ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 375 ปล้น
บทที่ 375
ปล้น
ชายวัยกลางคนก็ได้มองไปที่เย่เย่อย่างระแวดระวัง และพบว่าเย่เย่นั้นไม่ได้ดูเหมือนโจรที่ออกมาขวางถนนจริงๆ แล้วเขาก็ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
มีสายตาลับๆล่อปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา ในขณะที่ขับรถม้าไปหาเย่เย่ เขาก็ได้กล่าวกับเย่เย่ “ที่แท้น้องชายก็แค่ต้องการที่จะรับทราบข่าวสารเท่านั้น ที่สงสัยเจ้าไปเมื่อกี้ช่างขายขี้หน้าเสียจริงๆ! แต่ตอนนี้ข้านั้นจำต้องเดินทางไกลอยู่และยังมีงานล้นมืออีก ข้าจึงไม่มีเวลาที่จะหยุดตอบคำถามให้เจ้าหรอกนะ”
เมื่อเย่เย่เห็นสีหน้าของชายวัยกลางคนแล้วก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นคิดอะไรอยู่ จึงได้ปรากฏความดูหมิ่นขึ้นในใจของเขา แต่ที่ใบหน้าของเขานั้นยังคงอดกลั้นความรู้สึกนั้นไว้อยู่ แล้วกล่าวตอบชายวัยกลางคนไปอย่างสุภาพ “ข้าเข้าใจดี! แต่หากว่าท่านนั้นสามารถให้ข่าวสารที่ข้าต้องการได้ ตั๋วทองจำนวนพันใบนี้จะเป็นของท่าน!”
ในขณะที่พูดอยู่เย่เย่ก็ได้หยิบเอาตั๋วทองออกมาพันใบจากในแขนเสื้อของเขา เพราะตัวเขานั้นต้องการข่าวสารของตระกูลเหยียนอย่างเร่งด่วนที่สุด
เมื่อชายวัยกลางเห็นตั๋วทองในมือของเย่เย่แล้ว ก็ได้ปรากฏความโลภขึ้นมาจากบนใบหน้าของเขาอย่างไม่ปิดบัง แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ยินดีของเย่เย่แล้ว แทนที่เขาจะรีบรับเงินนั้นมาแต่กลับเลือกที่จะพูดเหมือนกับท้าทายอารมณ์ของเย่เย่ “ถึงแม้ว่าจะมีตั๋วทองให้เป็นพัน แต่งานของข้าก็เร่งด่วนมากจริงๆ! ได้โปรดให้อภัยข้าด้วยนะน้องชาย ข้าช่วยเจ้าไม่ได้จริงๆ!”
ถึงแม้ว่าเขาจะพูดเช่นนั้นแต่ชายวัยกลางก็ไม่ได้มีความคิดที่จะจากไปพร้อมกับรถม้าเลย ราวกับจะรอให้เย่เย่นั้นจ่ายมากขึ้นกว่าเดิม
เย่เย่ก็ได้โกรธขึ้นมาจนแทบอยากจะอัดอีกฝ่ายให้น่วม แต่เขาก็ได้ถอนหายใจออกมาด้วยใบหน้าที่เยือกเย็น แล้วก็ได้เก็บตั๋วทองกลับไปและคิดที่จะไปจากที่นี่
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ทั้งตัวของเขานั้นมีติดตัวอยู่แค่ 1 พันตั๋วทองเลย ต่อให้เย่เย่มีมากกว่านั้นเขาก็ไม่ให้เช่นกัน ชายวัยกลางคนนั้นโลภมากเสียจนเย่เย่นั้นเลิกสนใจที่จะซื้อขายกับเขา
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป!”
เมื่อเห็นเย่เย่กลับหลังหันและเดินจากไป ชายวัยกลางคนก็ได้รู้สึกคิดผิดขึ้นมาทันที และโดดลงจากรถม้าเพื่อไล่ตามเย่เย่
แต่ทว่าในชั่วขณะนี้เองที่มีกลุ่มชายใส่หน้ากากสีดำได้ปรากฏตัวออกมาจากพุ่มหญ้าข้างทางทั้งสองฝั่งถนน พวกเขาต่างก็พกดาบใหญ่และเข้าล้อมเย่เย่กับชายวัยกลางคนไว้ทันทีที่พวกเขาปรากฏตัว
“ข้าตัดถนนเส้นนี้และต้นไม้ข้าก็เป็นคนปลูก! ถ้าหากว่าเจ้าอยากที่จะใช้ถนนเส้นนี้ก็จ่ายเงินค่าถนนมาเสีย!”
ทันทีที่ปรากฏตัวชายร่างใหญ่ใส่หน้ากากก็ได้ตะโกนบอกเย่เย่กับชายวัยกลางคน และเปิดเผยตัวตนของพวกเขาที่เป็นโจรอยู่กลางถนน
ชายวัยกลางที่กำลังวิ่งไล่ตามเย่เย่เพื่อให้หยุดอยู่นั้น เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วก็ได้รีบถอยหลบไปข้างๆรถม้าทันที หลังจากที่มองไปที่ชายใส่หน้ากากแล้วมองไปที่เย่เย่แล้ว ก็ได้มีความโกรธขึ้นมาบนใบหน้าของเขาแล้วกล่าวกับเย่เย่ “ที่แท้เจ้าก็เป็นโจรจริงๆด้วย! เจ้าจงใจหยุดข้าเพื่อถ่วงเวลาอย่างนั้นสินะ!”
เย่เย่เองก็ตกใจเมื่อเห็นชายสวมหน้ากากกับพรรคพวกปรากฏตัวออกมา แต่ทว่าตัวเขานั้นไม่มีความคิดที่จะยุ่งกับโจรพวกนี้ จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงที่ชายวัยกลางคนพูดแล้วเย่เย่ก็ได้ยักไหล่ตอบและพูดตอบชายวัยกลางคน “ถ้าข้าอยากที่จะปล้นเจ้าจริงๆ ทำไมข้อจะต้องไปร่วมมือกับคนอื่นด้วย?”
อีกทางด้านหนึ่งชายสวมหน้ากากกับพรรคพวกนั้นก็ได้มองไปที่เย่เย่กับชายวัยกลางคนที่ไม่สนใจพวกเขาแล้ว ก็ได้มีความรู้สึกเหมือนถูกลูบคมปรากฏอยู่ในดวงตาของพวกเขา
“พวกเจ้าสองคนหูหนวกรึยังไง? รีบๆส่งเงินทั้งตัวของพวกเจ้ามาให้หมดเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดว่าให้ข้าต้องลงมือเองแล้วจะมาโทษข้าทีหลังไม่ได้นะ
แล้วชายสวมหน้ากากที่อยู่หน้าสุดก็ได้ปรากฏเจตนาสังหารขึ้นในดวงตาของเขา และในขณะเดียวกันก็ได้สั่งการให้ลูกน้องของเขานั้นเข้าล้อมเย่เย่กับชายวัยกลางคนเพื่อปิดทางหนีของทั้งคู่เอาไว้ ราวกับว่าพวกเขานั้นคิดที่จะโจมตีพวกเขาทั้งคู่ในชั่วขณะต่อไป
ในฐานะที่เป็นแก๊งโจรที่เพ่นพ่านอยู่รอบๆ เมืองเหยียนเป่ยแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกชายสวมหน้ากากนั้นทำอะไรเช่นนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะพูดดีๆด้วยแต่จริงๆแล้วต่อให้กับชายวัยกลางคนนั้นยอมมอบเงินให้ดีๆอย่างเชื่อฟัง พวกชายสวมหน้ากากก็ยังจะสังหารคนทันทีเพื่อความปลอดภัยของพวกเขา
จากในชั่วขณะที่พวกเขาได้ปรากฏตัวมาล้อมเย่เย่กับอีกคนเอาไว้ พวกเขานั้นก็ไม่คิดที่จะปล่อยให้ใครได้ออกไปจากพื้นที่นี้ได้อีก
“ถ้าข้าไม่จ่าย แล้วพวกเจ้าจะทำอะไรกับข้า?”
เย่เย่ที่ดูเหมือนจะรู้ถึงความคิดของชายสวมหน้ากากนั้น ก็ได้มีความประชดประชันปรากฏบนใบหน้าของเขา
“รนหาที่ตาย! เด็กๆจัดการมันก่อนเลย!”
ชายสวมหน้ากากนั้นไม่คิดว่าเย่เย่นั้นจะโอหังถึงขนาดนั้น และไม่ได้ใส่ใจกับการล้อมของพวกเขาเลย เขาจึงได้ตะโกนบอกกับเหล่าชายสวมหน้ากากที่เหลือ แล้วทุกคนรวมถึงตัวชายร่างใหญ่สวมหน้ากากเองก็ได้บุกเข้าไปหาเย่เย่ทันที แม้แต่ชายวัยกลางคนที่อยู่ใกล้ๆกับเย่เย่นั้นก็เหมือนจะไม่สนใจแม้แต่น้อยในเวลานี้
“เข้ามา!”
เย่เย่ก็ได้กล่าวกับชายสวมหน้ากากอย่างเย็นชา แล้วจากนั้นตัวของเขาก็ได้หายไปจากตรงนั้นทันที
ชายวัยกลางคนกับลูกน้องที่บุกเข้าไปหาเย่เย่จากทุกทิศทุกทางนั้น ต่างก็พบว่าที่ตรงนั้นได้ว่างเปล่าไปแล้ว
แล้วก็ได้มีเหงื่อกาฬไหลออกมาจากหน้าผากชายสวมหน้ากากในทันที ถึงแม้ว่าเขามีวรยุทธ์อยู่ในระดับจอมเทพแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาในเวลานี้
ตุบๆๆๆๆ!
ก่อนที่ชายสวมหน้ากากจะทันได้รู้สึกตัว ก็ได้มีเสียงดังมาจากข้างหลังของเขา
เขาพบเย่เย่ที่หายตัวไปเมื่อสักครู่นี้ ได้มาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังพวกเขา เย่เย่นั้นไม่ชอบพวกหัวขโมยฆาตกรเหล่านี้ตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นในทันทีที่เขาลงมือก็เล็งเข้าที่จุดตายทันที และทุกหมัดของเย่เย่นั้นก็ได้ทำให้เหล่าชายสวมหน้ากากๆค่อยๆพากันล้มลงไปตาย
“อ๊าก!”
“ช่วยด้วย!”
“ยกโทษให้ข้าด้วย!”
แล้วเหล่าชายสวมหน้ากากที่คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะพลิกกลับได้เร็วขนาดนี้ เย่เย่ที่ไม่ได้เปิดเผยตัวเองเมื่อสักครู่นั้น จะกลายเป็นปีศาจที่น่ากลัวทันทีที่เขาเปิดเผยตัวจริงออกมา
ทั้งหมัดและฝ่ามือของเขานั้นเปรียบเหมือนดั่งเคียวยมทูต ไม่มีชายสวมหน้ากากคนไหนที่ต้านทานหมัดของเย่เย่และรอดตายมาได้เลย
“หนีเร็ว!”
ชายสวมหน้ากากที่เป็นหัวหน้าที่เป็นหัวหน้านั้นก็ได้หวาดกลัวขึ้นมา ซึ่งในขณะที่กำลังตะโกนบอกลูกน้องนั้น เขาก็ได้รีบหันหลังกลับแล้ววิ่งหนีเข้าเมืองเหยียนเป่ยทันที
“คิดว่าจะหนีพ้นเหรอ?”
แต่ทว่าความเร็วของเย่เย่นั้นเหนือกว่าที่ชายสวมหน้ากากคาดเอาไว้มาก ซึ่งในขณะที่ชายสวมหน้ากากออกวิ่งนั้น เย่เย่ก็ได้มาปรากฏตรงหน้าเขาแล้วราวกับหายตัว และปิดบังทางหนีของชายสวมหน้ากากจนหมดสิ้น
“คุณชายพวกเราผิดไปแล้ว! พวกเราช่างมีตาแต่หามีแววไม่จริงๆ ได้โปรดปล่อยพวกเราไปเถอะนะ!”
เมื่อถึงจุดนี้แล้วไม่ว่าชายสวมหน้ากากนั้นจะโง่เพียงใด เขาก็พอจะเดาได้ว่าเย่เย่นั้นอย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดฝีมือระดับราชันย์เทพเป็นแน่ จึงได้รีบคุกเข่าลงไปขอความเมตตาจากเย่เย่ และทิ้งอาวุธในมือพวกเขาลงกับพื้นทันที
ชายสวมหน้ากากนั้นรู้สึกเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขาไม่คาดคิดว่าจะต้องมาเจอกับยอดฝีมือราชันย์เทพตัวจริงในพื้นที่ชานเมืองเช่นนี้ อย่างที่คนพูดกันเอาไว้“หากเดินในยามค่ำคืนมากเกินไปก็มีโอกาสที่จะเจอผีเอาได้” ชายสวมหน้ากากนั้นไม่เคยเข้าใจถึงความหมายนั้นมาก่อนจนกระทั่งวันนี้ตัวเขาก็ได้เข้าใจ
“ปล่อยพวกเจ้าไปอย่างนั้นเหรอ? คิดว่าเจ้าคู่ควรอย่างนั้นเหรอ?”
เย่เย่นั้นรับรู้ได้จากการร่วมมือกันเป็นอย่างดีของพวกชายสวมหน้ากากเมื่อสักครู่ และคิดว่าคงมีคนจำนวนไม่ร้อยที่ต้องตายด้วยน้ำมือของพวกเขา ดังนั้นต่อให้เหล่าชายสวมหน้ากากนั้นร้องขอความเมตตา ใบหน้าของเย่เย่กันก็ไม่ได้เผยซึ่งความเมตตาออกมาเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่ตอบคำถามชายสวมหน้ากากกลับไป เขาก็ได้ลงมือซัดเข้าไปที่หัวของชายสวมหน้ากากทันที หมายที่จะสังหารอีกฝ่ายให้สิ้น
“ว้าก!”
เมื่อเห็นว่าเย่เย่นั้นไม่ยอมหยุดมือง่ายๆ เหล่าชายสวมหน้าก็ได้ตะโกนออกมาแล้วต่อยเย่เย่อย่างสุดกำลังของเขา
ตูม!
แต่ทว่าความต่างของพลังของทั้งคู่นั้นมีมากจนเกินไป ในตอนที่หมัดของชายสวมหน้ากากปะทะเข้ากับฝ่ามือของเย่เย่นั้น ก็ได้ระเบิดออกกลายเป็นหมอกเลือดทันที
แล้วในชั่วขณะต่อมา ชายสวมหน้ากากก็ได้ถูกเย่เย่ซัดเข้าที่หัวด้วยฝ่ามือ และหัวใหญ่ๆของเขาก็ได้ระเบิดออกราวกับแตงโมระเบิด
“อ้วก~~”
เมื่อเห็นภาพนองเลือดที่น่าหวาดกลัวนี้เหล่าชายสวมหน้ากากที่ยังหนีไปได้ไม่ไกลก็ได้พากันสีหน้าซีดเผือด และสั่นไปทั้งตัวอย่างช่วยไม่ได้ มีบางคนที่ทนไม่ไหวถึงกับอ้วกออกมาทันทีหลังจากที่ได้กลิ่นคาวเลือดโชยออกมาจากชายสวมหน้ากากตัวลูกพี่
แต่ทว่าเย่เย่นั้นก็ไม่คิดที่จะปล่อยพวกเขาไปเพียงแค่เพราะเหตุผลแค่นี้ ซึ่งหลังจากที่จัดการกับชายสวมหน้ากากตัวลูกพี่เสร็จ เหล่าชายสวมหน้ากากที่มาที่นี่พร้อมกับตัวลูกพี่นั้นก็ได้ถูกเย่เย่สังหารจนสิ้น
แล้วกลิ่นเหม็นคาวเลือดก็ได้เข้ามาในจมูกของเย่เย่ แต่สีหน้าของเขายังคงนิ่งเฉยอยู่ได้ราวกับว่าเขานั้นไม่ได้รู้สึกถึงกลิ่นอะไรเลย
“อะไรน่ะ!”
ในขณะที่เย่เย่พบตั๋วทองจำนวนล้านใบจากในตัวของลูกพี่สวมหน้ากากแล้ว ก็ได้มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขา
ดูเหมือนว่าโจรพวกนี้จะทำเช่นนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีตั๋วทองเป็นล้านขนาดนี้ ส่วนชายสวมหน้ากากคนอื่นๆนั้นถึงแม้ว่าจะไม่ได้ร่ำรวยเท่าตัวลูกพี่ แต่เมื่อนำมารวมๆกันแล้วก็เกือบๆ 1 ล้านตั๋วทองที่เย่เย่ได้มา
“น่าผิดหวังจริงๆ! ถ้าหากได้ตั๋วทองเพิ่มอีกสักหน่อย ก็คงจะซื้ออาคมที่ทรงพลังได้แล้ว!”
ในขณะที่เย่เย่ได้เก็บเงินที่ได้มาเกือบ 2 ล้านตั๋วทองเข้าไปในแขนเสื้อของเขานั้น ก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้อยู่ และในขณะเดียวกันเขาก็ได้หันไปมองที่ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างหลังเขา ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจแต่ดวงตาของเขานั้นก็ได้เต็มไปด้วยความหยอกเย้า
“คุณชายยกโทษให้ข้าด้วย! ข้าจะยอมยกของมีค่าทั้งหมดในตัวของข้าให้เลยก็ได้ แต่ได้โปรดไว้ชีวิตน้อยๆของข้าไปเถอะนะ!”
ดูเหมือนว่าชายวัยกลางคนนั้นเพิ่งจะได้สติคืนมาหลังจากที่เป็นพยานการสังหารเหล่าโจรของเย่เย่ แล้วพอเย่เย่ได้หันมาทางเขานั้นก็ได้ทำความกลัวของเขาพุ่งทะยานทันที จึงได้รีบหยิบเอาของมีค่าที่ติดตัวทั้งหมดออกมาให้เย่เย่และร้องขอความเมตตา
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเย่เย่หมายถึงอะไรเมื่อสักครู่ แต่ชายวัยกลางคนนั้นก็พอจะเดาได้จากคำพูดนั้น ว่าเย่เย่นั้นคงหมายตาของมีค่าของเขาเหมือนกับเหล่าโจรพวกนั้นแน่ๆ แต่เพราะว่าเย่เย่นั้นแข็งแกร่งมากจนเกินไป นอกจากนี้ตัวเขาก็ได้ไปล่วงเกินอีกฝ่ายไปแล้วด้วย ดังนั้นชายวัยกลางคนจึงได้ไม่กล้าที่จะขัดขืนอีก และรีบไปหาเย่เย่พร้อมด้วยเสนอตั๋วทองและเพชรพลอยต่างๆของเขา
“นี่เจ้าเห็นข้าเป็นใคร? ข้าไม่ใช่ขโมยนะ ข้าจะไปเอาทรัพย์สินของเจ้าไปทำไมกัน?”
ชายกลางคนนั้นไม่คาดคิดว่าหลังจากที่เขาหยิบเอาของมีค่าออกมามอบให้ แต่เย่เย่กลับปฏิเสธที่จะรับทันทีเช่นนี้ ทำให้เขาคิ้วขมวดขึ้นมา แล้วเขาก็ได้เดินมาอยู่ตรงหน้าชายวัยกลางคนพร้อมกับยืนกอดอก แล้วทำเป็นโมโหอย่างมากและคิดที่จะถามชายวัยกลางคนสัก 2 คำถาม
แต่ชายกลางคนนั้นก็ได้ไม่กล้าที่จะทำอะไรอีกต่อไป แต่เขาก็ได้ฝืนทนหยิบเอาตั๋วทองและเพชรพลอยทั้งหมดออกมา แล้วในเดียวกันเขาก็ได้กล่าวกับเย่เย่ด้วยน้ำเสียงที่กระวนกระวาย “มิได้ๆ ข้าเมื่อสักครู่ข้าผิดต่อท่านจริงๆ เป็นตัวข้าที่มีตาแต่หามีแววไม่ ข้าจะได้รู้สึกเบาใจลงหากว่าข้าได้มอบทรัพย์สินทั้งหมดของข้าให้กับคุณชาย ขอคุณชายได้โปรดเห็นแก่ความจริงใจของข้าและยอมรับข้อเสนอของข้าด้วย!”