ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 358 นับถือ
บทที่ 358
นับถือ
หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ หญิงสาวกับคนอื่นๆก็ได้พากันตกใจไปชั่วขณะ แล้วจากนั้นก็ได้กล่าวนับถือและชื่นชม เหยียนเทียนหราน แล้วรีบคารวะเหยียนเทียนหรานด้วยความจงรักภักดี
“น้ำใจของนายน้อยนั้น พวกเราเทียบไม่ได้เลยจริงๆ!”
“จริงด้วย พวกเรานี่ช่างเอาจิตใจของคนที่ต่ำต้อยมาเทียบกับท้องของสุภาพบุรุษจริงๆ!”
“ข้ามั่นใจว่าเหยียนลี่หยางนั้นไม่มีทางที่จะหาญกล้าเหมือนอย่างนายน้อยได้หรอก!”
“อย่างที่คิด นายน้อยนี่ช่างเหมาะสมที่จะเป็นคนนำพาตระกูลเหยียนของพวกเราไปสู้ความรุ่งเรืองจริงๆ!”
ถึงแม้ว่าเหล่าผู้ติดตามของเหยียนเทียนหรานนั้นจะยังไม่สามารถเดาความคิดที่แท้จริงของเหยียนเทียนหรานออก แต่ก็ได้กล่าวประจบประแจงเหยียนเทียนหรานไปตามความเคยชินทันที ราวกับว่าพวกเขานั้นได้พยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้ เหยียนเทียนหรานมีความสุข
ถ้าเป็นในอดีตต่อให้เหยียนเทียนหรานนั้นเจอกับเรื่องที่ไม่สบอารมณ์เข้า หลังจากที่ได้ยินที่พวกเขาพูดแล้วก็ได้สบายอารมณ์อย่างรวดเร็ว บางทีก็อาจตกรางวัลให้พวกเขาด้วยซ้ำ แต่ในเวลานี้สีหน้าของเหยียนเทียนหรานนั้นยังคงสงบนิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งหลังจากที่ได้ยินคำประจบของพวกเขาแล้ว เหยียนเทียนหรานนั้นก็แค่ยิ้มและไม่ได้พูดอะไรออกมา
แล้วในห้องนั้นก็ได้เกิดบรรยากาศอึดอัดขึ้นมา เหล่าผู้ติดตามของเหยียนเทียนหรานที่ไม่เคยเจอเช่นนี้มาก่อน ก็ได้อ้ำอึ้งไปชั่วขณะไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี
สาวใช้เหยียนชิงหลวนที่ยืนอยู่ข้างหลังของ เหยียนเทียนหนานนั้นเมื่อเห็นเช่นนี้ ก็ได้เดินออกมาข้างหน้าแล้วกล่าวกับหญิงสาวและคนอื่นๆ “ทุกท่านเจ้าคะ วันนี้นายน้อยมีอาการเหนื่อยนิดหน่อย ขอเชิญพวกท่านกลับไปก่อนเถอะนะเจ้าคะ ถ้าหากนายน้อยมีรับสั่งอะไร ข้าจะไปแจ้งให้พวกท่านทราบโดยทันทีเจ้าค่ะ วันนี้พอเท่านี้ก่อนนะเจ้าคะ!”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าต้องขอตัวก่อน!”
“แม่นางชิงหลวน ข้ารบกวนเจ้าดูแลนายน้อยด้วย!”
“นายน้อยข้าขอตัวลา เอาไว้พบกันใหม่วันหลัง!”
เหล่าผู้ติดตามของเหยียนเทียนเหรียนนั้นก็ได้หันหน้ามามองกันเองหลังจากที่ได้ยินที่สาวใช้กล่าว แล้วจากนั้นก็ได้พลันลุกขึ้นยืนกล่าวลาเหยียนเทียนหราน ด้วยคำพูดและการกระทำที่เต็มไปด้วยความนับถือ
จนกระทั่งเหลือแค่เพียงเหยียนเทียนหรานกับ เหยียนชิงหลวนอยู่ในห้อง แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของ เหยียนเทียนหรานนั้นก็ได้ค่อยๆหายไป แล้วดวงตาของเขาก็ได้มองไปยังท้องฟ้าข้างนอกห้องอย่างหดหู่
“เจ้าพวกโง่นี่นอกจากพูดประจบสอพลอแล้ว ทำอย่างอื่นไม่เป็นกันเลยรึยังไง?”
ถึงแม้ว่าเหยียนเทียนหรานนั้นจะมีท่าทีที่สุภาพตอนอยู่ต่อหน้าผู้ติดตามของเขา แต่พอผู้ติดตามของเขาจากไปแล้ว ก็ได้ปลดปล่อยความรังเกียจที่มีต่อพวกเขาออกมา
เหยียนชิงหลวนที่ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับท่าทีของ เหยียนเทียนหรานเป็นอย่างดีนั้น เมื่อเห็นเหยียนเทียนหรานหงุดหงิด เธอก็ได้เดินไปหาเหยียนเทียนหรานแล้วพูดปลอบเขาอย่างอ่อนโยน “เห็นแก่ผลประโยชน์ของพวกเขาที่มีให้นายน้อยแล้ว นายน้อยอย่าได้ไปถือสาพวกเขาเลยเจ้าค่ะ อีกอย่างงานประลองยุทธ์ของตระกูลนั้นกำลังจะเริ่มแล้ว นายน้อยควรที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ดีกว่าเจ้าค่ะ”
งานประลองยุทธ์ประจำปีของตระกูลนั้นเป็นเหตุการณ์ที่นานๆมีหนของตระกูลเหยียน ในเมื่อเหยียนเทียนหรานได้กลายมาเป็นนายน้อยของตระกูลเหยียนนั้น เมื่อใดที่ทุกตระกูลของตระกูลเหยียนได้มารวมตัวกัน เหยียนเทียนหรานนั้นจะเป็นเหมือนตัวเอกของงานเสมอ ทำให้ตัวเขานั้นให้ความสำคัญกับงานประลองยุทธ์ของตระกูลเสมอ ดังนั้นหลังจากที่ได้ยินคำเตือนของเหยียนเทียนหรานแล้ว ตัวเขาก็ได้พลันใจเย็นลงมาและมีแววตาบึ้งตึงปรากฏในดวงตาของเขาทันที
“เจ้าพูดถูกแล้ว ถึงแม้จะไม่แน่ว่าเหยียนลี่หยางนั้นจะเข้าร่วมงานประลองของตระกูลหรือเปล่า แต่ข้าก็ควรจะเตรียมตัวให้พร้อม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามข้าจะไม่ยอมปล่อยให้เขาขโมยเอาความเป็นที่สนใจของข้าไปในงานประลองของตระกูลเด็ดขาด!”
เหยียนเทียนหรานมีสีหน้าโหดเหี้ยมบนใบหน้าของเขา และน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ราวกับว่าตัวเขานั้นเต็มไปความระแวดระวังต่อเหยียนลี่หยาง
ผิดกับสีหน้าที่สงบนิ่งต่อหน้าผู้ติดตาม จริงๆแล้ว เหยียนเทียนหรานนั้นเห็นเหยียนลี่หยางนั้นเป็นเหมือนกับศัตรูคู่อาฆาตของเขาทันทีที่เขาปรากฏตัวออกมา ถึงแม้ว่าเพื่อที่จะรักษาภาพลักษณ์ของเขาในตระกูลเหยียน เหยียนเทียนหรานจึงได้ไม่แสดงความเป็นปรปักษ์ต่อเหยียนลี่หยางอย่างเปิดเผย แต่เพื่อที่จะกดเอาภัยที่มาจากเหยียนลี่หยางให้อยู่ในวงแคบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหยียนเทียนหรานไม่เพียงแต่จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่พัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองแล้ว ก็ยังแอบส่งนักฆ่าของหอธารสวรรค์ไปลอบฆ่าเหยียนลี่หยาง
ในฐานะที่เป็นองค์กรนักฆ่าอันดับหนึ่งในแผ่นดิน ว่านหลิง ทุกครั้งที่หอธารสวรรค์รับภารกิจมาทำ พวกเขาก็จะทำการตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายของภารกิจเสียก่อน แล้วถึงจะส่งยอดฝีมือออกไปทำการลอบสังหาร ถึงแม้ว่ากระบวนการทำงานนั้นจะเชื่องช้า แต่โอกาสทำสำเร็จนั้นสูงมาก
ในเมื่อเหยียนเทียนหรานนั้นไม่สามารถหาหนทางทำร้ายเหยียนลี่หยางได้ ตัวเขาจึงได้ฝากความหวังทั้งหมดของเขาเอาไวกับการลอบสังหารของหอธารสวรรค์ และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมตัวเขาถึงได้ยังมีท่าทีที่สงบนิ่งอยู่ได้ในตระกูลเหยียน ซึ่งเหตุผลใหญ่ๆนั้นก็เพราะเหยียนเทียนหรานนั้นมั่นใจอย่างเต็มที่ในการลอบสังหารของหอธารสวรรค์ และเชื่อว่าสุดท้ายชัยชนะจะต้องตกเป็นของเขา
อีกทางด้านหนึ่ง หลังจากที่เย่เย่กับเหยียนลี่หยางนั้นได้ตัดสินแล้วว่าจะไปที่เมืองเหยียนเป่ย เย่เย่ก็ได้ไปขออนุญาตจากซ่างกวานจ้งตามมารยาท ซึ่งซ่างกวานจ้งเองก็อยากที่จะใช้โอกาสนี้เพื่อเพิ่มความสัมพันธ์กับตระกูลเหยียนให้แน่นแฟ้นกันมากขึ้นอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงได้รีบเห็นด้วยกับข้อเสนอของเย่เย่ทันที และคิดที่จะส่งคณะทูตให้คอยติดตามเย่เย่ไปด้วย
เย่เย่ก็ได้ปฏิเสธความหวังดีของซ่างกวานจ้งโดยให้เหตุผลว่าตอนนี้เมืองโม่ไห่นั้นกำลังต้องการแรงงาน และบอกว่าลำพังแค่ตัวเขาไปที่เมืองเหยียนเป่ยก็พอแล้ว ซ่างกวานจ้งเองก็ได้ลังเลอยู่สักพักหนึ่งแล้วก็ผงกหัว หลังจากที่บอกให้เย่เย่ระวังตัวด้วย แล้วเขาก็ได้ค่อยๆมองดูแผ่นหลังของเย่เย่ค่อยๆหายไป
ไม่กี่วันต่อมา ในที่สุดเย่เย่ก็ได้เดินทางมาถึงเมือง เหยียนเป่ยที่ตีนเขาเหยียนเป่ย แล้วเข้ามาอยู่ในอาณาเขตอิทธิพลของตระกูลเหยียน ตระกูลอันดับหนึ่งในดินแดน เทียนหนานเพียงลำพัง
ถึงแม้ว่าเหยียนลี่หยางนั้นจะอยู่ในอารามวิถีสวรรค์ที่แหวนของเย่เย่ แต่เย่เย่ก็ไม่ได้ให้เหยียนลี่หยางตามเขาไปที่จวนเจ้าเมืองในเมืองเหยียนเป่ยด้วย ซึ่งอย่างแรกเย่เย่ก็ได้ทำเรื่องขอเข้าพบตระกูลเหยียนที่จวนเจ้าเมืองที่เหยียนเจิ้นตงเป็นคนดูแลตามกฎของตระกูลเหยียน จากนั้นค่อยออกไปเดินท่อง เมืองเหยียนเป่ยตามลำพัง เพื่อรอการตอบกลับมาจากตระกูล เหยียนแล้วจากนั้นค่อยไปเข้าพบที่บ้านสกุลเหยียนในภูเขา เหยียนเป่ย
ในระหว่างที่กำลังเดินเล่นอยู่นั้น เย่เย่ก็ได้แจ้งบอกไปแล้วว่าตัวเขานั้นพักอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองเหยียนเป่ย ดังนั้นเย่เย่จึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะไม่ได้รับการตอบกลับมา และด้วยตระกูลที่มากด้วยอิทธิพลอย่างตระกูลเหยียนด้วยแล้ว เย่เย่ก็เชื่อว่ากว่าที่เขาจะได้รับการตอบกลับจากตระกูลเหยียนนั้นอย่างเร็วก็คงพรุ่งนี้ ดังนั้นเย่เย่จึงได้ไม่กังวลว่าจะคลาดกัน
แม้ว่าด้วยความสัมพันธ์ของเขากับเหยียนลี่หยางนั้น ขอเพียงเหยียนลี่หย่านั้นออกหน้าด้วยตัวเองแล้ว ก็จะสามารถทำให้เย่เย่นั้นไปที่บ้านสกุลเหยียนในเมืองเหยียนเป่ยได้ทันที แต่เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของเย่เย่แล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องแจ้งเรื่องเข้าไปตามกฎ ซึ่งในขณะที่เขากำลังรอคอยการตอบกลับของตระกูลเหยียนอยู่นั้น เย่เย่ก็ได้คิดที่จะอาศัยโอกาสนี้ออกเที่ยวดูเมืองเหยียนเป่ย เพื่อที่การเดินทางหลายพันลี้ของเขานั้นจะได้ไม่สูญเปล่า
ตระกูลเหยียนสมกับที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของดินแดนเทียนหนานจริงๆ มีร้านค้าตั้งเรียงเป็นทิวแถวให้เห็นได้ทุกหนทุกแห่งในเมือง สมบัติหายากที่แทบจะไม่ได้เห็นจากโลกภายนอกกลับไม่ใช่ของหาได้ยากเลยในเมืองเหยียนเป่ย ขอเพียงแค่ว่ามีเงินพอจ่ายแล้ว ก็จะเป็นเรื่องง่ายที่จะได้สมบัติเหล่านี้เข้ากระเป๋า
เย่เย่ที่เห็นความคับคั่งในเมืองเหยียนเป่ยแล้ว ทำให้เขาคิดอยากที่จะเอาแก่นภายในมังกรสองหัวออกมาขายในทันที แต่เพื่อความปลอดภัยของตัวเองแล้ว ตัวเขาก็ได้ตัดสินใจที่จะไปที่ภูเขาเหยียนเป่ยเพื่อขายให้ตระกูลเหยียนแทน อย่างไรเสียชื่อเสียงของวังสมบัติของตระกูลเหยียนนั้นก็เหนือกว่าหอการค้าใดๆในดินแดนเทียนหนานทั้งนั้น บวกกับความสัมพันธ์ของเขากับเหยียนลี่หยางด้วยแล้ว เย่เย่จึงไม่ต้องกังวลเรื่องของความปลอดภัยของตัวเองในตอนที่ค้าขายกับตระกูลเหยียน
เขาเดินเตร็ดเตร่ในเมืองเหยียนเป่ยอยู่สักพักใหญ่ๆ จนเริ่มหายรู้สึกตื่นเต้น เขาก็ได้เดินเข้าร้านอาหารที่ทางตะวันออกของเมืองเพื่อลองชิมอาหารท้องถิ่นดู การตกแต่งของร้านอาหารร้านนี้ไม่ได้ดูหรูหราอะไรมากนัก แต่ก็ให้บรรยากาศที่อบอุ่นและผ่อนคลาย เย่เย่ก็ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศอยู่ที่มุมหนึ่งของร้านอาหาร ซึ่งมีบรรยากาศที่เงียบสงบและสบายใจอย่างหาได้ยากนัก
แล้วในตอนนั้นเองก็ได้มีชายหนุ่มชุดดำเดินเข้ามาในร้านอาหาร หลังจากที่กวาดสายตามองในร้านแล้ว เขาก็ได้เดินมาแล้วนั่งลงที่โต๊ะถัดจากเย่เย่ ดูเหมือนว่าตัวเขาเองก็มาเพื่อทานอาหารเช่นกัน หลังจากที่สั่งกับข้าวมา ชายที่นั่งอยู่ข้างเย่เย่นั้นก็ได้เพลิดเพลินไปกับการทานอาหารอย่างเงียบๆ
เหตุผลที่ทำไมเย่เย่ถึงได้สนใจเขานั้น ก็เพราะว่าบรรยากาศของชายหนุ่มคนนั้นมีบรรยากาศที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ถ้าหากว่าเขาเดาไม่ผิด อีกฝ่ายนั้นอย่างน้อยๆก็ต้องอยู่ในระดับสูงสุดราชันย์เทพเป็นแน่ และความแข็งแกร่งของเขานั้นก็น่าจะสูงกว่าจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันเสียอีก แต่ทว่าเมืองโบราณเหยียนเป่ยนั้นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของ เมืองเทียนหนาน ซึ่งโอกาสที่จะพบเจอกับยอดฝีมือที่นี่นั้นจะมีมากกว่าที่อื่นๆเสียอีก ดังนั้นเย่เย่จึงไม่ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากจนเกินไป แล้วตัวเขาเองก็ได้ทุ่มเทให้กับการจัดการกับอาหารบนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าเขา
แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ ซึ่งในขณะที่เย่เย่นั้นกำลังคิดที่จะลิ้มรสอาหารอย่างเงียบๆอยู่นั้น ก็ได้มีกลุ่มคนรูปร่างใหญ่และมีสีหน้าที่ชั่วร้ายจู่ๆก็เดินเข้ามาในร้านอาหารพร้อมกัน
ซึ่งคนที่ดูเป็นหัวหน้านั้นก็มีรูปร่างหยาบกร้าน แต่ก็มีความดุดันอยู่ระหว่างคิ้วของเขา หลังจากที่เขาเดินเข้ามาในโรงอาหารพร้อมกับลูกน้องของเขานั้น เขาก็ได้ไล่ลูกค้าบางโต๊ะที่อยู่ตรงกลางร้านออกไป แล้วนั่งอย่างตามใจฉันที่ตรงกลางห้องพร้อมด้วยคนของเขา แล้วก็ได้กวาดสายตามองไปยังเหล่าลูกค้ารอบๆด้วยความรู้สึกนึกสนุก
“พวกเจ้ามัวมองอะไรกันอยู่? อยากตายนักรึไง!”
“ไม่เคยเห็นคนหล่อรึยังไง? เดี๋ยวปั๊ดควักลูกตาทิ้งซะเลย!”
“เสี่ยวเอ้อรีบเอาอาหารมาเสิร์ฟได้แล้ว ถ้ามัวชักช้าพวกข้าจะปลดป้ายร้านของพวกเจ้าออกเสีย!”
“ถ้าหากว่ามีสุราดีกับอาหารดีก็เอามาขึ้นโต๊ะให้หมด ถ้าหากว่ารสชาติไม่ดีแล้ว ก็อย่าคิดจะได้เปิดร้านต่อเลย!”
แล้วเหล่าชายรูปร่างสูงใหญ่นั้นต่างก็มีสีหน้าที่ดุดันอย่างสุดๆ ซึ่งทันทีที่พวกเขาปรากฏตัวเข้ามาในร้าน พวกเขาก็ได้ทำลายบรรยากาศที่เงียบสงบและผ่อนคลายของร้านนี้ไปจนสิ้น
มีลูกค้าหลายโต๊ะที่นั่งอยู่ใกล้ๆพวกเขานั้นได้พากันจ่ายเงินและออกจากร้านไป ด้วยความกลัวว่าพวกเขาอาจจะตกกลายเป็นเป้าหมายของพวกเขาได้ ส่วนลูกค้าที่ยังไม่ได้ออกไปนั้นก็ได้ขยับที่นั่งของพวกเขาออกมา แล้วโต๊ะก็ได้เบียดเสียดกันเข้ามาหาคนที่อยู่ที่มุมร้าน ซึ่งพวกเขาต่างก็ไม่อยากที่จะยุ่งกับพวกคนที่น่ากลัวพวกนั้น
แล้วชายชุดดำที่เย่เย่สนใจก่อนหน้านี้ ในเวลานี้ตัวเขาก็ได้ย้ายสุราและกับข้าวมาที่โต๊ะของเย่เย่ แล้วก็มานั่งลงที่โต๊ะของเย่เย่ ตัวเขาได้ยิ้มให้กับเย่เย่อย่างฝืนๆ จากนั้นก็ได้พูดกับเย่เย่ในขณะที่กำลังทานอาหาร
“คุณชายดูไม่เหมือนคนแถวนี้เลย คุณชายแวะมาเที่ยวที่นี่อย่างนั้นเหรอ?”
หลังจากที่ชายชุดดำมองมาที่เย่เย่ เขาก็ได้ถามเย่เย่ขึ้นมา
“มาที่เมืองเหยียนเป่ยเพราะมีธุระน่ะ แต่ก็ถือโอกาสมาเที่ยวด้วย”
เย่เย่ก็ตอบด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่ถึงจะไม่ได้แสงอารมณ์อะไร แต่ในขณะเดียวกันก็ได้พยายามสร้างระยะห่างกับฝ่าย
เพราะในความคิดของเย่เย่นั้นด้วยความแข็งแกร่งของชายชุดดำแล้ว ตัวเขานั้นไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวชายร่างใหญ่กับลูกน้องของเขาเลย ซึ่งเหตุผลที่ว่าทำไมอีกฝ่ายนั้นทำไมถึงได้ยอมอดทนและทำตัวไม่โดดเด่นนั้น ก็เป็นไปได้ว่าตัวเขานั้นคงจะมีความลับบางอย่างอยู่และตัวเขาจึงได้พยายามทำตัวไม่เป็นที่จุดสนใจ
ตัวเย่เย่เองก็ไม่อยากที่จะไปโต้เถียงกับคนอื่น จึงได้ตัดสินใจที่จะแบ่งเส้นชัดเจนกับชายชุดดำ และไม่แสดงออกถึงความกระตือรือร้นเลยตั้งแต่ต้นจนจบในระหว่างที่กำลังทำงานอยู่
“คุณชายมาที่เมืองเหยียนเป่ยเพียงลำพังอย่างนั้นเหรอ? ข้านั้นเคยได้ยินมาว่าถึงแม้ว่าระเบียบภายในเมืองเหยียนเป่ยนั้นแม้จะดี แต่ก็ยังมีพวกอันธพาลบางคนที่ออกมาสร้างความปั่นป่วนให้กับเมืองอยู่ดี เจ้าเองก็ควรที่จะระวังตัวด้วย
แต่ทว่าชายชุดดำนั้นดูเหมือนจะไม่รู้สึกได้ถึงการปฏิเสธของเย่เย่ และยังถือโอกาสพูดคุยกับเย่เย่ไปพลางในระหว่างที่กำลังทานข้าว
ซึ่งบางทีตัวเขาอาจจะรู้ได้ถึงความไม่ธรรมดาของเย่เย่นั้นเหมือนกับตัวเขา ชายชุดดำจึงได้ให้ความสนใจกับเย่เย่ในห้องนี้ และไม่มีความคิดที่จะขยับย้ายไปยังที่อื่นๆเพื่อไปบีบโต๊ะร่วมกับผู้อื่น
ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะไม่พอใจ แต่อีกฝ่ายเองก็ได้เตือนเขาด้วยความหวังดี ถึงได้ตอบกลับไปอย่างใจเย็น “ขอบคุณท่านมากที่เตือนข้า ข้าจะระวังตัว!”