพแวดล้อมของชั้นที่ 8 นั้นโหดร้ายอย่างสุดๆ มีทั้งหายนะต่างๆและสภาพอากาศที่เลวร้ายอย่างสุดๆ ถึงแม้ว่าจะพอมีพลังปราณในอากาศอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เหมาะสมแก่การใช้ฝึกวิชาเมื่อเทียบกับชั้นที่ 9
ชั้นนี้เดิมทีถูกใช้โดยประมุขอารามวิถีสวรรค์เพื่อใช้ขัดเกลาทั้งร่างกายและจิตใจ และในเวลานี้มันก็เหมาะที่จะใช้จองจำผู้อาวุโสเป่ยซานมากที่สุด
“เอ่อ! คือว่า!”
ผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นเคยได้ยินเรื่องตำนานอารามวิถีสวรรค์มาเป็นเวลานานแล้ว เขาจึงได้รู้สึกหวาดกลัวอารามนี้ขึ้นมาในใจ และเมื่อเขาได้ยินว่าเย่เย่นั้นคิดที่จะจองจำเขาไว้ในอารามวิถีสวรรค์แล้ว ผู้อาวุโสเป่ยซานก็ได้รู้สึกหนาวเย็นสุดขั้วหัวใจขึ้นมา และมองไปที่ดวงตาของเย่เย่เพื่อขอความเมตตา
“จะเข้าไปในอารามหรืออยากตาย เจ้าเลือกเอาเอง!”
แต่ทว่าดวงตาของเย่เย่นั้นก็ได้หนาวเย็นอย่างสุดๆ และแน่นอนว่าไม่มีทางเลือกที่ 3 ให้ผู้อาวุโสเป่ยซานอย่างแน่นอน
ไม่ว่าผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นจะสำนึกผิดได้จริงๆหรือไม่หลังจากเหตุการณ์นี้ แต่เย่เย่นั้นไม่อาจที่จะรับความเสี่ยงของการปล่อยให้เขากลับไปที่บ้านสกุลเหยียนอย่างปลอดภัยได้ ถ้าหากว่าผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นเกิดเผยความลับของเขาออกไป เกรงว่าทั่วทั้งแผ่นดินว่านหลิงคงได้ไม่มีที่ให้เขาอยู่แน่ ดังนั้นท่าทีของเย่เย่จึงได้แน่วแน่มาก ขอเพียงผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นขัดขืนแม้แต่คำเดียว เขาก็จะโจมตีใส่ผู้อาวุโสเป่ยซานอย่างสุดกำลังและสังหารเขาให้ตายทันที
ท่ามกลางความสิ้นหวัง ผู้อาวุโสเป่ยซานก็ทำได้แค่หันหน้าและเดินเข้าไปในอารามอย่างเงียบๆ
เมื่อร่างของเขาได้หายเข้าประตูที่อยู่ชั้นแรกของอารามวิถีสวรรค์ไปแล้ว เย่เย่ก็ได้ทำการควบคุมอารามวิถีสวรรค์แล้วย้ายเอาผู้อาวุโสเป่ยซานไปไว้ที่ชั้น 8
หลังจากที่เสร็จเรื่องแล้ว เย่เย่ก็ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แล้วเขาก็ได้เปลี่ยนอารามวิถีสวรรค์กลับไปเป็นแหวนแล้วสวมกลับเข้านิ้วโป้ง แล้วเกราะสีดำที่เขาสวมอยู่นั้นในที่สุดก็เริ่มทนไม่ไหวและได้กลับคืนสู่สภาพลูกประคำสีดำ
เย่เย่ที่ถือลูกประคำสีดำอยู่ในมือนั้น ใบหน้าของเขานั้นก็ได้ยิ้มออกมาอย่างฝืนๆ ตัวเขานั้นไม่รู้เลยว่าชุดเกราะอารามวิถีสวรรค์นั้นจะสามารถฟื้นคืนกลับมาอย่างเต็มที่ได้เมื่อไร
ซึ่งการใช้ชุดเกราะอย่างเร่งด่วนในครั้งนี้ ได้ทำให้กระบวนการฟื้นคืนของชุดเกราะนั้นได้หยุดชะงักลง และรอยแตกบนลูกประคำนั้นก็ได้กลับมาปรากฏอย่างชัดเจนอีกครั้ง และระยะเวลาในการซ่อมแซมตัวเองของมันก็ได้ยืดเยื้อออกไปอีก วันที่เย่เย่จะได้ใช้ชุดเกราะสวรรค์นภาทมิฬได้อย่างอิสระนั้นก็ต้องถูกเลื่อนออกไปอีก
“เฮ้อ ยังไงก็แก้ไขอะไรไม่ได้อยู่แล้ว! ต่อจากนี้ไปก็ต้องระวังตัวให้มากกว่านี้และอย่าได้เจอกับเหตุการณ์เช่นนี้อีก!”
หลังจากที่เย่เย่ถอนหายใจออกมา ก็ได้เก็บเอาลูกประคำสีดำกลับไปและเลิกคิดฟุ้งซ่าน
เขาหยิบเอายาออกมารักษาอาการบาดเจ็บของเขา แล้วจากนั้นก็ได้มุ่งหน้าไปยังบ้านหลักสกุลเหยียน
เพราะการระเบิดที่รุนแรงที่ภูเขาเหยียนเป่ยนั้น ก็ได้ทำให้ตระกูลเหยียนนั้นตกอยู่ในความโกลาหล
ถึงแม้ว่าเหล่าคนในระดับสูงของตระกูลเหยียนนั้นจะเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวของผู้อาวุโสเป่ยซาน และนึกภาพการต่อสู้ที่จบลงด้วยความพ่ายแพ้ไม่ออก แต่พวกเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตุ๊มๆต่อมๆในใจของพวกเขา
แม้แต่ผู้อาวุโสถงอวิ๋นกับผู้อาวุโสฮว๋าเฟิงที่ปกติจะเก็บตัวฝึกวิชาอยู่นั้น ก็ต้องตกใจกับเสียงระเบิดและออกมาสถานที่ที่พวกเขาเก็บตัวฝึกวิชามาอยู่ตรงหน้าของพวกเหยียนเจิ้นตง
“นี่มันเกิดอะไรกันขึ้น?”
ผู้อาวุโสฮว๋าเฟิงนั้นแม้จะดูอายุราวๆ 50 แต่อายุจริงๆของเขานั้นก็มากกว่านั้นหลายเท่าแล้ว และทันทีที่เขาปรากฏตัวออกมา ก็ได้ตะโกนบอกกับเหยียนเจิ้นตงด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ไม่เก่ง
“ฮว๋าเฟิงอย่าเพิ่งวู่วามให้พวกเขาได้ใจเย็นๆลงก่อน แล้วบอกพวกข้ามาสิว่ามันเกิดเรื่องอะไรกันขึ้น!”
หลังจากที่ผู้อาวุโสถงอวิ๋นได้เกลี้ยกล่อมผู้อาวุโสฮว๋าเฟิง เขาก็ได้หันหน้าไปหาเหยียนเจิ้นตงแล้วกล่าว “เจิ้นตง ดูเหมือนว่าเมื่อสักครู่จะมีคนต่อสู้กันอย่างรุนแรงที่ภูเขาเหยียนเป่ย หรือว่าผู้อาวุโสเป่ยซานกำลังต่อสู้กับศัตรูของตระกูลเหยียนอย่างนั้นเหรอ?”
ด้วยคำพูดของผู้อาวุโสถงอวิ๋น เหยียนเจิ้นตงก็ได้สติคืนกลับมา เขาก็ได้เล่าคร่าวๆให้ผู้อาวุโสทั้งสองฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากที่เหยียนลี่หยางกลับมา จากนั้นเขาก็ได้ยืนอยู่เงียบๆและไม่ได้พูดอะไรต่อ เพื่อรอฟังการตัดสินใจของผู้อาวุโสถงอวิ๋นกับฮว๋าเฟิง
“ผู้มาจุติเย่เย่อย่างนั้นเหรอ?”
ทั้งผู้อาวุโสถงอวิ๋นกับผู้อาวุโสฮว๋าเฟิงนั้นต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียดหลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ และตกอยู่ในความเงียบพร้อมกับชื่อของเย่เย่ที่ออกมาจากปากของพวกเขา
เช่นเดียวกันกับพวกเหยียนเจิ้นตง พวกเขานั้นต่างก็เชื่อมั่นในพลังของผู้อาวุโสเป่ยซาน แต่พวกเขาเองก็รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ลำพังผู้อาวุโสเป่ยซานคนเดียวจะทำให้เกิดเสียงดังเช่นนี้ได้
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง ผู้อาวุโสถงอวิ๋นก็ได้พูดกับผู้อาวุโสฮว๋าเฟิง “ฮว๋าเฟิง เจ้าคอยระวังอยู่ที่บ้านสกุลเหยียนก่อน เดี๋ยวข้าจะเข้าไปในเขาเหยียนเป่ยเพื่อไปดูเอง”
ผู้อาวุโสฮว๋าเฟิงก็ได้ตกตะลึงไปชั่วขณะ แต่จากนั้นก็ได้ผงกหัวและกล่าวกับผู้อาวุโสถงอวิ๋น “ได้ เจ้าก็ระวังตัวด้วย!”
แน่นอนว่าจักรพรรดิเทพทั้งสองคนนี้ต่างก็รู้ดีว่าเรื่องนี้อาจจะอยู่เหนือการควบคุมของพวกเขาไปแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ พวกเขาทั้งคู่ก็จำต้องระวังตัวให้มาก
แต่ทว่าก่อนที่ผู้อาวุโสถงอวิ๋นจะได้ออกไปจากบ้านสกุลเหยียนนั้น ผู้คุมที่รับหน้าที่เฝ้าเหยียนลี่หยางในคุกตระกูลเหยียนนั้นก็ได้รีบวิ่งแจ้นเข้ามาในห้อง และรายงานต่อถงอวิ๋นคนอื่นๆ “เรียนผู้อาวุโสทั้งสอง ผู้นำตระกูลคนใหม่เหยียนเทียนหรานได้ถูกสังหารในคุกครับ และเหยียนลี่หยางก็ได้หายตัวไปแล้วด้วยครับ!”
“อะไรนะ?”
“เหยียนเทียนหรานตายงั้นเหรอ?”
“แล้วทำไมเขาถึงได้ไปอยู่ในคุกได้?”
“เร็วเข้ารีบไปเอาศพเขามาที่นี่ ข้าจะทำการชันสูตรศพด้วยตัวข้าเอง!”
เมื่อเหล่าคนในระดับสูงของตระกูลได้ทราบข่าวนี้ สีหน้าของพวกเขาก็ได้ว้าวุ่นใจกันอย่างสุดๆ
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เหยียนเทียนหรานนั้นก็เป็นตัวตนที่สำคัญในตระกูลเหยียน ดังนั้นพวกเหยียนเจิ้นตงจึงได้ตอบสนองในทันทีทันใดและตัดสินใจที่จะหาเงื่อนงำจากศพของเหยียนเทียนหราน
“ไม่จำเป็นต้องชันสูตรศพหรอก ข้าเป็นคนช่วย เหยียนลี่หยางออกไปเอง! ส่วนเรื่องของเหยียนเทียนหรานนั้นก็บอกได้แค่ว่าเขานั้นโชคร้ายอยู่ผิดที่ผิดเวลาก็เท่านั้น!”
แล้วในเวลานี้เองก็ได้มีเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากข้างนอกห้อง เมื่อพวกเหยียนเจิ้นตงหันหน้ามามองก็พบว่าเป็นเย่เย่ที่กำลังเดินอยู่ตรงหน้าพวกเขา
ถึงแม้ว่าเย่เย่จะมีเลือดติดอยู่ตามตัวและใบหน้าก็ซีดเผือด แต่ในดวงตาของเขาก็มีความเยือกเย็นหลังจากชัยชนะปรากฏอยู่ ราวกับว่าตัวเขานั้นไม่เห็นตระกูลเหยียนเป็นภัยอีกต่อไปแล้ว
“เย่เย่ เจ้า!”
เมื่อเห็นเช่นนี้เหยียนเจิ้นตง, เหยียนเสียอวิ๋นและคนอื่นๆต่างก็พอจะเดาอะไรบางอย่างได้ แล้วใบหน้าของพวกเขาก็ได้มีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อปรากฏออกมา
เมื่อผู้อาวุโสถงอวิ๋นกับผู้อาวุโสฮว๋าเฟิงนั้นได้ยินเสียงของเหยียนเจิ้นตง พวกเขาต่างก็รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานี้ก็คือ เย่เย่นั่นเอง สีหน้าของพวกเขาทั้งคู่จึงได้ตึงเครียดกันอย่างสุดๆ และในขณะเดียวกันก็ได้แผ่พลังกดดันในระดับจักรพรรดิเทพออกมาห้อมล้อมตัวของเย่เย่เอาไว้
ตูม!
จักรพรรดิเทพสองคนก็ได้ร่วมพลังกันปล่อยพลังกดดันออกมา ซึ่งได้ทำให้ทุกคนในห้องนั้นต่างก็รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกราวกับอากาศในห้องนั้นได้หายไป
เย่เย่ที่ตกเป็นเป้าหมายของทั้งคู่นั้น ก็ได้มีชั้นเหงื่อปรากฏออกมาที่หน้าผาก แต่ดวงตาของเขายังคงจับจ้องไปที่ผู้อาวุโสถงอวิ๋นและฮว๋าเฟิงด้วยสายตาที่แหลมคม
จากระดับพลังยุทธ์ของทั้งสองคนที่แผ่ออกมาแล้ว เย่เย่ก็พอจะเดาตัวตนของทั้งสองคนนี้ได้ แต่ทว่าเย่เย่นั้นทำให้ ผู้อาวุโสเป่ยซานที่อยู่ในระดับสูงสุดจักรพรรดิเทพเกือบตายมาแล้ว แน่นอนว่าตัวเขานั้นย่อมที่จะไม่กลัวแรงกดดันของสองยอดฝีมือจักรพรรดิเทพแต่อย่างใด ดังนั้นเขาจึงยังคงยืนเฉยอยู่ที่เดิมและมองไปที่ทั้งสองคนโดยไม่เผยความอ่อนแอให้เห็นแต่อย่างใด
“เจ้าคือเย่เย่สินะ? เจ้าเอาผู้อาวุโสเป่ยซานไปไว้ไหน? อย่าบอกนะว่าเจ้าสังหารเขาไปแล้ว!”
ผู้อาวุโสฮว๋าเฟิงที่กำลังเดือดดาลอยู่นั้น ก็ได้ทนไม่ไหวและถามคำถามเย่เย่ขึ้นมาก่อนใคร
แต่จากความจริงที่ว่าตัวเขานั้นยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมและไม่กล้าที่จะเดินเข้ามาหาเย่เย่นั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ผู้อาวุโสฮว๋าเฟิงเองก็ยังคงรู้สึกกลัวเย่เย่อยู่เหมือนกัน
แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าโอกาสที่เย่เย่จะเป็นอันตรายต่อเขาจะต่ำมาก แต่ทว่าผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นก็เป็นตัวอย่างที่ดีกับเขาแล้ว ทำให้เขาต้องระวังตัวอย่างช่วยไม่ได้
ผู้อาวุโสถงอวิ๋นนั้นก็ได้มองไปที่เย่เย่ด้วยสายตาที่ระแวดระวังเช่นกัน และมีความหวาดหวั่นขึ้นมาในใจของเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นไม่อยากที่จะยอมรับ แต่ดูจากความจริงที่ว่าเย่เย่นั้นกลับมาที่บ้านสกุลเหยียนเพียงลำพังแล้ว ก็เป็นไปได้มากที่ผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นจะถูกเย่เย่ใช้พิษใส่ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสถงอวิ๋นหรือผู้อาวุโสฮว๋าเฟิงต่างก็ไม่กล้าที่จะโจมตีใส่เย่เย่ในทันที และกลัวว่าถ้าหากพวกเขาพลาดท่าให้กับ เย่เย่แล้ว ก็อาจจะต้องจบลงเช่นเดียวกันกับผู้อาวุโสเป่ยซาน
“ไม่ต้องเป็นห่วง ผู้อาวุโสเป่ยซานยังไม่ตายหรอก! แต่ในเวลานี้ตัวเขานั้นถูกอาจารย์ของข้าคุมตัวเอาไว้อยู่ และไม่รู้ว่าเมื่อไรที่เขาจะได้รับอิสรภาพคืนกลับมา!”
เย่เย่ก็ได้ฝืนทนไม่ให้ตัวเองนั้นพ่ายแพ้ต่อแรงกดดันของผู้อาวุโสถงอวิ๋นและผู้อาวุโสฮว๋าเฟิง และอธิบายให้พวกเขาทั้งสองคนฟังด้วยคำพูดที่เขาเตรียมมาก่อนล่วงหน้าแล้ว
อย่างไรเสียเย่เย่นั้นก็มีวรยุทธ์อยู่แค่ในระดับสูงสุด ราชันย์เทพ ต่อให้เขาสังหารผู้อาวุโสเป่ยซานได้ก็คงที่จะไม่มีใครเชื่อ ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาเองก็เรี่ยวแรงหมดก๊อกแล้ว ถ้าหากต้องปะทะกับ 2 ยอดฝีมือราชันย์เทพขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะจบลงที่เขาตายแน่ๆอยู่แล้ว
ดังนั้นในเวลานี้เย่เย่จึงทำได้แค่เพียงสร้างเรื่องอาจารย์ของเขาปลอมๆขึ้นมาเพื่อขู่อีกฝ่าย และอธิบายให้พวกเขารู้ถึงที่อยู่ของผู้อาวุโสเป่ยซาน และในขณะเดียวกันก็ต้องป้องกันตัวเองจากการเอาคืนของตระกูลเหยียนไปด้วย
และอย่างที่คาดเอาไว้ ผู้อาวุโสถงอวิ๋นกับ ผู้อาวุโสฮว๋าเฟิงนั้นต่างก็มีสีหน้าที่ตกตะลึงเมื่อพวกเขาได้ยินที่ เย่เย่กล่าว และในขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้มีความรู้สึกเกรงกลัวต่อยอดฝีมือที่คอยหนุนหลังเย่เย่อยู่
เพราะพวกเขานั้นรู้ดีกว่าใครว่าผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นแข็งแกร่งมากถึงเพียงใด หากใครก็ตามที่สามารถจับกุม ผู้อาวุโสเป่ยซานได้นั้น พวกเขาก็ไม่อยากจะคิดเลยว่าอีกฝ่ายนั้นจะมีวรยุทธ์อยู่ในระดับไหน?
ผู้อาวุโสถงอวิ๋นและผู้อาวุโสฮว๋าเฟิงนั้นต่างก็หันมามองกันเองและในขณะเดียวกันหยุดปล่อยพลังกดดันออกมา ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งคู่นั้นจะไม่เชื่อในคำพูดของเย่เย่ได้อย่างสนิทใจ แต่พวกเขานั้นก็ไม่สามารถหาเหตุผลอื่นได้ในเวลานี้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้ปรับเปลี่ยนท่าทีของพวกเขาและเริ่มมองเย่เย่เสียใหม่