ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 374 หลบหนี
บทที่ 374
หลบหนี
“อย่าคิดหนี!”
ผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นไม่สนต่อท่าทีของเหยียนเทียนหรานกับพวกเหยียนเจิ้นตง ซึ่งหลังจากที่โผล่มาดักหน้าเย่เย่แล้ว เขาก็ได้ต่อยใส่เย่เย่ที่อยู่ตรงหน้าเขาทันที
แล้วในตอนนั้นเองที่เย่เย่รู้สึกราวกับว่าพื้นที่ว่างตรงหน้าเขานั้นกำลังถาโถมเข้ามากดทับเขา
ตูม!
พลังปราณในอากาศจากทั่วทั้งภูเขาเหยียนเป่ยก็เหมือนจะถูกเรียกให้มารวมกัน และในขณะเดียวกันกับที่ ผู้อาวุโสเป่ยซานกำลังต่อยเย่เย่ ก็ได้มีพลังปราณในอากาศที่ไม่มีวันหมดได้หลั่งไหลเข้ามาที่หมัดของผู้อาวุโสเป่ยซาน ทำให้หมัดของเขานั้นใหญ่และทรงพลังมากขึ้น
ใบหน้าของเย่เย่ก็ได้เคร่งเครียดขึ้นมาอย่างสุดๆ และโดยไม่ลังเลเขาก็ได้กวัดแกว่งกระบี่เจ็ดดาราสะท้านเทพแล้วฟาดฟันใส่หมัดของผู้อาวุโสเป่ยซาน
ตูมมมม!
เกิดเป็นลูกบอลแสงปรากฏขึ้นระหว่างทั้งสองคน แล้วจากนั้นก็ได้ค่อยๆขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งระเบิดออก เกิดเป็นแรงระเบิดที่ทรงพลังทำให้โต๊ะ, เก้าอี้และม้านั่งในห้องนั้นกระเด็นกระจัดกระจายในทันที แม้แต่เหล่าคนในระดับสูงของตระกูลเหยียนบางคนที่ไม่ทันตั้งตัวก็ได้กระเด็นออกมาด้วยแรงลมกรรโชกที่เกิดขึ้น
เย่เย่เองก็ได้ถอยออกมาอย่างรวดเร็ว ที่หน้าอกของเขาก็ได้รับผลกระทบจากแรงระเบิดเมื่อสักครู่
“อึ่ก!”
แต่เย่เย่ก็ได้ฝืนกลืนเลือดกลับเข้าไป แล้วจากนั้นก็ได้มองไปที่ผู้อาวุโสเป่ยซานที่อยู่อีกฝั่งด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดหนัก และคิดหาหนทางหนีโดยไว
“ยอมรับชะตากรรมเสียเถอะ! เจ้าหนีเงื้อมมือของข้าไปไม่พ้นหรอก!”
ผู้อาวุโสเป่ยซานก็ได้ดูถูกการดิ้นรนของเย่เย่ หลังจากที่ทำให้เย่เย่ต้องถอยไปได้ด้วยหมัดหนึ่ง เขาก็ได้ทำร้ายเย่เย่ซ้ำอีก และเผยกระบวนท่าฝ่ามือเทพพันกรใส่เย่เย่
ตูม!
ก็ได้มีฝ่ามือเงาปรากฏออกมาเต็มไปทั้งห้องทันที และปิดทางหนีของเย่เย่จนหมดสิ้น
เกิดเป็นลมกรรโชกและพลังปราณในอากาศก็ได้เกิดการปั่นป่วนขึ้นมา
เมื่อเห็นเช่นนี้เหยียนเจิ้นตงกับพรรคพวกก็ได้มีสีหน้าหวาดกลัวและพากันรีบหนีออกจากห้องเพื่อหลีกเลี่ยงลูกหลงที่เกิดจากกระบวนท่าของผู้อาวุโสเป่ยซาน
แต่ทว่าเย่เย่นั้นก็ไม่ได้คิดหลบหนีแต่กลับพุ่งเข้าใส่แทน และก่อนที่ฝ่ามือเงาในอากาศจะมาถึงตัว เขาก็ได้กวัดแกว่งกระบี่เข้าฟาดฟันใส่ผู้อาวุโสเป่ยซาน
ดวงตาของเขานั้นแน่วแน่อย่างสุดๆ ราวกับเขาคิดที่จะตายไปพร้อมกับผู้อาวุโสเป่ยซาน
“หึ! ไม่เจียมกะลาหัว!”
แต่ผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นไม่ได้ใส่ใจเย่เย่เลยแม้แต่น้อย เขาได้ยื่นมือของเขาออกมาและคว้าตัวเย่เย่เอาไว้ก่อนที่จะพุ่งเข้ามาตรงหน้าเขา
แล้วฝ่ามือเงาในอากาศนั้นก็ได้เร่งความเร็วและพุ่งเข้าถล่มใส่เย่เย่อย่างสุดกำลังทันที
ตุบๆๆๆๆ!
ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะกวัดแกว่งกระบี่เพื่อตอบโต้อย่างเต็มที่ แต่เพราะมีฝ่ามือเงาเป็นจำนวนมากเกินไป ทำให้เขายังโดนกระบวนท่านี้ของผู้อาวุโสเป่ยซานไปบางส่วน ก็ได้มีเสียงดังมาจากตัวของเย่เย่อย่างต่อเนื่องราวกับมีสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนฟาดใส่ตัวของเย่เย่ และตัวของเขาก็ได้ถูกฉีกเป็นชิ้นๆไปก่อนที่เขาจะได้ยอมแพ้เสียอีก
“อุ่ฟ!”
เย่เย่ก็ได้กระอักเลือดออกมาคำโต ใบหน้าของเขาก็ได้ซีดเผือดและตัวของเขาก็ได้ถูกทุบจนลงไปกองกับพื้นด้วยฝ่ามือเงา ลมหายใจของเขานั้นปั่นป่วนอย่างสุดๆแสดงให้เห็นว่าตัวเขานั้นถูกโจมตีอย่างหนัก
แต่ที่ผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นคาดไม่ถึงคือเย่เย่นั้นยังจะสามารถรอดมาจากการถล่มด้วยฝ่ามือเทพพันกรได้ และไม่เพียงแค่นั้นแต่ยังกลับมาลุกขึ้นได้อย่างรวดเร็วได้อีกและพุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโสเป่ยซานอีกหน
“การต่อสู้กับสัตว์อสูรที่ถูกขังนั่น มันไม่ทำให้เจ้าได้เรียนรู้บ้างรึยังไง?”
เมื่อเห็นว่าเย่เย่นั้นยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ผู้อาวุโสเป่ยซานก็ได้ส่ายหัวอย่างดูถูก แล้วจากนั้นก็ได้ขยับขาของเขาและอาศัยโอกาสนี้มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเย่เย่และต่อยเขาอีกหน!
ตูม!
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้กระบวนท่า แต่หมัดของ ผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นก็ยังเต็มไปด้วยพลังปราณอากาศจากภูเขา เหยียนเป่ย ทำให้หมัดนี้ของเขานั้นพุ่งเข้าใส่เย่เย่ราวกับกับอุกกาบาตพร้อมด้วยแรงกดดันที่น่ากลัว
เย่เย่เองก็ไม่รอช้าและกวัดแกว่งกระบี่เจ็ดดาราสะท้านเทพเข้าสวนกับหมัดของผู้อาวุโสเป่ยซานทันที
ตูม!
เกิดเสียงระเบิดที่รุนแรงจากการปะทะของทั้งสองคนอีกหน แต่ต่างไปจากเมื่อสักครู่เพราะร่างของเย่เย่นั้นได้กระเด็นออกไปเพราะผลพวงจากแรงระเบิด แล้วตัวของเขาก็ได้กระเด็นออกห่างจากผู้อาวุโสเป่ยซานทันที
“ตอนนี้ล่ะ!”
โดยที่ผู้อาวุโสเป่ยซานไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ได้มีแสงปรากฏจากในดวงตาของเย่เย่ แล้วก็ได้พุ่งตัวไปที่ทางออกห้อง และคิดที่จะอาศัยโอกาสนี้หนีออกไปให้ได้
“เจ้าคิดเหรอว่าข้าจะไม่รู้ทันความคิดเจ้าน่ะ? มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่คิดว่าจะหนีไปจากข้าได้น่ะ!”
แต่ทว่าผู้อาวุโสเป่ยซานที่เพิ่งจะชกเย่เย่ไปนั้น ก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเย่เย่อีกหนและปิดหนทางหนีของเย่เย่จนสิ้น
สายตาที่เขามองมาที่เย่เย่นั้นเต็มไปด้วยความดูถูกดูหมิ่น ราวกับว่าตัวเขานั้นรู้ดีถึงลูกไม้ของเย่เย่มานานแล้ว
“งั้นเหรอ? แล้วท่านได้เก็บเอากระบี่เล่มนี้ไปคิดด้วยหรือเปล่า?”
เมื่อเห็นว่าทางถูกปิดโดยผู้อาวุโสเป่ยซานแล้ว แต่ใบหน้าของเย่เย่นั้นก็ไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวออกมา และในชั่วขณะที่ผู้อาวุโสเป่ยซานได้มาโผล่ตรงหน้าเขา ก็ได้กวัดแกว่งกระบี่ไปยังหน้าอกของผู้อาวุโสเป่ยซานแล้วจัดการฟันอย่างรวดเร็ว
ฉึก!
เดิมทีมันเป็นเรื่องยากมากที่จะฝ่าทะลุการป้องกันของผู้อาวุโสเป่ยซานไปได้ แต่ในเวลานี้กลับง่ายเหมือนกับตัดเต้าหู้ และเกิดเป็นแผลขนาดใหญ่ที่หน้าอกของผู้อาวุโสเป่ยซาน
ผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นไม่ทันระวังตัวจึงได้ถูกกระบี่เจ็ดดาราสะท้านเทพในมือของเย่เย่นั้นแทงเข้าไปที่บาดแผลที่ยังหลงเหลือจากการต่อสู้กับสัตว์อสูรเพลิงสิ้นก่อนหน้า จนเลือดสีแดงก็ได้ไหลพุ่งออกมาจากหน้าอกของผู้อาวุโสเป่ยซานทันที
“อ๊าก!”
ผู้อาวุโสเป่ยซานก็ได้ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและได้ถอยห่างออกมาจากเย่เย่เพื่อกันไม่ให้บาดแผลของเขานั้นหนักมากขึ้นไปอีก
เย่เย่จึงได้อาศัยโอกาสนี้หลบหนีออกไปยังทางออกของห้องนี้ และหายลับสายตาของผู้อาวุโสเป่ยซานและพวก เหยียนเจิ้นตงในชั่วพริบตา
หลังจากที่เหยียนเจิ้นตงกับพรรคพวกเห็นเหตุการณ์นี้แล้ว พวกเขาต่างก็พากันมีสีหน้าอ้ำอึ้ง
พวกเขานั้นต่างก็ไม่คาดคิดว่าการต่อสู้จะจบลงเช่นนี้ ซึ่งสถานการณ์ได้กลับตาลปัตรทันทีเพราะบาดแผลเก่าของ ผู้อาวุโสเป่ยซาน
ในเวลานี้ไม่เพียงแต่เย่เย่นั้นจะสามารถหลบหนีไปจากบ้านสกุลเหยียนได้สำเร็จ แต่อาการบาดเจ็บของผู้อาวุโสเป่ยซานที่ยังไม่หายดีนั้นก็ได้อาการหนักขึ้นไปอีก เหยียนเจิ้นตงนั้นไม่อยากจะคิดถึงเลยว่าผู้อาวุโสเป่ยซานในเวลานี้อาการหนักเพียงไหน?
อีกทางด้านหนึ่งเย่เย่ที่หนีรอดจากบ้านสกุลเหยียนมาได้สำเร็จนั้น ก็ได้ออกมาจากเขาเหยียนเปี่ย ซึ่งเขาก็ได้หลบหนีมายังหมู่บ้านหนึ่งบริเวณชานเมืองเหยียนเป่ย ซึ่งเขาได้หยุดพักรักษาตัวที่นั่น
ถึงแม้ว่าเขาจะอาศัยความจำของเขาแทงเข้าไปยังแผลเก่าของผู้อาวุโสเป่ยซานอย่างแม่นยำและหลบหนีออกจากบ้านสกุลเหยียนได้สำเร็จ แต่เย่เย่เองก็ต้องจ่ายค่าเสียหายไปหนักหน่วงอยู่ ในชั่วขณะที่เขาโดนกระบวนท่าของผู้อาวุโสเป่ยซานนั้น อวัยวะภายในกายของเขานั้นเกือบจะฉีกขาดทั้งหมด ถ้าหากว่าเย่เย่ไปไม่ได้ฝืนใช้พลังปราณให้รักษาสภาพการทำงานของร่างกายแล้ว ก็เกรงว่าตัวเขาคงจะนอนแน่นิ่งกับพื้นและลุกขึ้นมาอีกไม่ได้แล้ว
ถึงแม้ว่าการไปที่หมู่บ้านหนึ่งเพื่อรักษาตัวนั้นจะทำให้อาการบาดเจ็บของเย่เย่หายเร็วขึ้นก็ตามที แต่เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการเป็นเป้าสายตาเย่เย่ก็ได้มองหาถ้ำถ้ำหนึ่งใกล้ๆหมู่บ้านนั้นแล้วเก็บตัวอยู่ที่นั่นเพื่อรักษาตัว และโชคยังดีที่เขาได้พกยารักษาติดตัวมาด้วย ไม่อย่างนั้นหากอาศัยแค่การรักษาอาการบาดเจ็บอย่างเงียบๆเพียงอย่างเดียวแล้ว ก็ไม่รู้เลยว่าจะต้องใช้เวลานานสักแค่ไหนถึงจะฟื้นฟูอย่างเต็มที่ได้
หมู่บ้านที่อยู่ไม่ไกลจากถ้ำที่เย่เย่พักรักษาตัวอยู่นั้น เป็นหมู่บ้านที่ค่อนข้างคึกคักกว่าหมู่บ้านทั่วๆไปจนเกือบจะเป็นเมืองเล็ก ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าอยู่ใกล้กับเมืองเหยียนเป่ย จึงได้ทำให้หมู่บ้านชานเมืองเช่นนี้ถึงได้ดูคึกคักกว่าที่เย่เย่คิดเอาไว้ และมีผู้คนที่ไปมายังหมู่บ้านนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าหากเย่เย่ไม่ปิดปากถ้ำนี้เอาไว้ ก็เกรงว่าคงจะเป็นไปได้ยากที่เขาจะหายจากอาการบาดเจ็บอย่างเต็มที่ได้
3 วันผ่านไปอาการบาดเจ็บของเย่เย่ก็ได้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่หายสนิทดีแต่ความแข็งแกร่งของเขาก็ได้ฟื้นฟูมาเกือบเต็มที่แล้ว
และในขณะที่เขาออกมาจากถ้ำนั้นเอง เขาก็ได้นึกถึงปัญหาที่ตามขึ้นมาได้ การที่เขามาที่บ้านสกุลเหยียนพร้อมด้วย เหยียนลี่หยางเช่นนี้ เย่เย่นั้นไม่คิดเลยว่ามันจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ถ้าหากเหยียนลี่หยางถูกจับตัวไปเช่นนี้ ความสัมพันธ์ของตัวเขากับตระกูลเหยียนก็จะถูกตัดขาด แล้วหนทางภายภาคหน้าของเย่เย่กับเมืองโม่ไห่ก็คงจะไม่ราบรื่นเป็นแน่
“ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เราจะต้องช่วยเหยียนลี่หยางออกมาให้ได้!”
หลังจากที่เย่เย่ครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง ก็ได้มีแสงปรากฏออกมาจากในดวงตาของเขา แล้วเขาก็ได้มองไปที่ภูเขา เหยียนเป่ยด้วยสายตาที่เฉียบคม
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เหยียนลี่หยางนั้นเป็นเหมือนมือขวาของเขา แต่เพราะเหยียนลี่หยางนั้นได้ช่วยเขามาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ดังนั้นเย่เย่ไม่ยอมนั่งรออยู่เฉยๆคอยดูตระกูลเหยียนขังเขาไว้ตลอดแน่ๆ ยิ่งไปกว่านั้นในเวลานี้ตัวเขานั้นก็ได้กลายเป็นศัตรูกับตระกูลเหยียนไปแล้ว ไม่ว่าจะเพื่อตัวเย่เย่หรือเมืองโม่ไห่ก็ดี มันก็ถึงเวลาที่เขาจะต้องลุยแล้ว แน่นอนว่าเย่เย่นั้นไม่ยอมแพ้ง่ายๆแน่
เพียงแต่มียอดฝีมือมากมายอยู่ในตระกูลเหยียน โดยเฉพาะความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นด้วยสภาพของเย่เย่ในปัจจุบันนั้นสู้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ต่อให้เขาสามารถใช้เกราะสวรรค์นภาทมิฬช่วยเพิ่มความสามารถได้ในระยะเวลาหนึ่งก็ตามที แต่ถ้าหากสถานการณ์ไม่อำนวยแล้วล่ะก็ สุดท้ายไม่เพียงแต่เขาจะช่วยเหยียนลี่หยางไม่ได้แล้ว เกรงว่าตัวเย่เย่เองก็คงจะจบไปด้วยแน่
ดังนั้นหลังจากที่ลังเลอยู่สักพักหนึ่ง เย่เย่ก็ได้ตัดสินใจที่จะสอดแนมหาข่าวสารภายในตระกูลเหยียนก่อนที่จะตัดสินใจลงมือ
เพื่อที่จะให้ได้ข้อมูลที่เขาต้องการแล้ว การจะให้อยู่ในถ้ำไปตลอดก็คงจะไม่ช่วยอะไร เย่เย่จึงคิดที่จะปลอมตัวแล้วกลับเข้าไปในเมืองเหยียนเป่ยเพื่อหาข่าว แต่เขานั้นกังวลมากว่าจะถูกพบเสียก่อนและนำไปแจ้งผู้อาวุโสเป่ยซาน จึงควรที่จะให้ใครสักคนเข้าไปถามถึงข่าวคราวในปัจจุบันของตระกูลเหยียน แต่เย่เย่นั้นก็ยังไม่พบคนที่เหมาะสมในเวลานี้จึงได้เป็นปัญหาอยู่สักพักใหญ่ๆ
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆก็มีรถม้าโผล่มาบนถนนที่ออกมาจากเมืองเหยียนเป่ยมายังหมู่บ้านนี้
รถม้าคันนี้ใหญ่พอสมควร เฉกเช่นเดียวกับผู้คนที่สัญจรไปมาระหว่างเมืองเหยียนเป่ยกับหมู่บ้านนี้ ซึ่งที่ข้างหน้ารถม้านั้นมีชายวัยกลางคนดูอ้วนท้วนอยู่คนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเสื้อผ้าของเขานั้นจะดูไม่หรูหราอะไร แต่ยังดูดีกว่าคนทั่วๆไปอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเห็นเช่นนี้ ดวงตาของเย่เย่ก็ได้ปรากฏแสงออกมาและปรากฏตัวตรงหน้าชายวัยกลางคนทันทีแล้วถามอย่างสุภาพ “ไม่ทราบว่าตัวท่านนั้นเพิ่งจะออกมาจากเมืองเหยียนเป่ยใหญ่หรือไม่? ข้านั้นมีคำถามที่อยากจะถามท่านเสียหน่อย ได้โปรดขออภัยในความไม่สะดวกด้วย!”
“หวา~”
ชายวัยกลางคนก็ได้ตกใจกับการปรากฏตัวกะทันหันของเย่เย่ ซึ่งหลังจากที่มองไปยังรอบๆที่เป็นที่เปลี่ยวแล้ว เขาก็ได้ขับรถม้าเพื่อทิ้งระยะห่างจากเย่เย่ทันที ราวกับว่าตัวเขานั้นคิดที่จะหนีไปจากที่นี่ทันทีหากว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
“เจ้าเป็นใครกัน? ข้าไม่มีของมีค่าอะไรติดตัวมาบนรถม้าคันนี้ ได้โปรดอย่าลงมือทำอะไรและปล่อยข้าไปเถอะ!”
เย่เย่ก็ได้ตกใจเมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายพูด แล้วพอตั้งสติเขาก็ได้อธิบายให้ชายวัยกลางคนฟังด้วยรอยยิ้มฝืนๆ “ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว ข้าไม่ใช่ขโมยแต่ข้าแค่อยากจะถามท่านถึงสถานการณ์ภายในเมืองเหยียนเป่ยเท่านั้น ข้าแค่สอบถามเท่านั้นไม่จำเป็นต้องตื่นกลัวข้าขนาดนั้น!”
เย่เย่ก็ได้ทำมือคารวะอย่างสุภาพให้กับชายวัยกลางคน และเผยรอยยิ้มอันเป็นมิตรให้แสดงให้เห็นว่าตัวเขานั้นไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร