ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 356 อดีต
บทที่ 356
อดีต
แต่ทว่านับตั้งแต่ที่แลกเอากระบี่เจ็ดดาราสะท้านเทพกับยาแก่นแท้มา ทำให้ยอดเงินคงเหลือในระบบเติมเงินนั้นร่อยหรอหมดแล้ว และยามที่เขาจะบรรลุขึ้นสู่ชั้นจักรพรรดิเทพนั้น เขาก็จำเป็นต้องซื้อยาจากระบบเติมเงินเพื่อเพิ่มโอกาสในการบรรลุของเขา ดังนั้นความจำเป็นที่จะต้องหาตั๋วทองมาเพิ่มนั้นจึงเป็นสิ่งที่เย่เย่จะเมินเฉยไม่ได้
โชคยังดีที่หลังจากที่เขาได้สังหารมังกรสองหัวไปก่อนหน้านี้ เขาก็ได้เก็บเอาแก่นภายในของมังกรสองหัวเอาไว้อย่างดี ตราบเท่าที่เย่เย่สามารถขายแก่นภายในของมังกรสองหัวนี้ได้ในราคาที่สมน้ำสมเนื้อแล้ว มันก็จะไม่ใช่ปัญหาที่จะตั๋วทองแลกเป็นยาที่เย่เย่ต้องการ ดังนั้นในช่วงระหว่างที่เย่เย่กำลังสงบจิตสงบใจบีบอัดพลังปราณอยู่นั้น ก็ได้คิดว่าจะไปที่บ้านสกุลเหยียนที่เมืองเหยียนเป่ยเพื่อขายแกนภายใน
อย่างที่รู้กันดีว่าบ้านสกุลเหยียนในเมืองเหยียนเป่ยนั้นคือศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในเทียนหนาน ถึงแม้ว่าตระกูลเหยียนที่เป็นตระกูลอันดับหนึ่งในเทียนหนานนั้นจะมีอิทธิพลเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น และเมืองในปกครองอยู่แค่เมืองเดียวจากทั่วทั้งดินแดนเทียนหนาน แต่ไม่มีใครเลยที่สามารถเมินเฉยต่ออิทธิพลของเมืองเหยียนเป่ยในแผ่นดินเทียนหนานได้
และเนื่องจากความล้ำค่าของแก่นภายในมังกรสองหัวนั้น ก็ไม่มีหอการค้าหรือร้านค้าไหนๆในย่านริมชายฝั่งทะเลที่สามารถรับซื้อได้ แต่หากว่าเย่เย่นั้นไปที่เมืองเหยียนเป่ยแล้ว เขาจะต้องมองหาสถานที่ขายแก่นภายในได้สำเร็จเป็นแน่ เพราะนั่นคือพลังของเมืองเหยียนเป่ยที่เป็นเหมือนกับสรวงสวรรค์ของเหล่าหอการค้าในดินแดนเทียนหนาน
แต่ทว่าถึงแม้ว่าจะมีหอการค้ามากมายอยู่ใน เมืองเหยียนเป่ย แต่ที่มีอิทธิพลมากที่สุดก็ยังเป็นวังสมบัติของตระกูลเหยียนอยู่ดี ซึ่งผู้นำตระกูลเหยียนคนปัจจุบัน เหยียนเจิ้นตงนั้นก็เป็นประมุขวังของวังสมบัติสาขาหลักอีกด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่าตระกูลเหยียนนั้นให้ความสำคัญกับวังสมบัติอย่างมาก
ส่วนหอการค้าหรือร้านค้าอื่นๆในเมืองเหยียนเป่ยนั้น แม้ว่าจะไม่ใช่ห้างร้านที่อยู่ในนามของตระกูลเหยียน แต่เกือบทั้งหมดนั้นต่างก็มีจุดเชื่อมกันกับตระกูลเหยียนอย่างแยกกันไม่ออกอยู่ ซึ่งยอดฝีมือตระกูลเหยียนจากภูเขาเหยียนเป่ยนั้น ก็จะลงมาประจำการกันอยู่ที่เมืองเหยียนเป่ยเพื่อป้องกันไม่ให้มีคนทำลายความเรียบร้อย หรือละเมิดกฎของเมืองเหยียนเป่ย
ซึ่งเย่เย่นั้นก็ได้สงสัยเรื่องของเมืองโบราณเหยียนเป่ย นอกจากนี้เขายังจำเป็นที่จะต้องขายแก่นภายในมังกรสองหัว จึงได้ตัดสินใจที่จะไปที่เมืองเหยียนเป่ยเพื่อไปค้นพบด้วยตัวเอง นอกจากนี้เย่เย่เองก็สงสัยเรื่องของความสัมพันธ์ของ ตระกูลเหยียนกับเหยียนลี่หยางด้วย
อย่างไรเสียด้วยความสามารถและความแข็งแกร่งของ เหยียนลี่หยางแล้ว อีกทั้งอยู่ในตระกูลเหยียนที่เป็นตระกูลอันดับหนึ่งของดินแดนเทียนหนาน ก็ย่อมที่จะเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จักแน่นอน แต่ทว่านับตั้งแต่ที่เย่เย่รู้จักกับเหยียนลี่หยางมาก เขาก็ไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับตระกูลเหยียนมาจากปากของเขาเลย ถ้าหากไม่ใช่เพราะความยากลำบากของเมืองโม่ไห่ในครั้งนี้แล้ว เหยียนลี่หยางจึงได้คิดที่จะกลับไปที่บ้านสกุลเหยียนเพื่อขอความช่วยเหลือ เกรงว่าเย่เย่ก็คงไม่รู้ว่าเหยียนลี่หยางนั้นเป็นคนของตระกูลเหยียน ที่เป็นตระกูลอันดับหนึ่งในดินแดนเทียนหนาน
หากยึดจากความเข้าใจของเย่เย่ที่มีต่อเหยียนลี่หยางแล้ว หากว่าเขาไม่อธิบายออกมาเองว่าทำไม ก็แสดงว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับตระกูลเหยียนนั้นจะต้องมีอะไรที่ซับซ้อนอยู่แน่ๆ แต่ถ้าเหยียนลี่หยางไม่บอกออกมาแล้วเย่เย่เองก็ไม่คิดที่จะถามเหมือนกัน จึงทำได้แค่ไปที่เมืองเหยียนเป่ยให้รู้แจ้งเท่านั้น โดยที่เขาก็ไม่ได้ปิดบังอะไรจากเหยียนลี่หยางด้วย
เมื่อเย่เย่เรียกเหยียนลี่หยางออกมาจากอารามวิถีสวรรค์แล้วบอกว่าตัวเขาจะไปที่เมืองเหยียนเป่ยแล้ว เหยียนลี่หยางก็ได้ตกใจ แล้วก็ได้คัดค้านความคิดนี้ของเย่เย่
“ถ้าหากว่าเจ้าจะขายแก่นภายในของมังกรสองหัวแล้ว ข้าไปที่เมืองเหยียนเป่ยให้เจ้าก็ได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องไปเองหรอก” เหยียนลี่หยางนั้นดูเหมือนจะไม่อยากให้เย่เย่รู้เรื่องของ ตระกูลเหยียนไปมากกว่านี้ ดังนั้นจึงได้ขันอาสาที่จะไปที่ เมืองเหยียนเป่ยแทนเย่เย่เอง เพราะครั้งก่อนก็เป็นเขาที่ขนซากมังกรสองหัวไปขายที่วังสมบัติในหุบเขาหลิ่วชวาน ดังนั้น เหยียนลี่หยางจึงไม่คิดว่าจะมีอะไรผิดปกติที่จะทำเช่นนี้
แต่ทว่าในครั้งนี้เย่เย่กลับส่ายหัวแล้วอธิบายกับเหยียนลี่หยางอย่างใจเย็น “นอกจากจะไปขายแก่นภายในแล้ว ข้าเองก็อยากที่จะใช้โอกาสนี้แสดงความขอบคุณต่อตระกูลเหยียนด้วย ถ้าหากว่าตระกูลเหยียนไม่ช่วยออกหน้าห้ามเว่ยเหยียนเอาไว้ เกรงว่าสถานการณ์ในปัจจุบันของเมืองโม่ไห่นั้นอาจจะไม่ดีอย่างสุดๆไปแล้วก็ได้ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงอยากที่จะไปที่เมืองเหยียนเป่ยด้วยตัวเองในนามของเมืองโม่ไห่น่ะ”
“นอกจากนี้ ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันของเมืองโม่ไห่นั้นยังไม่สู้ดีเท่าไรนัก ถ้าหากว่าสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อตระกูลเหยียนได้ ก็จะเป็นผลประโยชน์ที่ดีต่อการพัฒนา เมืองโม่ไห่หลังจากนี้ ดังนั้นการเดินทางไปยังเมืองเหยียนเป่ยนั้นจะรอช้าไม่ได้ ต่อให้ข้าไม่ไปเอง ก็เกรงว่าเจ้าเมืองซ่างกวานจ้งคงจะส่งคนอื่นไปที่บ้านสกุลเหยียนเพื่อไปขอเป็นพันธมิตรกับตระกูลเหยียนอยู่ดี”
เย่เย่นั้นได้บอกกับซ่างกวานจ้งและคนอื่นๆไปก่อนหน้านี้แล้ว ว่าตัวเขานั้นมีความสัมพันธ์กับตระกูลเหยียน นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมตระกูลเหยียนถึงได้มาออกหน้าปรามเว่ยเหยียนเอาไว้ และยืดเวลาให้เมืองโม่ไห่ไปอีก 1 ปี ดังนั้นถ้าหากว่าเมืองโม่ไห่นั้นต้องการที่จะเป็นพันธมิตรกับตระกูลเหยียนแล้ว เย่เย่ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับเรื่องนี้
แต่ถ้าหากเย่เย่นั้นไม่สามารถไปที่เมืองเหยียนเป่ยด้วยเหตุผลบางประการได้ ซ่างกวานจ้งก็จะส่งคนอื่นไปที่ เมืองเหยียนเป่ยอยู่ดี ดังนั้นเหตุผลที่เย่เย่ให้มานั้นจึงได้มีมากพอ ซึ่งหลังจากที่ได้ยินเช่นนี้แล้วเหยียนลี่หยางก็ได้ตกอยู่ในความเงียบ
หลังจากที่ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ สุดท้ายเหยียนลี่หยางก็เหมือนจะคิดออก หลังจากที่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เขาก็ไม่ได้คัดค้านไม่ให้เย่เย่ไปที่เมืองเหยียนเป่ยอีก แล้วค่อยๆอธิบายเย่เย่ถึงต้นตอของการทะเลาะกันระหว่างเขากับตระกูลเหยียน
“ในเมื่อเจ้าจะต้องติดต่อกับตระกูลเหยียนในอีกไม่เร็วก็ช้า คงไม่จำเป็นสำหรับข้าที่จะปิดบังอดีตของข้ากับตระกูลเหยียนอีกต่อไป อย่างที่ข้าบอกเจ้าไปก่อนหน้านี้ ข้านั้นเป็นคนของตระกูลเหยียนจริงๆ เพียงแต่ข้าเป็นผู้สืบทอดลับที่ถูกฝึกฝนโดยตระกูลเหยียน เป็นที่คาดหวังเอาไว้สูงโดยเหล่าผู้นำระดับสูงในตระกูลเหยียน”
แล้วเหยียนลี่หยางก็ได้ตกอยู่ในความทรงจำขณะที่กำลังพูด
ส่วนเย่เย่เองก็ได้ฟังอย่างเงียบๆ ปล่อยให้เหยียนลี่หยางปลดปล่อยคำพูดจากหัวใจของเขาออกมา
ซึ่งกลายเป็นว่าก่อนที่เหยียนลี่หยางจะมารับสืบทอดอารามวิถีสวรรค์นั้น ตัวเขานั้นเป็นสมาชิกสายตรงของ ตระกูลเหยียนที่เป็นตระกูลอันดับหนึ่งในดินแดนเทียนหนาน แล้วตัวเขาเองก็เป็นยอดฝีมืออัจฉริยะที่หาได้ยากในตระกูลเหยียน ถึงแม้ว่าพ่อแม่ของเขานั้นจะเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าสลดในขณะที่ทำภารกิจให้กับตระกูล แต่เหยียนลี่หยางก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีทุกด้านจากเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลตั้งแต่ตอนที่เขายังเด็ก
ในเวลานั้นเพื่อที่จะปกป้องเหยียนลี่หยางแล้ว ตระกูลเหยียนได้ปิดกั้นข่าวทุกอย่างที่เกี่ยวกับเหยียนลี่หยางในตอนที่ความสามารถของเขาได้ถูกเปิดเผย แม้แต่ในบรรดาเด็กรุ่นเดียวกันของตระกูลเหลียนก็มีอยู่เพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องตัวตนของเหยียนลี่หยาง
ในแต่ละวันตอนวัยเด็กของเหยียนลี่หยางนั้นนอกจากฝึกวิชาแล้ว ตัวเขาก็ห้อมล้อมด้วยความโดดเดี่ยวตลอดทั้งวัน และเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้อารมณ์ของเหยียนลี่หยางต้องตกลงถึงขีดสุด หลังจากที่เหล่าคนระดับสูงของตระกูลเหยียนได้หารือกัน พวกเขาก็ได้คัดเลือกเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันจากในบรรดารุ่นเยาว์ของตระกูลเหยียนมาเป็นเพื่อนของเหยียนลี่หยาง และการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มที่ชื่อเหยียนเสี่ยวเฟยก็ได้เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตของเหยียนลี่หยางไปตลอด
ถึงแม้ว่าเหยียนเสี่ยวเฟยนั้นจะเป็นคนของตระกูลเหยียน แต่คนในครอบครัวของเขานั้นไม่มีชีวิตอยู่แล้ว เทียบกับในบรรดาเด็กรุ่นเดียวกันในตระกูลเหยียนคนอื่นๆแล้ว เหยียนเสี่ยวเฟยนั้นไม่ต่างอะไรไปจากเด็กกำพร้าเลย เพราะด้วยเหตุนี้เมื่อ เหยียนเสี่ยวเฟยทราบว่าตัวเขานั้นได้ถูกเลือกให้เป็นเพื่อนเล่นของเหยียนลี่หยางแล้ว ไม่เพียงแต่จะไม่มีความไม่พอใจในใจของเขาแล้ว แต่ยังเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจของการจัดการของตระกูลด้วย
เหยียนลี่หยางเองก็ดีใจกับการมาของเหยียนเสี่ยวเฟยเช่นกัน บางทีอาจเป็นเพราะมีภูมิหลังคล้ายคลึงกันระหว่างทั้งสองคน เหยียนลี่หยางกับเหยียนเสี่ยวเฟยจึงได้เป็นเพื่อนสนิทกันอย่างรวดเร็ว แล้วทั้งสองคนก็ได้ฝึกและเล่นด้วยกัน และเติมเต็มช่วงเวลาในวัยเยาว์ร่วมกัน
แต่แล้วทั้งหมดนี้ก็ได้กลับตาลปัตรเมื่อเหยียนลี่หยางอายุได้ 18 ปี ทำให้ตัวเขาต้องก้าวเดินลงในเส้นทางที่แตกหักกับตระกูลเหยียนจนยากที่จะกลับคืนมาได้
ซึ่งสาเหตุของเรื่องนี้มันมาจากที่เหยียนเสี่ยวเฟยนั้นที่เดิมที่มีความสามารถอยู่ในระดับกลางๆนั้นจู่ๆก็พรวดพราดกลายเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่น่าทึ่งขึ้นมา ความเร็วในการพัฒนาของเขานั้นเหนือยิ่งกว่าเหยียนลี่หยางเสียอีก ตระกูลเหยียนจึงได้หวังเอาไว้มาก ทั้งสองคนที่ตกตะลึงก็ได้ไปรายงานเรื่องนี้ให้เหล่าคนระดับสูงในตระกูลเหยียนได้รับทราบ ซึ่งแม้แต่เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเหยียนเองก็ยังต้องตกตะลึงกับเรื่องนี้
แต่ผลสุดท้ายที่ออกมาของเรื่องนี้นั้นได้ทำให้ เหยียนลี่หยางต้องสับสน และรับรู้ได้ว่าชะตากรรมของเขากับ เหยียนเสี่ยวเฟยทั้งคู่นั้นจะต้องถูกเขียนทับลงใหม่โดยเหตุการณ์นี้
เพราะคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลเหยียน ผู้อาวุโสเป่ยซานหลังจากที่ตรวจสอบกระดูกเซียนของเหยียนเสี่ยวเฟยแล้ว เขาก็ได้เรียกให้เหยียนลี่หยางกับเหยียนเสี่ยวเฟยมาหาเขาพร้อมกัน และหลังจากนั้นก็ได้สอนวิชาลับให้ทั้งสองคน ผู้อาวุโสเป่ยซานก็ได้ยืนอยู่เคียงข้างทั้งสองคนด้วยสีหน้าที่มีสมาธิอย่างสุดๆ ราวกับว่าจะสอนสั่งให้ทั้งสองคนนั้นฝึกวิชาลับให้ได้สำเร็จ
ทั้งเหยียนลี่หยางและเหยียนเสี่ยวเฟยสองคนนั้นต่างก็นับถือผู้อาวุโสเป่ยซานเหมือนดั่งเทพ โดยไม่รอช้าพวกเขาก็ได้เริ่มพากันฝึกวิชาลับกัน ใช้เวลาอยู่ไม่นานนักทั้งคู่ก็ได้ฝึกวิชาลับได้สำเร็จภายใต้การชี้นำของตระกูลเหยียน และหมดสติพร้อมๆกัน
จนกระทั่งเหยียนลี่หยางฟื้นขึ้นมา ก็พบว่าตัวเขาได้กลับมาที่ตำหนักที่เขาใช้ชีวิตและฝึกอยู่เป็นประจำแล้ว ส่วน เหยียนเสี่ยวเฟยที่อยู่ข้างกายเขามานานหลายปีนั้น ก็ได้หายลับไปจากสายตาของเหยียนลี่หยางแล้ว
เหยียนลี่หยางจึงได้ไปถามคนระดับสูงของตระกูลเหยียน ซึ่งท่าทีของพวกเขาก็ดูมีลับลมคมในมาก สุดท้าย ผู้อาวุโสเป่ยซานจึงได้บอกกับเหยียนลี่หยางด้วยตัวเอง เหยียนเสี่ยวเฟยนั้นได้อาสาที่จะกลับไปที่ดินแดนบรรพชนของตระกูลเหยียนเพื่อไปคุ้มกันหอบรรพชนแล้ว และให้ เหยียนลี่หยางลืมเรื่องของเขาและอุทิศตนให้กับการฝึกวิชาเสีย
ดินแดนบรรพชนของตระกูลเหยียนนั้นคือหมู่บ้านเล็กๆที่อยู่ท้ายภูเขาเหยียนเป่ยและถูกเรียกว่าหมู่บ้านเหยียนเจีย หมู่บ้านตระกูลเหยียนเจียนั้นดูเผินๆจะไม่ต่างอะไรไปจากหมู่บ้านใกล้เคียงเลย แต่น้อยคนนักในละแวกนั้นที่จะรู้เรื่องนี้ ว่าหมู่บ้านเหยียนเจียที่ดูเหมือนจะไม่สะดุดตานี้คือดินแดนบรรพชนของตระกูลเหยียนที่เป็นตระกูลอันดับหนึ่งในดินแดนเทียนหนาน
ซึ่งหอบรรพชนที่ตั้งอยู่ในดินแดนบรรพชนของ ตระกูลเหยียนนี่ เหล่าเชื้อสายของตระกูลเหยียนทุกรุ่นนั้นให้การนับถือบูชามาโดยตลอด ดังนั้นหอบรรพชนของตระกูลเหยียนนั้นจึงเป็นสถานที่ที่สำคัญของตระกูลเหยียนมาก และจะต้องมีคนของตระกูลเหยียนที่จงรักภักดีบางคนต้องกลับไปที่ดินแดนบรรพชนชั่วครั้งชั่วคราวเพื่อคุ้มกันหอบรรพชนนี้ เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีและขัดเกลาความมุ่งมั่นของตัวเอง
ดังนั้นเหยียนลี่หยางในเวลานั้นจึงได้ไม่สงสัยในคำพูดของผู้อาวุโสเป่ยซานแต่อย่างใด แต่ในใจของเขานั้นก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง และใช้การฝึกวิชาเพื่อถมความว่างเปล่าในใจของเขา แต่แล้วก็มีสิ่งที่ทำให้เหยียนลี่หยางนั้นตกใจ เมื่อความเร็วในการฝึกวิชาของเขาที่ช้าลงไปก่อนหน้านี้ หลังจากที่เรื่องนี้เกิดขึ้นก็ได้กลับมาพุ่งทะยานอีกครั้ง และความสามารถของเขานั้นก็สุดยอดมากจนทำให้ตัวเองยังรู้สึกตกตะลึง
เหยียนลี่หยางจึงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ก็ได้ทุ่มเทไปกับการฝึกมากขึ้นและในขณะเดียวกันก็เพื่อทำให้ลืมความเจ็บปวดที่เกิดจากการจากไปของเหยียนเสี่ยวเฟย หลังจากที่ผ่านไปได้ไม่กี่เดือนเหยียนลี่หยางก็ได้บรรลุขึ้นมาถึงระดับราชันย์เทพ และกลายมาเป็นยอดฝีมือราชันย์เทพที่อายุน้อยที่สุดในประวัติการณ์ของตระกูลเหยียน
และความตื่นเต้นของเหยียนลี่หยางนี้ก็ได้ทำให้ความเร็วของการฝึกวิชาของเขาช้าลงชั่วคราว และตั้งใจที่จะแบ่งปันความยินดีนี้กับเหยียนเสี่ยวเฟย ถึงแม้ว่าเหล่าคนในระดับสูงของตระกูลจะขัดขวางทุกวิถีทาง แต่เหยียนลี่หยางก็ได้หลบหนีจากการเฝ้าระวังของพวกเขาได้ในที่สุด และมาที่ดินแดนบรรพชนของตระกูลเหยียนที่อยู่ท้ายภูเขาเหยียนเป่ยเพื่อตามหาเบาะแสของเหยียนเสี่ยวเฟย
แต่เมื่อเหยียนลี่หยางได้พบกับเหยียนเสี่ยวเฟยจริงๆเข้า เขาก็ได้รับรู้เรื่องราวทุกอย่างที่ต่างไปจากที่เขาได้คาดคิดเอาไว้!