ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 361 ยาอุษาชาด
บทที่ 361
ยาอุษาชาด
แต่เย่เย่นั้นก็ไม่ปล่อยให้เหยียนเทียนหรานทำได้สำเร็จง่ายๆ เขาห้ามเหยียนลี่หยางที่อยู่ข้างๆเขาด้วยมือข้างหนึ่งก่อน แล้วก็ได้ตอบเหยียนเทียนหรานกลับไปเบาๆ “นายน้อยเหยียนไม่ต้องกังวลไป นอกจากการขอบคุณซึ่งๆหน้าแล้ว ข้าเองก็ได้มีข้อเสนอหนึ่งมาเสนอ นั่นคือชักชวนให้ตระกูลเหยียนมาร่วมเป็นพันธมิตรกับเมืองโม่ไห่ของพวกเรา แล้วมาร่วมมือกันจัดการกับสถานการณ์ในอนาคตของดินแดนเทียนหนาน!”
“อย่างที่พวกเรารู้กัน หลังจากการมาถึงของศิษย์เขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวน ก็ได้ทำให้สถานการณ์ในดินแดนเทียนหนานนั้นละเอียดอ่อนมากขึ้นกว่าเดิม ถึงแม้ว่าตระกูลเหยียนนั้นจะวางตัวเป็นกลางก็ตามที แต่ทิศทางในอนาคตของดินแดนเทียนหนานที่ไม่แน่ชัดนี้ ก็ไม่มีใครรู้เลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างในอนาคต ดังนั้นข้าจึงคิดว่าตระกูลเหยียนนั้นควรที่จะเป็นพันธมิตรกับเมืองโม่ไห่ของพวกเรา และมันก็จะดีต่อสถานการณ์ในอนาคตของตระกูลเหยียนด้วย ข้าหวังให้ทุกคนในตระกูลเหยียนจะใคร่ครวญถึงข้อเสนอของข้าด้วย!”
หลังจากที่เย่เย่ได้ยื่นข้อเสนอแก่คนในระดับสูงของตระกูลเหยียนอย่างจริงจังแล้ว เหล่าคนในระดับสูงรวมถึง เหยียนเจิ้นตงนั้นต่างก็ตกตะลึง พวกเขานั้นต่างก็พากันตะลึงงันราวกับตกหลุมรักยังไงอย่างงั้น
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ดีว่าในเวลานี้สถานการณ์ของเย่เย่กับเมืองโม่ไห่นั้นไม่สู้ดีนัก พวกเขาจึงได้เข้าใจถึง ความกระตือรือร้นของเย่เย่ที่อยากจะร่วมเป็นพันธมิตรกับตระกูลเหยียนดี แต่ตระกูลเหยียนนั้นก็ถือคติเป็นกลางในดินแดน เทียนหนานมาโดยตลอด และไม่เคยเข้าร่วมกับความขัดแย้งระหว่างกองกำลังใหญ่ๆมาก่อน ต่อให้สิ่งที่เย่เย่กล่าวเมื่อสักครู่นั้นจะมีเหตุผล แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยอมตกลงรับข้อเสนอของเย่เย่ได้ง่ายๆ
เหยียนเจิ้นต้งยังไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ เหยียนเทียนหรานที่อยู่ข้างๆก็ได้กล่าวปฏิเสธคำชวนของเย่เย่ แล้วกล่าวดูถูกเย่เย่อย่างหยาบคาย “พันธมิตรงั้นเหรอ? เจ้ากับเมืองโม่ไห่ของเจ้าน่ะ ควรจะล่มสลายไปดีกว่า! แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเหยียนของพวกเราไม่เคยข้องเกี่ยวกับความขัดแย้งของขุมกำลังใหญ่ๆในดินแดนเทียนหนานมาก่อน ถึงต่อให้ตระกูลเหยียนจะตัดสินใจที่จะเป็นพันธมิตรกับขุมกำลังใดขุมกำลังหนึ่งเพื่อการเจริญเติบโตในอนาคตแล้ว ก็ไม่ใช่เมืองโม่ไห่ของเจ้าอย่างแน่นอน!”
เหยียนเทียนหรานนั้นได้กล่าวดูหมิ่นเย่เย่กับเมืองโม่ไห่อย่างไม่ปิดบัง และน้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความโอหังและเย่อหยิ่ง
แต่เย่เย่ก็ไม่ได้ยั่วโมโหเขาแต่อย่างใด กลับกันเขาได้ตอบเหยียนเทียนหรานกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดูถูกเช่นกัน “ท่านไม่ได้เป็นผู้นำตระกูลเหยียน และไม่ได้เป็นผู้อาวุโสของตระกูลเหยียนเช่นกัน เป็นเพียงนายน้อยของตระกูลเหยียนที่เพิ่งจะเข้ารับตำแหน่งได้ไม่กี่ปีเท่านั้น อะไรที่ทำให้ท่านมีสิทธิ์มาตัดสินใจแทนตระกูลเหยียนได้? ยิ่งไปกว่านั้นท่านจะดำรงอยู่ในตำแหน่งนายน้อยของตระกูลเหยียนไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่าก็ยังเป็นคำถามอยู่เลย มันจะเร็วเกินไปหรือเปล่าที่จะมาชี้นิ้วสั่งใครเขาน่ะ?”
ภายใต้การยั่วโมโหซ้ำไปซ้ำมาของเหยียนเทียนหราน ก็ได้ทำให้เย่เย่ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาจึงได้พูดโดยไม่ไว้หน้า เหยียนเทียนหรานและชี้ให้เห็นถึงสภาพอันน่าอับอายของ เหยียนเทียนหราน
หลังจากที่เหยียนเจิ้นตงกับคนอื่นๆได้ยินเข้า พวกเขาก็ได้มองไปที่เหยียนลี่หยางกับเย่เย่ด้วยรอยยิ้มฝืนๆบนใบหน้าของเขา
เหยียนเทียนหรานก็ได้โกรธเคืองเย่เย่มากขึ้นไปอีก เขาชี้ไปที่เย่เย่และกล่าวด้วยนิ้วสั่นๆ “เจ้า! เจ้า!”
ในขณะที่เขากำลังจะเข้ามาทำร้ายเย่เย่อยู่นั้น เหยียนเจิ้นตงก็ได้เดินเข้ามาคั่นระหว่างทั้งสองคนแล้วกล่าวกับ เหยียนเทียนหรานด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พอได้แล้ว! เทียนหรานเจ้าหุบปากเสียก่อน ถ้าเจ้ามีคำถามอะไร เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลัง!”
หลังจากที่ออกคำสั่งกับเหยียนเทียนหรานเสร็จ เหยียนเจิ้นตงก็ได้หันหน้ามาหาเย่เย่แล้วกล่าว “เรื่องของการร่วมเป็นพันธมิตรที่หลานเย่เสนอมาเมื่อสักครู่นั้น ข้าต้องขอโทษด้วย ตัวข้าไม่สามารถที่จะให้คำตอบกับเจ้าทันทีได้ เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับรากฐานของตระกูลเหยียนของพวกเรา ข้าจำต้องไปรายงานให้เหล่าผู้อาวุโสทราบก่อนที่จะตัดสินใจ ดังนั้นวันนี้ข้าจะไม่พูดเรื่องนี้แล้ว”
“ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตระกูลเหยียนเลย!”
เย่เย่นั้นดูเหมือนจะเดาได้อยู่แล้วว่าตระกูลเหยียนนั้นคงไม่สามารถที่จะตอบตกลงเขาได้ในทันที ดังนั้นหลังจากที่ เหยียนเจิ้นตงพูดจบ ตัวเขาก็ได้ทำมือคารวะอย่างสุภาพแล้วก็ได้นั่งลงพร้อมกับเหยียนลี่หยางอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าเมืองโม่ไห่นั้นจะคาดหวังเอาไว้มากกับการร่วมเป็นพันธมิตรกับตระกูลเหยียน แต่เย่เย่, ซ่างกวานจ้งและคนอื่นๆนั้นก็ไม่ได้คาดหวังเอาไว้มากนักตั้งแต่แรก จึงได้เป็นเรื่องปกติที่จะเจอกับสถานการณ์เช่นนี้
แต่เพื่อที่จะไม่ให้เย่เย่นั้นผิดหวังมากจนเกินไป เหยียนเจิ้นตงจึงได้อาศัยโอกาสนี้ชวนให้เย่เย่มาพักอยู่ที่บ้านสกุลเหยียนสักระยะหนึ่ง และชวนให้เย่เย่มาเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ประจำตระกูล ที่จะจัดขึ้นในเมืองเหยียนเป่ยในอีก 3 วัน ซึ่งเย่เย่ก็ได้ยอมรับคำชวนอย่างยินดี ซึ่งในใจของเขานั้นก็ได้เต็มไปด้วยความสงสัยเกี่ยวกับงานประลองยุทธ์ประจำตระกูลเหยียน
เหยียนเจิ้นตงก็ได้มองไปที่สีหน้าที่ดูสนใจของเย่เย่แล้ว ก็ได้พูดขึ้นแนะนำเย่เย่ต่อ “งานประลองยุทธ์ประจำปีของตระกูล เหยียนนั้นจะถูกจัดขึ้นปีละครั้ง เดิมทีก่อนที่เทียนหรานจะได้กลายมาเป็นนายน้อยนั้น มีลูกหลานมากมายที่โผล่มาในงานประลองยุทธ์นี้ทุกปี แต่ตั้งแต่ที่เทียนหลานได้ถูกประกาศให้เป็นนายน้อยแล้ว ตัวเขาก็เป็นเหมือนตัวเอกแต่เพียงผู้เดียวของทุกๆงานรวมตระกูล และข้าก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างในงานรวมตระกูลในครั้งนี้”
ในขณะที่พูดอยู่นั้นเหยียนเจิ้นตงก็ได้เลื่อนสายตาของเขาไปมาระหว่างเหยียนเทียนหรานกับเหยียนลี่หยาง
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วเหยียนเทียนหรานก็ได้มีสีหน้ามืดมนขึ้นมา แต่ตัวเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก และยังนั่งอยู่ตรงที่นั่งของตัวเองโดยไม่พูดอะไรออกมา
เหยียนลี่หยางก็ได้แสดงท่าทีของเขาออกมากับ เหยียนเจิ้นตงตรงๆ “ท่านผู้นำตระกูลยกโทษให้ข้าด้วย! ถึงแม้ว่าข้าจะกลับมาที่ตระกูลเหยียนและเชื่อฟังคำสั่งของตระกูลเหยียนแล้วก็จริง แต่ตัวข้านั้นไม่สนใจเรื่องของงานประลองยุทธ์ประจำปีของตระกูลเหยียนแต่อย่างใด ขอให้ท่านผู้นำตระกูลได้โปรดให้อภัยข้าด้วย!”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา เหล่าคนในระดับสูงขององค์กรนั้นต่างก็ได้มีการตอบสนองเปลี่ยนไปทันที มีบางคนที่ดูเหมือนจะเดาได้อยู่แล้วว่าเหยียนลี่หยางนั้นคงจะไม่เข้าร่วมกับงานประลองประจำตระกูลนี้เป็นแน่ จึงไม่ได้มีสีหน้าประหลาดใจบนใบหน้าของพวกเขา กลับกันสีหน้าของเหยียนเทียนหรานนั้นก็ได้ซับซ้อนขึ้นมา ไม่รู้เลยว่าตัวเขานั้นยินดีหรือโมโหกันแน่
อย่างไรเสียถ้าเหยียนลี่หยางเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ประจำตระกูลแล้ว ตัวเขาจะท้าสู้กับเหยียนลี่หยางในงานนั้นอย่างแน่นอน และการประลองระหว่างทั้งสองยอดฝีมือก็จะระเบิดขึ้นมา แต่ในเวลานี้เหยียนลี่หยางนั้นก็ได้กล่าวปฏิเสธที่จะร่วมงานนี้อย่างเปิดเผย ซึ่งได้ทำให้เหยียนเทียนหรานนั้นรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก
และเพราะเหตุนี้ ดูเหมือนว่าเหยียนลี่หยางนั้นจะไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับเขาและลูกหลานตระกูลเหยียนคนอื่นๆ และอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้สนใจที่จะเข้ามาร่วมการแก่งแย่งชิงดีกันระหว่างพวกเขาด้วย
หลังจากที่เหยียนเจิ้นตงเห็นเช่นนี้ ตัวเขาก็ได้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที
“ลี่หยางอย่าเพิ่งรีบตัดสินใจก็ได้ งานประจำตระกูลในปีนี้นั้นต่างไปจากในอดีตนัก ซึ่งท่านผู้อาวุโสก็ได้พูดเรื่องนี้ด้วยตัวเองเลยว่า ใครก็ตามในบรรดาลูกหลานของตระกูลเหยียนที่ชนะในงานประลองยุทธ์ประจำปีในครั้งนี้ จะได้รับรางวัลเป็นยาวิเศษ ยาอุษาชาดที่จะสามารถช่วยเพิ่มโอกาสที่จะบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพได้ ดังนั้นเจ้าควรที่จะยึดเอาโอกาสนี้ไว้นะ เพราะหลังจากนี้ไปจะหาซื้อยานี้ที่ไหนไม่ได้ง่ายๆทั้งนั้น!”
ในขณะที่กำลังอธิบายเรื่องนี้ให้เหยียนลี่หยางฟัง ตัวหยานเจิ้นตงเองก็ได้เผยดวงตาอิจฉาออกมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตัวเขาเองก็ตกใจเช่นกันตอนที่เขาได้ทราบข่าวนี้
เพราะตัวเหยียนเจิ้นตงเองก็มีวรยุทธ์อยู่ในระดับสูงสุดของราชันย์เทพแล้ว ถึงแม้ว่าความสามารถของเขานั้นจะไม่ดีเท่ากับเหยียนลี่หยาง, เหยียนเทียนหรานและคนอื่นๆก็ตามที แต่ยาอุษาชาดนั้นสามารถเพิ่มโอกาสที่จะบรรลุขึ้นสู่ระดับจักรพรรดิเทพให้อย่างมาก เพียงแต่งานประลองยุทธ์ประจำตระกูลนี้จะอนุญาตให้เข้าร่วมแต่เหล่ารุ่นเยาว์ของตระกูลเหยียน และเหล่าคนระดับสูงของตระกูลเหยียนนั้นไม่สามารถเข้าร่วมได้ ดังนั้นไม่ว่าเหยียนเจิ้นตงนั้นจะอิจฉามากขนาดไหนก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น
ส่วนเหยียนเทียนหรานเมื่อได้ยินข่าวนี้แล้ว นอกจากจะตกใจแล้วก็ได้มีสีหน้าประหลาดใจไม่รู้จบบนใบหน้าของเขา “ท่านผู้นำตระกูล ที่ท่านพูดมาเป็นความจริงเหรอ? ที่ว่าหากชนะในงานประลองประจำปีแล้วจะได้รับยาอุษาชาดเป็นของรางวัลน่ะ?”
ถึงแม้ว่าเหยียนเทียนหรานนั้นจะเพิ่งบรรลุขึ้นเป็นระดับสูงสุดราชันย์เทพได้ไม่นาน แต่เพราะความสามารถที่โดนเด่นของเขาแล้ว ดังนั้นโอกาสที่ตัวเขาจะได้ยาอุษาชาดมาและบรรลุขึ้นสู่จักรพรรดิเทพนั้นมีมากกว่าเหยียนเจิ้นตงเสียอีก นอกจากนี้สถานการณ์ในปัจจุบันของเหยียนเทียนหรานนั้น นอกจากนี้สถานการณ์ในปัจจุบันของเหยียนเทียนหรานในตระกูลเหยียนนั้นก็ได้อึดอัดมากขึ้นเรื่อยๆด้วย ดังนั้นยาอุษาชาดนั้นจึงเป็นเหมือนตัวช่วยเขาอย่างมาก และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ทราบข่าวนี้จากปากของเหยียนเจิ้นตง และได้ตัดสินใจที่จะเอายาอุษาชาดมาไว้ในครอบครองของเขา
“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง เพราะเนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบันของดินแดนเทียนหนานนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว ตระกูลเหยียนของพวกเราเองก็ได้มีความจำเป็นเร่งด่วน และคำสั่งของเหล่าผู้อาวุโสที่ต้องการให้ตระกูลเหยียนนั้นมีการปรากฏตัวของยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพเพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง และเพื่อให้เหล่าลูกหลานของตระกูลเหยียนมีไฟที่จะบรรลุขึ้นมาอย่างสุดกำลังแล้ว ซึ่งยาอุษาชาดนั้นเป็นของรางวัลที่มีค่ามากเท่าที่ตระกูลเหยียนนั้นจะสามารถหาให้ได้ในปัจจุบัน”
หยางเจิ้นตงก็ได้ผงกหัวยืนยันให้กับเหยียนเทียนหรานแล้วบอกกับทุกคนด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่าทำไมผู้อาวุโสเป่ยซานถึงได้ทำเช่นนี้
“ฮ่าๆสมกับที่เป็นตระกูลอันดับหนึ่งในดินแดน เทียนหนาน ช่างน่าตกใจเสียจริงๆ และในเมื่อเหล่ารุ่นเยาว์ของตระกูลเหยียนทุกคนนั้นสามารถเข้าร่วมงานประลองยุทธ์นี้ได้ ลี่หยางในฐานะที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลเหยียนแล้ว ก็ควรจะเข้าร่วมกับกิจกรรมของตระกูลให้มากขึ้นนะ แม้ว่าเจ้าจะไม่สนใจยาอุษาชาดก็ตาม แต่เพื่อเป็นแรงบรรดาลใจให้กับเหล่ารุ่นเยาว์ของตระกูลเหยียนแล้ว เจ้าก็ควรที่จะต่อสู้เพื่อไขว่คว้าชัยชนะที่ยิ่งใหญ่มาบ้าง และเพื่อให้โลกภายนอกได้รู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเหล่ารุ่นเยาว์ของตระกูลเหยียน”
หลังจากที่เย่เย่ได้ยินที่เหยียนเจิ้นตงกล่าวแล้ว เขาก็ได้เอ่ยปากชมในความกล้าของตระกูลเหยียนแล้วจากนั้นก็พยายามเกลี้ยกล่อมเหยียนลี่หยางให้เปลี่ยนใจและเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ประจำตระกูล
อย่างไรเสียยาวิเศษที่ช่วยเพิ่มโอกาสบรรลุขึ้นสู่ระดับจักรพรรดิเทพนั้น มันมีค่าอย่างเทียบไม่ได้กับแก่นภายในของมังกรสองหัวของเย่เย่เลย หากว่าเหยียนลี่หยางนั้นสามารถบรรลุขึ้นเป็นระดับจักรพรรดิเทพได้จริงๆแล้ว ไม่ว่าจะแผนการในอนาคตของเย่เย่ก็ดี หรือจะสถานการณ์ในปัจจุบันของเมืองโม่ไห่ก็ดี ต่างก็เป็นประโยชน์อย่างมากทั้งนั้น
เย่เย่จึงได้ส่งสายตาให้เหยียนลี่หยางในขณะที่กล่าว แล้วตัวเขาก็ได้ประกาศที่จะเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ของตระกูลแทนเหยียนลี่หยาง
เมื่อเห็นท่าทีของเย่เย่แล้ว เหยียนเจิ้นตงกับพรรคพวกก็ไม่รู้ว่าเย่เย่นั้นกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้คิดห้ามเย่เย่แต่อย่างใด เพราะอย่างที่เย่เย่กล่าวขอเพียง เหยียนลี่หยางเข้าร่วมกับงานประลองนี้เพื่อแสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเหล่ารุ่นเยาว์ในตระกูลเหยียนให้ได้เห็นอย่างเต็มที่
ดังนั้นเหล่าคนในระดับสูงของตระกูลเหยียนรวมถึง เหยียนเจิ้นตงจึงได้มองไปที่เหยียนลี่หยางด้วยสายตาที่คาดหวัง และหวังให้เขานั้นเปลี่ยนใจและเห็นด้วยที่จะเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ประจำปีในครั้งนี้ จะมีก็เพียงเหยียนเทียนหรานที่มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างสุดๆ และดวงตาของเขาก็ได้จับจ้องไปที่ เหยียนลี่หยางด้วยความอยากที่จะเผชิญหน้าด้วยอย่างเต็มที่
ไม่ว่าแผนการก่อนหน้าของเขาที่มีต่อเหยียนลี่หยางนั้นจะเป็นเช่นไร แต่เหยียนเทียนหรานนั้นก็มีเป้าหมายเดียวในใจในเวลานี้ นั่นคือเข้าร่วมงานประลองยุทธ์และเอาชนะให้ได้ ถ้าหากเหยียนลี่หยางเกิดเปลี่ยนใจและตัดสินใจที่จะเข้าร่วมงานประลองยุทธ์นี้แล้ว เหยียนเทียนหรานก็จะต้องเอาชนะเขาให้ได้ไม่ว่าจะวิธีการไหนก็ตาม เพื่อปกป้องฐานะของตัวเองในตระกูลเหยียนแล้ว ตัวเขาก็จะทำลายเหยียนลี่หยางไปด้วยเลย
เพราะเหยียนเทียนหรานนั้นเชื่อว่าไม่ว่าจะตัวเขาหรือ เหยียนลี่หยางจะเป็นผู้ชนะการประลองยุทธ์ประจำตระกูลก็ตามที แต่การต่อสู้ระหว่างพวกเขาทั้งคู่นั้นจะต้องรู้ผลอย่างชัดเจนออกมาอย่างแน่นอน
ในห้องนั้น หลังจากที่เห็นความคาดหวังในดวงตาของ เย่เย่แล้ว เหยียนลี่หยางก็ได้ยอมแพ้ แล้วก็ได้กล่าวตอบ เหยียนเจิ้นตงและคนอื่นๆด้วยเสียงค่อยๆ “ก็ได้ ข้าจะเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ประจำตระกูล แต่หลังจากงานประลองยุทธ์ประจำตระกูลไปแล้ว ข้าขอเวลาว่างสักหน่อย ถ้าหากตระกูลเหยียนจะมอบงานให้กับข้า ข้าก็มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธได้ทันที!”