ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 367 กายลุกโชน
บทที่ 367
กายลุกโชน
“ไอ้สารเลว ไปตายซะ!”
ในท้ายที่สุดเหยียนเทียนหรานก็ได้โกรธเหยียนเสี่ยวเฟยขึ้นมา
หลังจากที่ปัดมีดบินที่เข้ามาโจมตีเขาออกไปด้วยหมัดเดียวอยู่นั้น เขาก็ได้พุ่งเข้าไปหาเหยียนเสี่ยวเฟยอีกครั้งโดยไม่สนใจที่จะปัดป้องมีดบินที่เหลือ
และในขณะเดียวกัน มังกรสายฟ้าที่คอยปกป้อง เหยียนเทียนหรานอยู่นั้นก็ได้หายไปแล้ว แต่ผิวของเหยียนเทียนหรานก็ได้กลายเป็นเลือดสีแดงอย่างรวดเร็ว แล้วกล้ามเนื้อของเขาก็ได้ค่อยๆพองขึ้นมาทีละนิดทีละหน่อยจนเสื้อผ้าขาด แล้วทั้งตัวของเขาจากที่เป็นคนธรรมดาๆได้กลายเป็นยักษ์แดงสูงชะลูด
วิชาลับ – กายลุกโชน
หลังจากที่เหยียนเทียนหรานถูกเหยียนเสี่ยวเฟยบังคับให้อยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง เขาก็ได้เผยวิชาลับที่เขาตั้งใจจะเอาไว้ใช้กันเหยียนลี่หยางออกมา
“โฮก!”
ในชั่วขณะที่เขากลายเป็นยักษ์แดงอยู่นั้นเอง เหยียนเทียนหรานก็ได้คำรามใส่เหยียนเสี่ยวเฟยอย่างโมโห เมินเฉยต่อมีดบินที่บินอยู่รอบๆ แล้วพุ่งเข้าไปหาเหยียนเสี่ยวเฟย
ตุบๆๆๆๆ!
มีดบินทั้ง 9 เล่มก็ได้โจมตีใส่เหยียนเทียนหรานอย่างสุดกำลัง แต่ผิวของเหยียนเทียนหรานนั้นราวกับทำมาจากเหล็กและทอง แล้วการโจมตีของมีดบินนั้นก็ได้ไม่เป็นอันตรายอะไรกับเขาอีก
ในขณะที่เหยียนเทียนหรานได้บุกเข้าไปหา เหยียนเสี่ยวเฟยเรื่อยๆนั้น ตัวเขาก็ได้กัดฟันแน่นและหมายจะสังหารเหยียนเสี่ยวเฟยให้สิ้นซาก
ถ้าหากไม่ใช่เพราะเหยียนเสี่ยวเฟย เหยียนเทียนหรานก็คงจะไม่ต้องเปิดเผยไพ่ตายของเขาแล้วแสดงพลังของวิชาลับเร็วขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องหลังจากที่ใช้วิชาลับแล้วเลย มันจะทำให้กลายเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะใช้ท่านี้เปิดฉากโจมตีใส่ เหยียนลี่หยางได้อีก แล้ววิชาลับเช่นนี้ก็มักจะมีผลข้างเคียงที่รุนแรงเสมอซึ่งเพียงพอที่จะทำให้เหยียนเทียนเสี่ยล้มหมอนนอนเสื่อไปหลายเดือน
ดังนั้นด้วยความชิงชังเหยียนเสี่ยวเฟยของ เหยียนเทียนหรานที่มีอย่างไม่รู้จบในใจของเขา แล้วเขาก็ได้ไม่รอช้าเค้นหมัดแน่นแล้วต่อยออกไปพร้อมๆกับตัวที่กำลังมุ่งหน้าไปหาเหยียนเสี่ยวเฟย
ตูม!
ในขณะเดียวกันกับที่เหยียนเทียนหรานกำลังบุกเข้าไปหาเหยียนเสี่ยวเฟย ก็ได้มีไฟสีแดงห้อมล้อมหมัดของเขาทันที แล้วหมัดของเขาก็ได้กลายเป็นเหมือนกับอุกกาบาตไฟพุ่งเข้าชนเหยียนเสี่ยวเฟยด้วยความเร็วดุจสายฟ้าแล่บ
“ไม่ดีแน่!”
สีหน้าของเหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้เคร่งขรึมอย่างสุดๆ แล้วเขาก็ได้รีบควบคุมมีดบินทั้ง 9 เล่มให้มารวมกันอยู่ตรงหน้าเขาจนกลายเป็นโล่วงกลม
ตูมมม!
แต่ทว่าพลังป้องกันของโล่วงกลมนี้ไม่เพียงพอที่จะต้านทานการโจมตีของเหยียนเทียนหรานได้ ภายใต้การโจมตีของหมัดยักษ์ของเหยียนเทียนหรานแล้วก็ได้พังทลายไปทันทีและกลับกลายเป็นมีดบินทั้ง 9 เล่มอีกหนและกระจัดกระจายไปทุกทิศทุกทาง
“ตายเสียเถอะ!”
มองไปที่เหยียนเสี่ยวเฟยที่ป้องกันไม่ได้ตรงหน้าเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความชิงชังแล้ว เขาก็ได้ประกบมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันแล้วก็ได้เหวี่ยงมือทั้งสองข้างลงมาแล้วทุบใส่ เหยียนเสี่ยวเฟย
ตูม!
แม้ว่าเหยียนเสี่ยวเฟยจะรีบปล่อยหมัดสวนกลับไป แต่ขาของเขาก็ไม่อาจที่จะต้านทานแรงกดดันที่มหาศาลจนขาก็ได้จมลงไปในพื้นเวที
“อุ่ฟ!”
เหยียนเสี่ยวเฟยที่ทนไม่ไหวก็ได้กระอักเลือดออกมา แล้วใบหน้าของเขาก็ได้พลันซีดเผือด
“เสี่ยวเฟย!”
ด้านล่างของเวที เหยียนลี่หยางก็ได้มองดู เหยียนเสี่ยวเฟยที่กำลังเป็นอันตราย แล้วดวงตาของเขาก็ได้แดงก่ำไปด้วยเลือดทันที
แล้วเขาก็ได้ชักเอากระบี่เจ็ดดาราสะท้านเทพจากข้างหลังออกมาทันที หากว่าเหยียนเทียนหรานนั้นมีความคิดที่จะสังหารเหยียนเสี่ยวเฟยแล้ว เหยียนลี่หยางก็คิดจะฆ่าเขาให้ตายบนเวทีทันที ทำให้เขาต้องชดใช้ด้วยชีวิตของเขา
บนเวทีเหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้พยายามต่อต้านการโจมตีของเหยียนเทียนหรานอย่างสุดกำลังอยู่นั้น ก็เหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างได้แล้วก็ได้สะบัดหัวของเขาเบาๆไปยังทิศทางของเหยียนลี่หยาง
ทันใดนั้นเองก็ได้มีแสงปรากฏออกมาจากในดวงตาของเหยียนเสี่ยวเฟย แล้วในขณะที่พยายามผลักเหยียนเทียนหราน ออกไปอย่างสุดกำลังอยู่นั้น เขาก็ได้ทำการควบคุมมีดบินทั้ง 9 เล่มที่อยู่บนเวทีอีกหนแล้วเล็งไปยังเหยียนเทียนหรานที่อยู่ข้างหน้าเขา!
“ตัด!”
หลังจากที่เหยียนเสี่ยวเฟยตะโกนออกไปเสียงดังลั่น มีดบินทั้ง 9 ก็ได้บินมารวมกันจากทุกทิศทุกทางแล้วก็ได้มีเปล่งแสงสีทองออกมา แล้วในชั่ววินาทีต่อมาแสงนั้นก็ได้ตัดผ่าน เหยียนเทียนหรานที่อยู่ตรงหน้าทันที
“แย่แล้ว!”
เหยียนเทียนหรานก็รู้สึกได้ถึงพลังทำลายที่แผ่ออกมาจากกระบี่สีทอง แล้วหัวใจของเขาก็ได้เต็มไปด้วยความตกใจและความกลัว
โดยปราศจากซึ่งความลังเล เหยียนเทียนหรานก็ได้พลันกลับหลังหันแล้วหนีไป ราวกับว่าคิดที่จะหนีจากการโจมตีของกระบี่ทองให้ได้ก่อน แล้วจากนั้นค่อยกลับมาสะสางกับ เหยียนเสี่ยวเฟย
แต่ความเร็วของกระบี่ทองนั้นเหนือกว่าที่ เหยียนเทียนหรานคาดเอาไว้ ใบชั่วขณะที่เขาหักหลังกลับมา กระบี่สีทองก็ได้ตัดผ่านเหยียนลี่หยางทันที
ตูมมม!
แล้วก็ได้มีเสียงระเบิดดังมาอีกหน ทั้งควันและฝุ่นคละคลุ้งในอากาศและห้อมล้อมไปทั่วทั้งบริเวณนั้น ไม่ว่าจะลูกหลานตระกูลเหยียนที่อยู่ด้านล่างของเวทีหรือผู้คนที่มองดูอยู่รอบๆลานกว้าง พวกเขาต่างก็ตกใจกับพลังทำลายของกระบี่ทอง และต่างก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง
จนกระทั่งควันจางหายไป และกระบี่ทองก็ได้กระจัดกระจายกลายเป็นมีดบิน 9 เล่มอีกหน แล้วต่างก็ตกลงพื้นปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ
ตัวเหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้ดูเหมือนจนหมดแรง แล้วทรุดตัวลงไปกองอยู่ที่มุมเวทีและหายใจอย่างแรง ราวกับว่าแรงจะขยับสักนิ้วก็ยังไม่มี
แต่ก็ยังไม่มีความพ่ายแพ้อยู่ในดวงตาของเขา กลับกันก็ได้เต็มไปด้วยความยินดีไม่รู้จบแทน เพราะหลังจากที่โจมตีสายฟ้าแล่บด้วยกระบี่ทองเมื่อสักครู่นั้น เหยียนเทียนหรานก็ได้กระเด็นออกนอกเวทีไปและกลับคืนสู่สภาพเดิมไปแล้ว ไม่เพียงแค่นั้นภายใต้การโจมตีที่น่ากลัวของกระบี่ทอง ได้ทำให้ในเวลานี้เหยียนเทียนหรานนั้นหมดสติไปทันที มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเป็นภัยต่อเหยียนเสี่ยวเฟยได้อีก
ผู้คนทั้งข้างบนและข้างล่างต่างก็รู้สึกทึ่งกับการต่อสู้ระหว่างทั้งสองคนที่จบลงด้วยชัยชนะของเหยียนเสี่ยวเฟย!
ทุกคนที่อยู่ในลานกว้างที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่างก็มีสีหน้าตกตะลึงอยู่ในดวงตาของเขา แม้แต่เย่เย่ที่รู้อยู่แล้วว่า เหยียนเสี่ยวเฟยนั้นไม่ใช่คนธรรมดา ก็ยังมีสีหน้าตกใจและชื่นชมบนใบหน้าของเขาเมื่อเขาเห็นว่าอีกฝ่ายสามารถสู้ตัวต่อตัวกับ เหยียนเทียนหรานแล้วเอาชนะเขาได้
หลังจากที่เงียบไปสักพักหนึ่ง ผู้คนรอบๆลานกว้างก็ได้พลันระเบิดเสียงเชียร์อย่างตื่นเต้นดังขึ้นมา โดยเฉพาะบางคนที่คอยเชียร์เหยียนเสี่ยวเฟยตั้งแต่แรกนั้น ใบหน้าของพวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยความภูมิใจในเวลานี้
เมื่อเหล่าผู้ที่เชียร์เหยียนเทียนหรานได้ยินเสียงเชียร์นี้ พวกเขาต่างก็ทำได้แค่ก้มหัวอยู่เงียบๆเท่านั้น ดวงตาของพวกเขายังคงมีแววตาไม่อยากจะเชื่ออยู่
อีกด้านของลานกว้างที่ที่เหล่าคนในระดับสูงของตระกูลเหยียนนั่งอยู่นั้น ผู้อาวุโสเป่ยซานก็ได้มองไปที่เหยียนเสี่ยวเฟยบนเวทีด้วยดวงตาที่หนาวเย็นอย่างสุดๆ และรู้สึกผิดขึ้นมาในใจที่อนุญาตให้เขาได้ท้าชิงเหยียนเทียนหราน
ถึงแม้ว่าเหยียนเจิ้นตงกับคนอื่นๆนั้นจะตกใจพอๆกัน แต่ผลที่ออกมานี้จะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพียงแค่พวกเขานั้นกังวลถึงความรู้สึกของผู้อาวุโสเป่ยซาน พวกเขาต่างก็เงียบกริบและไม่กล้าที่แสดงความยอมรับเหยียนเสี่ยวเฟยง่ายๆ
ใต้เวที เหยียนลี่อย่างที่เห็นว่าผลของการต่อสู้ได้สรุปออกมาแล้วนั้น เขาก็ได้เหาะขึ้นไปบนเวทีแล้วเดินไปหา เหยียนเสี่ยวเฟย เขาหยิบเอายาวิเศษออกมาจากในแขนเสื้อแล้วให้เหยียนเสี่ยวเฟยทาน แล้วเขาก็ได้กล่าวกับเหยียนเสี่ยวเฟยด้วยความยินดีบนใบหน้าของเขา “ยินดีด้วยสำหรับชัยชนะในครั้งนี้! ทานยานี้ก่อนมันจะช่วยให้เจ้าฟื้นจากอาการบาดเจ็บได้เร็วขึ้น!”
เหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้ลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่งหลังจากที่ทานยาเข้าไปแล้วก็ได้นั่งลงกับพื้นเพื่อทำการดึงเอาพลังของยามาใช้รักษาอาการบาดเจ็บของเขาโดยด่วนที่สุด
ในขณะที่เหยียนเสี่ยวเฟยได้หายจากอาการบาดเจ็บอย่างรวดเร็วนั้น เหยียนลี่หยางก็ยังไม่ได้ลงจากเวทีไป
ตัวเขาได้เดินไปที่กลางเวทีแล้วหันไปมองที่ลูกหลานตระกูลเหยียนคนอื่นๆที่อยู่ล่างเวทีแล้วกล่าวกับพวกเขาอย่างจริงจัง “เหยียนเทียนหรานแพ้แล้ว ใครก็ตามที่คิดว่าความแข็งแกร่งของพวกคุณนั้นเหนือกว่าเหยียนเทียนหรานแล้ว พวกเจ้าสามารถลงมาที่เวทีเพื่อสู้กับเหยียนเสี่ยวเฟยหลังจากที่เขาหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว! ถ้าหากว่าไม่มีแล้วเหยียนเสี่ยวเฟยจะเป็นผู้ที่ชนะเลิศงานประลองในครั้งนี้
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา ก็ได้เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นมาในหมู่ลูกหลานของตระกูลเหยียนทันที
ถึงแม้ว่าผู้คนเหล่านี้ต่างก็กระตือรือร้นอยากที่จะได้ยาอุษาชาด แต่หลังจากที่เห็นพลังทำลายที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ระหว่างเหยียนเทียนหรานกับเหยียนเสี่ยวเฟยเมื่อสักครู่แล้ว พวกเขาต่างก็ไม่มั่นใจว่าพวกเขาจะรอดจากการต่อสู้ในระดับนั้นได้
นอกจากนี้ตระกูลเหยียนเองก็อนุญาตให้แชมป์นั้นพักจนกว่าจะสามารถยอมรับคำท้าอีกหนได้ ดังนั้นลูกหลานของตระกูลเหยียนนั้นจึงมองไม่เห็นช่องโหว่ที่จะเอาเปรียบเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่ได้ยินคำถามของเหยียนลี่หยางแล้ว พวกเขาต่างก็มีสีหน้าหดหู่และคิดที่จะยอมแพ้ที่จะท้าชิงกับเหยียนเสี่ยวเฟย
ในขณะเดียวกันทุกคนที่ได้ยินที่เหยียนลี่หยางพูดเมื่อสักครู่แล้ว ก็แสดงว่าตัวเขาเองก็ไม่มีความคิดที่จะท้าสู้กับ เหยียนเสี่ยวเฟยเช่นกัน!
ซึ่งอย่างที่รู้กันตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มงานประลองยุทธ์ประจำตระกูลนี้ เสียงเชียร์เหยียนลี่หยางนั้นมีมากกว่าของ เหยียนเทียนหรานเสียอีก ถึงแม้เหยียนเทียนหลานจะพ่ายแพ้ต่อเหยียนเสี่ยวเฟย แต่ถ้าเหยียนลี่หยางขึ้นไปท้าชิง สุดท้ายใครจะเป็นผู้ชนะก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ในเวลานี้เหยียนลี่หยางก็ได้ประกาศยอมแพ้ออกมาแล้ว ดังนั้นก็จำเป็นที่จะต้องมอบยาอุษาชาดให้กับเหยียนเสี่ยวเฟย แล้วจะไม่ให้ผู้คนตกใจได้เช่นไรเมื่อได้ยินเช่นนี้?
แม้แต่เย่เย่ที่อยู่ในฝั่งผู้ชมเองก็ยังคิ้วขมวดขึ้นมาเมื่อเห็นเช่นนี้
เขานั้นอุตส่าห์พยายามอย่างเต็มที่เพื่อกระตุ้นให้ เหยียนลี่หยางยอมเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ในครั้งนี้ เพื่อที่เขาจะได้บรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพหลังจากที่ได้ยาอุษาชาดมา? ถ้าหากพลาดโอกาสนี้ไปก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอไปจนถึงเมื่อไร
แต่เย่เย่เองก็รู้ดีว่าเหยียนลี่หยางนั้นก็รู้สึกผิดต่อ เหยียนเสี่ยวเฟยมาโดยตลอด แม้ว่าเหยียนเสี่ยวเฟยนั้นจะไม่ใช่เด็กหนุ่มใกล้ตายหลังจากที่ถูกดึงเอาพลังวิญญาณออกมาแล้วก็ตามที แต่เหยียนลี่หยางก็ยังต้องการที่จะชดใช้ให้ เหยียนเสี่ยวเฟยตามวิธีการของเขา เย่เย่จึงได้เลิกคิดถึงเรื่องนี้หลังจากที่ถอนหายใจ แล้วปล่อยให้เหยียนลี่หยางตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะยอมยกยาอุษาชาดหรือไม่
อีกทางด้านหนึ่งของลานกว้าง หลังจากที่คนในระดับสูงของตระกูลเหยียนได้ยินที่เหยียนลี่หยางกล่าว พวกเขาเองนั้นก็ไม่ต่างอะไรไปจากเย่เย่
โดยเฉพาะผู้อาวุโสเป่ยซาน และดูเหมือนว่าเขาไม่ต้องการให้ยาอุษาชาดนั้นตกไปอยู่ในมือของเหยียนเสี่ยวเฟยโดยเด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงได้กล่าวกับเหยียนลี่หยางอย่างเคร่งขรึม “จุดประสงค์ของงานประลองยุทธ์ประจำตระกูลนี้ก็เพื่อที่จะเลือกเฟ้นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดารุ่นเยาว์ของตระกูลเหยียน ไม่ใช่อะไรที่เจ้าชี้อยากจะให้ใครเป็นผู้ชนะเลิศก็ทำได้ง่ายๆ! วันนี้ เหยียนเสี่ยวเฟยพักสักคืนก่อน แล้วพรุ่งนี้ในเวลาเดียวกันนี้ เหยียนเสี่ยวเฟยจะต้องประลองกับเหยียนลี่หยาง! ถ้าหากว่าข้าเห็นว่าใครจงใจออมมือให้กับอีกฝ่ายแล้ว พวกเจ้าทั้งคู่จะถือว่าหมดสิทธิ์ทั้งคู่!”
หลังจากที่เขากล่าวจบผู้อาวุโสเป่ยซานก็ได้จากไปพร้อมกับสะบัดแขนเสื้อ
ในขณะที่เหยียนเจิ้นตงกับคนอื่นๆเห็นเช่นนี้แล้ว ก็ได้มีความทำอะไรไม่ถูกปรากฏบนใบหน้าของพวกเขา ส่วนคนอื่นๆที่ได้ยินการตัดสินใจนี้ของผู้อาวุโสเป่ยซานแล้ว สายตาของพวกเขาก็ได้มองกลับไปกลับมาระหว่างเหยียนลี่หยางกับ เหยียนเสี่ยวเฟยที่อยู่บนเวที แล้วส่วนใหญ่ต่างก็คาดหวังในศึกตัดสินในวันพรุ่งนี้
“ศึกกำหนดคนอย่างนั้นเหรอ? ไอ้สารเลวเอ๊ย!”
บนเวทีเหยียนลี่หยางก็ได้มีสีหน้าไม่ดีอย่างมากขึ้นมา และสายตาของเขาก็ได้เต็มไปด้วยความช่วยไม่ได้และรู้สึกผิดในตอนที่เขาหันหน้ามามองเหยียนเสี่ยวเฟย
เพราะงานประลองยุทธ์ประจำตระกูลเหยียนนั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน นั่นคือสู้แบบท้าชิงและสู้แบบกำหนดคน เพียงแต่งานประลองนี้มักจะหาผู้ชนะเลิศที่แท้จริงได้ตั้งแต่ในศึกท้าชิงแล้ว ดังนั้นศึกกำหนดคนนั้นจึงน้อยครั้งที่จะมี
แต่ท่าทีของผู้อาวุโสเป่ยซานที่ต้องการจะกดดัน เหยียนเสี่ยวเฟยอย่างหนักแน่นนั้น แม้ว่าเหยียนลี่หยางนั้นจะแสดงความต้องการว่าจะยอมแพ้ในศึกท้าชิงแล้วก็ตามที แต่เขาก็ยังบังคับให้เขาต้องสู้ศึกกำหนดคนในวันพรุ่งนี้ ถ้าหาก เหยียนลี่หยางจงใจออมมือให้ ต่อให้เหยียนเสี่ยวเฟยชนะ เขาก็จะหมดสิทธิ์ไปด้วยอยู่ดี และพลาดโอกาสได้ยาอุษาชาดไป