ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 349 เขาเหยียนเป่ย
บทที่ 349
เขาเหยียนเป่ย
ซูเทียนอวี้นั้นตั้งใจที่จะใช้ประโยชน์จากเว่ยเหยียนให้ถึงขีดสุด ตัวเขาจึงได้ยอมเสียเวลาอย่างมากเพื่อพูดคุยกับ เว่ยเหยียนแทนที่จะให้ยอดฝีมือของสำนักแก้วหลากสีต้องไปเสี่ยง
ภายใต้การเกลี้ยกล่อมของซูเทียนอวี้ เว่ยเหยียนผู้เย่อหยิ่งนั้นก็ได้ค่อยๆมีท่าทีที่โอนอ่อนลงมานิดหน่อย ถึงแม้ว่าตัวเขาจะยังไม่เห็นด้วยที่จะไปที่เมืองหลิ่วเยว่ แต่ทว่าเว่ยเหยียนก็ได้ตกลงว่าให้เหล่าศิษย์ของสำนักแก้วหลากสีไปที่เมืองหลิ่วเยว่ก่อนเพื่อประกาศคำเตือนในวันที่ทำสงครามกัน ถ้าหากเมืองโม่ไห่นั้นยังจะดึงดันที่จะโจมตีเมืองหลิ่วเยว่โดยที่ไม่สนใจในคำเตือนแล้วล่ะก็ จะถือว่าเป็นการท้าทายต่ออำนาจของสำนักแก้วหลากสี เมื่อถึงเวลานั้นเว่ยเหยียนก็จะบุกไปที่เมืองโม่ไห่แล้วถล่มให้ราบ
นี่คือข้อสรุปหลังจากที่ทั้งสองคนได้หารือกัน ซึ่งไม่ว่า ซูเทียนอวี้นั้นจะพอใจหรือไม่ แต่เว่ยเหยียนก็ได้บอกว่าจะไม่หารือต่อแล้ว
ในขณะที่สำนักแก้วหลากสีนั้นเพิ่งจะตัดสินใจได้เรื่องของการจัดการกับการประกาศสงครามของเมืองโม่ไห่ได้นั้น ตระกูลเหยียนซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ในดินแดนเทียนหนานนั้น ก็ได้ทำการต้อนรับนายน้อยกันอย่างเงียบๆแต่ทำเอาตื่นเต้นไปทั่วทั้งตระกูลเหยียน
นอกจากเหล่าผู้อาวุโสกับรุ่นเยาว์ของตระกูลที่ไม่รู้เรื่องนี้แล้ว เหล่าผู้นำระดับสูงของตระกูลเหยียนก็ได้มารวมตัวกันที่ทางออกของหุบเขาถงเฟิงอันเป็นพื้นที่ต้องห้ามของตระกูล เหยียน และเฝ้ารอคนที่เขาไปข้างในกลับออกมาเป็นๆ
เหยียนเสียอวิ๋นที่กลับมาที่บ้านสกุลเหยียนจากวังสมบัติที่หุบเขาหลิ่วชวานเป็นการเฉพาะกิจนั้น ก็ได้มองไปที่หุบเขา ถงเฟิงด้วยความกระวนกระวายและดวงตาก็เต็มไปด้วยความกังวล เพราะในเวลานี้ที่เข้าไปในหุบเขาถงเฟิงนั้นไม่ใช่คนที่อยากตายที่ไหน แต่เป็นเหยียนลี่หยางที่ตามเหยียนเสียอวิ๋นกลับมาที่บ้านสกุลเหยียน
ซึ่งกลายเป็นว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนจู่ๆเหยียนลี่หยางก็ได้มาปรากฏตัวตรงหน้าของเหยียนเสียอวิ๋น เพื่อมาขอให้พาไปที่เขา เหยียนเป่ยซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านสกุลเหยียน แน่นอนว่า เหยียนเสียอวิ๋นนั้นดีใจอย่างสุดๆ จึงได้พาเหยียนลี่หยางกลับบ้านสกุลเหยียนโดยไม่ถามถึงเหตุผลเลยแม้แต่น้อย และได้มาปรากฏตัวต่อหน้าเหล่าผู้นำระดับสูงของตระกูลเหยียนอีกหน
เหยียนเสียอวิ๋นนั้นคิดว่าเหยียนลี่หยางนั้นคงจะคิดได้และพร้อมที่จะกลับมาที่เขาเหยียนเป่ยเพื่อกลับมาทำงานเพื่อตระกูลเหยียน เมื่อเห็นเหยียนลี่หยางกลับมาเหล่าผู้นำระดับสูงของตระกูลเหยียนนั้นต่างก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ เหยียนเจิ้นตงผู้นำตระกูลเหยียนนั้นก็ได้คิดที่จะไปเกลี้ยกล่อมเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเหยียนด้วยตัวเอง เพื่อให้พวกเขายกโทษให้กับความผิดพลาดของเหยียนลี่หยางเมืองเขากลับมาที่ตระกูลเหยียน และกลับเป็นสมาชิกของตระกูลเหยียนอีกครั้ง
แต่ทว่าท่าทีของเหยียนลี่หยางนั้นกลับเหนือความคาดหวังของทุกคน เพราะว่าเขานั้นมาเพื่อขอพบกับผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลเหยียนผู้อาวุโสเป่ยซาน และไปขอร้องต่อหน้าของผู้อาวุโสเป่ยซาน เพื่อขอให้เขาไปที่สำนักแก้วหลากสีเพื่อซื้อเวลาให้กับเมืองโม่ไห่
จนกระทั่งในเวลานี้ทุกคนก็ได้เข้าใจถึงเหตุผลที่ว่าทำไมเหยียนลี่หยางถึงได้กลับมาที่ตระกูลเหยียน
เหยียนเสียอวิ๋น, เหยียนเจิ้งตงกับคนอื่นๆนั้นต่างก็มีสีหน้าตกใจ ด้วยความกลัวว่าผู้อาวุโสเป่ยซานจะฆ่าเหยียนลี่หยางตายคาที่ด้วยความโกรธเสียก่อน เพราะหลังจากที่เหยียนลี่หยางออกจากตระกูลเหยียนไปอย่างเงียบๆนั้น ผู้อาวุโสเป่ยซานที่คาดหวังกับตัวเขาไว้มากที่สุดนั้นก็ได้ให้กำจัดชื่อของ เหยียนลี่หยางออกจากตระกูลเหยียน แต่ไม่คาดคิดว่าตัวเขานั้นจะกลับมาทำให้ผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นต้องผิดหวังอีกหน
“เจ้าคือคนที่คิดอยากจะออกจากตระกูลเหยียนเมื่อตอนนั้น แล้วตอนนี้เจ้ายังจะมีหน้ากลับมาขอร้องข้าอีกอย่างนั้นเหรอ?”
ผู้อาวุโสเป่ยซานมีสีหน้าที่ใจเย็นและดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างเหยียนลี่หยางกับเมืองโม่ไห่เลยแม้แต่น้อย แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เหยียนลี่หยางกลับมาที่บ้านสกุลเหยียนในรอบหลายปี ไม่ได้มีความรู้สึกหวั่นไหวในสายตาของผู้อาวุโสเป่ยซานเลยแม้แต่น้อย และดูเหมือนจะเห็น เหยียนลี่หยางเหมือนกับเป็นคนนอก
“เมื่อก่อนท่านได้แอบฝึกฝนข้าให้กลายเป็นยอดฝีมือ ก็ไม่ใช่เหตุผลอื่นใดนอกจากต้องการให้ข้าเป็นไพ่ตายของตระกูลเหยียน แต่ข้าจะลืมอดีตและยอมที่จะรับใช้ตระกูลเหยียนอีกครั้งก็ได้ เพียงแต่ท่านจะต้องยอมทำตามเงื่อนไขที่ข้าเสนอไปเมื่อสักครู่!”
เหยียนลี่หยางนั้นไม่ได้อธิบายออกไปว่าทำไมตัวเขาถึงได้เสนอเช่นนี้ ในขณะที่กำลังเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสเป่ยซานผู้ที่อยู่ในระดับสูงสุดของจักรพรรดิเทพอยู่นั้น สีหน้าของเขาก็สงบนิ่งอยู่ตลอด แต่พอนึกถึงบางอย่างในอดีตได้ คิ้วของเขาก็ได้ขมวดแน่นราวกับว่าไม่อยากที่จะนึกถึงมันอีก
นอกจากเหยียนเสียอวิ๋น เหล่าผู้นำระดับสูงของตระกูล เหยียนนั้นก็ได้เข้าใจว่าอดีตที่เหยียนลี่หยางพูดถึงนั้นหมายถึงอะไร และมีสีหน้าสลดบนใบหน้าของพวกเขา ดูเหมือนว่าจะเป็นการยากที่จะเลือกระหว่างผู้อาวุโสเป่ยซานกับเหยียนลี่หยาง
บรรยากาศในนั้นก็ได้ตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ และแม้แต่เหยียนเจิ้นตงผู้นำตระกูลเหยียนเองก็ยังไม่มีความกล้ามากพอที่จะพูดต่อหน้าของผู้อาวุโสเป่ยซาน
แต่ทว่าเหยียนลี่หยางนั้นเหมือนจะไม่ได้รู้สึกอะไรเลย และยังจ้องเขม็งไปที่ผู้อาวุโสเป่ยซานด้วยสีหน้านิ่งๆ และรอคำตอบที่ชัดเจนจากเขา
“มันเคยเป็นเช่นนั้นจริงในอดีต แต่ในตอนนี้เจ้าคิดว่ามีสิทธิ์อะไรที่จะมาต่อรองตระกูลเหยียนของพวกเรา? ไม่ใช่ว่าเจ้าพูดเองเหรอว่าตัวเจ้าไม่ใช่คนของตระกูลเหยียนแล้ว หรือต่อให้เจ้าเป็นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีมีใครเลยในบรรดารุ่นเยาว์ของตระกูล เหยียนจะมาแทนที่ของเจ้าเสียหน่อย”
ผู้อาวุโสเป่ยซานเองก็ไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อก่อน ในฐานะที่เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลเหยียนแล้ว ตัวเขานั้นจึงได้เห็นแก่ผลประโยชน์ของตระกูลเป็นหลักโดยไม่สนใจว่าการกระทำของเขานั้นจะถูกต้องหรือไม่
นับตั้งแต่ตอนที่เหยียนลี่หยางได้จากไป ตระกูลเหยียนก็ได้ทำการคัดเลือกรุ่นเยาว์ขึ้นมาฝึกใหม่อย่างสุดความสามารถ แต่หลังจากที่ผ่านไปหลายปีถึงแม้ว่าคนคนนั้นจะยังไม่ถึงระดับเดียวกันกับเหยียนลี่หยางในเวลานี้แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลมากนัก ดังนั้นในสายตาของผู้อาวุโสเป่ยซานแล้ว ความสำคัญของ เหยียนลี่หยางนั้นจึงย่อมไม่สูงเท่ากับเมื่อก่อนแล้ว
แต่ทว่าเหยียนลี่หยางเองก็รู้ถึงนิสัยของผู้อาวุโสเป่ยซานดี หลังจากที่อีกฝ่ายพูดจบเหยียนลี่หยางก็ได้เดินขึ้นหน้ามา แล้วกล่าวกับผู้อาวุโสเป่ยซานด้วยเสียงที่ดังก้องและหนักแน่น “ถึงแม้ว่าจะมีรุ่นเยาว์มากมายอยู่ในตระกูลเหยียน แต่ข้าเชื่อว่ามีข้าเพียงคนเดียวที่สามารถกลับออกมาจากหุบเขาตงเฟิงอย่างเป็นๆได้! ถ้าหากว่าข้าสามารถพิสูจน์ความแข็งแกร่งของข้าได้ ข้าหวังว่าผู้อาวุโสเป่ยซานจะไปที่สำนักแก้วหลากสีทันทีเพื่อยับยั้งเว่ยเหยียน!”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา เหยียนเสียอวิ๋นกับคนอื่นๆต่างก็ตกใจ แม้แต่ผู้อาวุโสเป่ยซานที่สีหน้านิ่งมาตลอดก็ยังต้องขยับหลังจากที่ได้ยินคำพูดที่มุ่งมั่นของเหยียนลี่หยาง
“ไม่ได้นะลี่หยาง! หุบเขาถงเฟิงเป็นสถานที่ต้องห้ามของตระกูลเหยียน ไม่มีใครที่ไม่ใช่ระดับจักรพรรดิเทพรอดกลับออกมาได้อย่างเป็นๆเลยนะ!”
“ใช่ๆ! ลี่หยางเจ้าไตร่ตรองดูใหม่อีกหนเถอะ! เจ้าสัตว์อสูรเพลิงสิ้นไม่ใช่อะไรที่เจ้าจะจัดการได้ง่ายๆนะ เจ้ารีบขอขมาท่านผู้อาวุโสเถอะ”
“สัตว์อสูรเพลิงสิ้นนั้นเป็นสัตว์อสูรโบราณ มีเพียงผู้อาวุโสของตระกูลเหยียนเพียงไม่กี่คนที่เผชิญหน้ากับมันได้ ลี่หยางเจ้าจะบ้าไปแล้วเหรอ!”
เหล่าผู้นำระดับสูงของตระกูลเหยียนนั้นต่างก็พากันเตือนเหยียนลี่หยางทีละคน และหวังให้เหยียนลี่หยางถอนคำพูดที่เขาเพิ่งพูดเมื่อสักครู่
โดยเฉพาะเหยียนเสียอวิ๋นกับเหยียนเจิ้นตงที่ต่างก็กลัวว่าผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นจะรับข้อเสนอของเหยียนลี่หยางด้วยความโกรธ และปล่อยให้เหยียนลี่หยางถูกฝังอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามของหุบเขาถงเฟิง
แต่ทว่าเหยียนลี่หยางนั้นก็ไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อมของเหล่าผู้นำระดับสูงของตระกูลเหยียนเลย และยังคงจ้องเขม็งไปที่ผู้อาวุโสเป่ยซานอย่างใจเย็นราวกับว่าตัวเขานั้นไม่กลัวสัตว์อสูรเพลิงสิ้นในหุบเขาถงเฟิงเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นเช่นนี้ผู้อาวุโสเป่ยซานก็ดูเหมือนจะทำความเข้าใจกับเหยียนลี่หยางเสียใหม่ และดวงตาของเขาก็ได้เกิดความลังเลขึ้นมา แต่ทว่าสุดท้ายตัวเขาเองก็ได้ถูกกระตุ้นด้วยจิตวิญญาณต่อสู้ของเหยียนลี่หยาง จึงได้เงยหน้าขึ้นมาแล้วตอบกลับเหยียนลี่หยางอย่างชัดเจน “ได้!”
แล้วการเดิมพันระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ ผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นไม่แม้แต่จะถามว่า เหยียนลี่หยางนั้นปกป้องเมืองโม่ไห่ไปทำไม และคิดที่จะเดิมพันกับความสามารถที่แท้จริงของเหยียนลี่หยางด้วยทั้งตระกูล เหยียน
ถ้าหากว่าเหยียนลี่หยางออกมาจากหุบเขาถงเฟิงอย่างเป็นๆและพิสูจน์ได้ว่าตัวเขานั้นมีพลังเทียบเคียงกับระดับจักรพรรดิเทพได้จริงๆ แล้วทำไมตระกูลเหยียนจะสร้างข้อยกเว้นให้เขาไม่ได้? อย่างไรเสียตระกูลเหยียนนั้นก็เป็นถึงตระกูลอันดับหนึ่งในดินแดนเทียนหนาน แม้แต่สำนักแก้วหลากสีก็ยังต้องไว้หน้า ยิ่งไปกว่านั้นคำขอของเหยียนลี่หยางก็แค่กักขังเว่ยเหยียนเอาไว้ ไม่ใช่ให้ตระกูลเหยียนไปเป็นศัตรูกับสำนักแก้วหลากสี ทำให้ผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นไม่กลัวที่จะรับความเสี่ยงนี้
“อึ่ก!”
เหยียนเสียอวิ๋น, เหยียนเจิ้นตงและคนอื่นๆเองก็ไม่ได้กลัวที่จะเป็นศัตรูของสำนักแก้วหลากสี เพียงแต่พวกเขานั้นไม่คิดว่าเหยียนลี่หยางนั้นจะมีความสามารถมากพอที่จะรอดออกมาจากหุบเขาถงเฟิงได้ แต่ทว่าในเวลานี้เหยียนลี่หยางกับผู้อาวุโสเป่ยซานก็ได้ตกลงเดิมพันกันไปแล้ว ไม่ว่าใครจะพูดเช่นไรก็เปล่าประโยชน์ และทำได้แค่ตามเหยียนลี่หยางไปที่หุบเขาถงเฟิง สถานที่ต้องห้ามบนภูเขาเหยียนเป่ย
ส่วนผู้อาวุโสตงฟางนั้นยังคงฝึกวิชาอยู่อย่างเงียบๆในห้องพักของเขา ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสคนอื่นๆนั้นจะได้ข่าวการมาของเหยียนลี่หยาง แต่ก็ไม่มีใครที่โผล่ออกมาหรือรอดูผลของการเดิมพันของเหยียนลี่หยางเลยแม้แต่น้อย ในสายตาของพวกเขานั้นมีเพียงเหยียนลี่หยางจะต้องแสดงคุณค่าของเขาให้เห็นว่าคู่ควรที่จะกลับมายังตระกูลเหยียนถึงจะได้รับความสนใจจากพวกเขา แต่ถ้าหากเหยียนลี่หยางไม่กลับมาจากหุบเขาถงเฟิงแล้ว พวกเขาก็จะทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น อารมณ์ของพวกเขาจึงได้สงบนิ่งเหมือนเช่นเคย
แต่ทว่า เหยียนเสียอวิ๋นกับเหยียนเจิ้นตงนั้นคอยเฝ้าดูการเติบโตของเหยียนลี่หยางมาโดยตลอดจึงได้เป็นห่วงเป็นใยเขามากกว่าใครๆ หลังจากที่เป็นพยานว่าเหยียนลี่หยางเข้าไปในหุบเขาถงเฟิงแล้ว พวกเขาก็ได้รู้สึกเป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา และกลัวว่าเหยียนลี่หยางนั้นจะไม่กลับมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาอีกแล้ว
ในหุบเขาถงเฟิงที่ทั้งมืดและแคบนั้น ทันทีที่ เหยียนลี่หยางเข้าไปในสถานที่แห่งนี้ ตัวเขาก็พบกับการโจมตีของสัตว์อสูรเพลิงสิ้นทันที
ตูม!
มีหางยาวๆฟาดลงมาจากกลางอากาศราวกับเสา ลงมายังหัวของเหยียนลี่หยาง เกิดลมพัดกรรโชกพัดเอาทั้งทรายและหินในหุบเขาถงเฟิงลอยขึ้นไปบนอากาศทันที เกิดเป็นฝุ่นควันคละคลุ้งบดบังสายตาของเหยียนลี่หยางทันที
แกร๊ง!
แต่ทว่าเหยียนลี่หยางก็ได้ชักเอากระบี่เจ็ดดาราสะท้านเทพออกมาจากข้างหลังของเขา และป้องกันการโจมตีของสัตว์อสูรเพลิงสิ้นได้อย่างทันท่วงที เกิดเป็นเสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นมา
ฟิ้ว!
เหยียนลี่หยางก็ได้ถอยออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วถือกระบี่เจ็ดดาราสะท้านเทพแล้วพุ่งไปยังทิศทางที่หางพุ่งออกมา ด้วยการช่วยเหลือด้วยแสงที่ริบหรี่ในหุบเขา เหยียนลี่หยางก็พบกับสัตว์อสูรเพลิงสิ้น
เจ้าสัตว์อสูรตัวสีดำนี้ดูคล้ายกับสิงโต แต่มีขนาดใหญ่ๆพอๆกับหุบเขา และลูกตาสีเลือดทั้ง 2 ข้างของมันก็เหมือนกับตะเกียงไฟสีแดงขนาดใหญ่ ช่างดูน่ากลัวยิ่งนัก
แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้เหยียนลี่หยางตกใจที่สุดคือ เขี้ยวทั้งสองในปากของสัตว์อสูรเพลิงสิ้นนั้นมีขนาดยาวถึง 10 จั้ง เขี้ยวที่แหลมคมทั้งสองข้างของมันก็ได้ปักลึกลงไปในพื้นในขณะที่สัตว์อสูรเพลิงสิ้นนั้นกำลังนอนอยู่ ราวกับว่าพื้นดินแข็งๆนั้นสามารถถูกแทงทะลุได้ราวกับเต้าหู้เมื่ออยู่ต่อหน้าเขี้ยวที่แหลมคมของมัน และหุบเขานี้ก็เหมือนจะสั่นไหวเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าสัตว์อสูรเพลิงสิ้นนั้นจะอาศัยอยู่ได้แค่ในอาคมที่วางเอาไว้ในหุบเขาถงเฟิง ทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะสามารถทะลุผ่านอาคมนี้และเป็นอิสระได้ แต่ความแข็งแกร่งของมันในระดับราชันย์เทพนั้นก็เหนือความคาดหมาย ใครก็ตามที่เข้ามาในหุบเขาถงเฟิงนั้นมีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งในระดับจักรพรรดิเทพถึงจะหลุดรอดจากสายตาของมันกลับมาอย่างเป็นๆ หากเข้าไปในหุบเขานี้โดยไร้ซึ่งความแข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเทพแล้วก็เป็นได้แค่เพียงขี้ของสัตว์อสูร ขยับเพียงนิดเดียวก็ได้ตายคาปากของสัตว์อสูรแล้ว
“นี่น่ะเหรอสัตว์อสูรเพลิงสิ้นในตำนาน? มีพลังกดดันที่ต่างออกไปจริงๆ!”
หลังจากที่เหยียนลี่หยางได้เห็นรูปร่างเต็มๆของสัตว์อสูรเพลิงสิ้นแล้ว ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะเคร่งเครียด แต่ดวงตาของเขากลับปรากฏความมั่นใจที่แรงกล้าออกมา
สัตว์อสูรเพลิงสิ้นนี้เดิมทีนั้นถูกจับตัวมาโดยเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเหยียน แล้วมันก็ได้ถูกผนึกอยู่ในพื้นที่ของตระกูลเหยียนด้วยพลังของจักรพรรดิเทพ ต่อมามันก็ได้ถูกตระกูลเหยียนเอาไว้ใช้ในการจัดการกับนักโทษ เหล่าลูกหลานของตระกูลเหยียนที่ทำผิดร้ายแรงนั้นก็จะต้องกลายเป็นอาหารในปากของเจ้าเพลิงสิ้น ดังนั้นเหล่าลูกหลานของตระกูลเหยียนจึงได้รู้สึกหวาดกลัวจากใจกับเจ้าสัตว์อสูรเพลิงสิ้นนี้
เหยียนลี่หยางเองก็ได้เติบโตมากับการฟังตำนานของเจ้าสัตว์อสูรเพลิงสิ้นนี้ และเกรงกลัวเจ้าสัตว์อสูรตัวนี้ไม่น้อยไปกว่าคนในรุ่นของเขาเลย แต่ในเวลานี้เพื่อที่จะแก้วิกฤติของเมืองโม่ไห่แล้ว ก่อนที่จะกลับมาที่บ้านสกุลเหยียนนั้นตัวเขาก็ได้เตรียมใจที่จะสู้กับเจ้าสัตว์อสูรเพลิงสิ้นเอาไว้แล้ว