ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 348 ประกาศสงคราม
บทที่ 348
ประกาศสงคราม
เมื่อเห็นสายตาที่คาดหวังและเคร่งเครียดแล้ว เย่เย่ก็ได้ตัดสินใจที่จะไม่ปิดบังอีกต่อไป และได้เปิดเผยเรื่องที่เขาได้ทราบมาจากเหยียนลี่หยางให้ซ่างกวานจ้งกับคนอื่นๆฟัง “ท่านเจ้าเมืองช่างหลักแหลมยิ่งนัก จริงๆแล้วข้าได้ทราบข่าววงในมาจากสำนักแก้วหลากสี!”
เมื่อซ่างกวานจ้งกับคนอื่นๆได้ยินที่เย่เย่พูด ใบหน้าของพวกเขาก็ได้พลันมีสีหน้ากังวลขึ้นมาทันที พวกเขานั้นไม่ได้ถามที่มาของข่าวแต่ก็ฟังอย่างตั้งใจและมีความสนใจอย่างสุดๆในดวงตาของเขา
“จากข่าวที่ข้าได้รับมา นักฆ่าที่เข้าไปในสำนักหลากสีเพื่อสังหารเว่ยเหยียนนั้นไม่ใช่ระดับสูงสุดราชันย์เทพ แต่เป็นยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพของจริง หรือพูดอีกอย่างคือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเว่ยเหยียนนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่พวกเราคาดเอาไว้เสียอีก และสำนักแก้วหลากสีนั้นก็ได้จงใจปิดบังข่าวนี้ก็เพื่อทำให้พวกเราประมาทศัตรู!”
เย่เย่นั้นไม่ได้บอกทั้งหมดและแบ่งปันข้อมูลแต่เฉพาะในส่วนที่สำคัญกับซ่างกวานจ้งและคนอื่นๆเท่านั้น
อย่างที่คิดเอาไว้ ทั้งซ่างกวานจ้งกับคนอื่นๆนั้นต่างก็พากันตกใจเมื่อได้ยินเรื่องที่เขาเล่า และมีแววตาตกตะลึงปรากฏในดวงตาของพวกเขา
“มือสังหารอยู่ในระดับจักรพรรดิเทพ!”
“นี่มัน? จะเหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว!”
“ถึงแม้ว่าเว่ยเหยียนนั้นจะเคยสู้กับยอดฝีมือจักรพรรดิเทพมาก่อน แต่ทว่าการต่อสู้กับการสังหารนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง!”
ใบหน้าของหลิ่วซื่อหมิงกับพรรคพวกนั้นต่างก็หน้าถอดสี ราวกับว่าพวกเขาถูกทำให้หมดกำลังใจด้วยข่าวของเย่เย่
แม้แต่ซ่างกวานจ้งเองก็ยังมีความขมขื่นลึกๆอยู่ในดวงตาของเขาเมื่อเขารับรู้ได้ว่าเย่เย่นั้นไม่ได้หลอกเขา ภายใต้แรงกดดันที่แข็งแกร่งของเว่ยเหยียน ซ่างกวานจ้งก็ได้ยอมรับว่าเมืองโม่ไห่ของพวกเขานั้นไม่มีความสามารถมากพอที่จะต่อต้านเว่ยเหยียนได้เลย
เย่เย่นั้นไม่ได้คิดที่จะพูดปลอบคนเหล่านี้ จึงได้พูดกับซ่างกวานจ้งต่อทันที “ท่านเจ้าเมือง จากความจริงที่ว่าสำนักแก้วหลากสีนั้นได้จงใจปิดบังข่าวนี้นั้น จะเห็นได้ว่าจุดประสงค์ของพวกเขานั้นไม่ใช่เพื่อทำให้เมืองโม่ไห่ตกใจ แต่เหมือนกับตั้งใจที่จะกวาดล้างเมืองโม่ไห่ทีเผลอมากกว่า และด้วยเหตุนี้ทำไมพวกเราถึงไม่ฉวยโอกาสนี้ขจัดภัยจากเมืองหลิ่วเยว่ก่อนที่สำนักแก้วหลากสีจะมาโจมตีเสียล่ะ!”
“และแรงกดดันที่มาจากเว่ยเหยียนนั้นก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังใจของเมืองโม่ไห่อย่างแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนั้นต่อให้พวกเราไม่รอให้เว่ยเหยียนมาถล่มก็จะมีการก่อกบฏเกิดขึ้นในเมืองโม่ไห่ขึ้นมาแล้วจากนั้นเมืองโม่ไห่ของพวกเราก็จะต้องแพ้อย่างขายขี้หน้า เพื่อแผนการในวันนี้แล้วพวกเราจะใช้เมืองหลิ่วเยว่เป็นตัวช่วยเพิ่มกำลังใจของเมืองโม่ไห่ ถ้าหากพวกเราเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่คาดไม่ถึงจากเมือง หลิ่วเยว่มาได้ บางทีพวกเราก็อาจจะมีหนทางที่จะใช้ต่อกรกับ เว่ยเหยียนก็เป็นได้!”
เย่เย่ก็ได้ค่อยๆอธิบายเหตุผลต่อหน้าของซ่างกวานจ้งและคนอื่นๆ ซึ่งได้ทำให้สีหน้าของทุกคนนั้นแจ่มชัดมากขึ้นเรื่องๆ เพียงแต่ว่าข้อเสนอของเย่เย่นั้นมันเสี่ยงเกินไปจริงๆถ้าเกิดก้าวเดินผิดพลั้งไปก็จะส่งผลต่อการล่มสลายของเมืองโม่ไห่ให้เร็วขึ้นไปอีก ซ่างกวานจ้งกับคนอื่นๆจึงยังไม่สามารถตัดสินใจได้อยู่สักพักหนึ่ง
จงเจิ้งหมิงที่อยู่อีกฟากเมื่อเห็นเช่นนี้ก็ได้อาศัยโอกาสเดินมาหาซ่างกวานจ้งแล้วกล่าว “ท่านเจ้าเมืองซ่างกวาน ข้าคิดว่าที่ท่านรองเจ้าเมืองพูดมาก็ถูกต้องอยู่ ในเมื่อเมืองเสียหยางของเราได้ตัดสินใจที่จะร่วมเป็นร่วมตายกับเมืองโม่ไห่แล้วพวกเราก็ได้เตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดแล้ว ในเมื่อสำนักแก้วหลากสีนั้นปฏิเสธที่จะให้โอกาสพวกเรารอดแล้ว พวกเราก็จำต้องหาทางรอดด้วยตัวเอง ถ้าหากเมืองของพวกเราทั้งสองเมืองยังไม่หมดเรี่ยวแรง ข้าก็เชื่อว่าหลังจากที่พวกเรายึดครองเมืองหลิ่วเยว่มาได้แล้ว พวกเราจะต้องพบหนทางจัดการกับสำนักแก้วหลากสีอย่างแน่นอน!”
จงเจิ้งหมิงนั้นอยากที่จะไปที่เมืองหลิ่วเยว่อยู่นานแล้วเพื่อที่จะไปกำจัดคนทรยศของเมืองเสียหยาง แต่หากไร้การช่วยเหลือจากเมืองโม่ไห่แล้วแผนการของเขานั้นก็เป็นไปไม่ได้เลย ในเวลานี้เย่เย่นั้นได้เสนอแผนการรบกับเมืองหลิ่วเยว่ขึ้นมาพอดีและยังมีเหตุผลอีกด้วย จงเจิ้งหมิงจึงย่อมไม่พลาดโอกาสนี้และถือโอกาสเดินมาหาซ่างกวานจ้งเพื่อช่วยพูดให้เย่เย่
เมื่อเห็นสองยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองโม่ไห่นอกจากตัวเขาเห็นด้วยที่จะสู้กับเมืองหลิ่วเยว่แล้ว สุดท้ายท่าทีของซ่างกวานจ้งก็ได้เปลี่ยนไป หลังจากที่ลังเลอยู่สักพักเลือดในการของซ่างกวานจ้งก็ได้พลุกพล่านขึ้นมา
“ก็ได้! ออกไปสู้จะดีกว่าแทนที่จะมัวนั่งอยู่เฉยๆแบบนี้! หวังว่าศึกนี้จะไม่ใช่แค่เพียงเพิ่มกำลังใจให้กับเมืองโม่ไห่ของเราแต่ยังซื้อเวลาให้กับพวกเราด้วย! ในเวลานี้ข้าจอแต่งตั้งให้รองเจ้าเมืองเย่เย่เป็นผู้บัญชาการรบของเมืองโม่ไห่เข้าสู้กับเมืองหลิ่วเยว่ พลรบทุกคนในเมืองโม่ไห่นอกจากข้าจะถูกส่งออกไปเพื่อไปจัดการเมืองหลิ่วเยว่ให้ราบในคราเดียว!”
หลังจากที่ซ่างกวานจ้งได้ตัดสินใจแล้ว ตัวเขาก็ได้ออกคำสั่งกับทุกคนทันที ซึ่งในขณะที่กำลังจัดเตรียมยอดฝีมือให้ไปติดตามเย่เย่ไปสู้กับเมืองหลิ่วเยว่อยู่นั้น ตัวเขาก็ได้สั่งการหน่วยขนส่งเสบียงในเมืองโม่ไห่เตรียมพร้อม เพื่อที่จะได้มาขนส่งข้าวของสำหรับฝึกวิชาในเมืองหลิ่วเยว่ได้ทุกเมื่อเพื่อเพิ่มพูนทรัพยากรของเมืองโม่ไห่ และทำทุกสิ่งเท่าที่จะทำได้เพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของเมืองโม่ไห่
ส่วนตัวของซ่างกวานจ้งเองนั้น ก็ได้ตัดสินใจที่จะอยู่ป้องกันเมืองโม่ไห่ด้วยตัวเองเช่นเดียวกันกับจงเทียนหลิน ตัวเขาอาสาที่จะดูแลอาคมเพื่อป้องกันเมืองโม่ไห่
“น้อมรับคำสั่งของท่านเจ้าเมือง!”
หลังจากที่รับคำสั่งมาจากตัวของซ่างกวานจ้ง ไม่ว่า หลิ่วซื่อหมิงกับคนอื่นๆจะมีท่าทีเช่นไร พวกเขาก็ได้รีบตั้งสติและตัดสินใจที่จะตามเย่เย่ไปที่เมืองหลิ่วเยว่เพื่อกำจัดอู๋หย่วนชิวกับพรรคพวกให้สิ้นซาก เช่นเดียวกันกับเหล่ายอดฝีมือของเมืองโม่ไห่หลังจากที่ได้รับคำสั่งมา ก็ไม่มีที่ว่างให้พวกเขาได้คิดอะไรอย่างอื่นอีกนอกจากเรื่องของศึกที่กำลังจะมาถึง
ทั่วทั้งเมืองโม่ไห่ก็ได้ทำงานกันอย่างเต็มกำลังภายใต้คำสั่งของซ่างกวานจ้ง แล้วข่าวของเมืองโม่ไห่ได้ประกาศที่จะทำสงครามกับเมืองหลิ่วเยว่ก็ได้แพร่ออกไปทั่วทั้งย่านริมชายฝั่งทะเล ราวกับหินก้อนเดียวสร้างคลื่นน้ำได้เป็นพันชั้น ทำให้ทั่วทั้งย่านริมชายฝั่งทะเลเกิดความโกลาหลขึ้นมา
ต่างไปจากเมืองโม่ไห่ที่มีกำลังใจเต็มเปี่ยม เมืองอื่นๆนั้นต่างก็พากันกลั้นหายใจและเตรียมตัวเฝ้าดู และหลังจากที่ได้รับทราบข่าวหลิ่วเยว่เองก็ได้เริ่มเตรียมตัวทำสงครามและไม่ได้กลัวเมืองโม่ไห่เลยแม้แต่น้อย
ถ้าหากว่าเป็นอย่างในอดีต เมืองหลิ่วเยว่นั้นคงไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับเมืองโม่ไห่เลยแม้แต่น้อย แต่หลังจากที่ส่งคนไปติดต่อกับสำนักแก้วหลากสีและยังได้ยอดฝีมืออย่างพวก ลิ่งหูหยวนมาร่วมเพิ่มอีก อู๋หย่วนชิวก็ไม่เห็นเมืองโม่ไห่อยู่ในสายตาอีกต่อไป
ในตอนแรกที่พวกเขาได้รับทราบว่าเมืองโม่ไห่นั้นได้ประกาศที่จะทำสงครามกับพวกเขา เมืองหลิ่วเยว่ก็ได้ประกาศออกไปว่าพวกเขานั้นจะกำจัดยอดฝีมือจากเมืองโม่ไห่ที่มาที่เมืองหลิ่วเยว่ให้สิ้นซาก
แล้วบรรยากาศระหว่างสองเมืองนี้ก็ได้แพร่ออกไปทั่วทั้งย่านริมชายฝั่งทะเล และแม้แต่กองกำลังใหญ่อื่นๆในดินแดนเทียนหนานต่างก็จับตาดูผลสรุปของศึกในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสำนักแก้วหลากสีก็ได้มาคอยจับตาดูศึกนี้อย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ที่ได้ทราบข่าวว่าเมืองโม่ไห่นั้นประกาศสงครามกับหลิ่วเยว่
ณ ยอดเขาหลิวหลี อันเป็นที่ตั้งของสำนักแก้วหลากสีนั้น และที่ตำหนักที่เว่ยเหยียนพักอยู่นั้นถูกจัดอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามของสำนักแก้วหลากสี และมีเพียงศิษย์ระดับอาวุโสของสำนักแก้วหลากสีถึงจะสามารถเข้าไปได้ หลังจากที่เจ้าเมืองสำนักแก้วหลากสี ซูเทียนอวี้ได้ทราบข่าวมาจากย่านริมชายฝั่งทะเล ไม่นานนักตัวเขาก็ได้เดินมาที่ตำหนักที่เว่ยเหยียนพักอาศัยอยู่ และหลังจากที่ได้อธิบายสถานการณ์ให้เว่ยเหยียนฟังแล้ว ตัวเขาก็ได้บอกให้เว่ยเหยียนนั้นนำคนไปที่เมืองหลิ่วเยว่ในฐานะของเขาที
แต่ทว่าตัวเขาก็ไม่คิดว่าชายหนุ่มผู้ที่มาจากเขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวนคนนี้จะปฏิเสธคำขอของเขา และยังสงสัยในความสำคัญของเมืองหลิ่วเยว่อีกด้วย
“ท่านเจ้าสำนักซู เมืองหลิ่วเยว่นั้นเป็นแค่เมืองเล็กๆต่อให้เมืองโม่ไห่นั้นยึดครองไป ก็ไม่น่าจะส่งผลอะไรกับสมาคมแก้วหลากสีอยู่แล้ว ทำไมท่านจะต้องไปร้อนรนด้วยเล่า?”
เว่ยเหยียนที่ดูเหมือนผู้ชายอายุ 30 ต้นๆนั้น แต่แท้จริงแล้วอายุของเขาจริงๆนั้นก็น่าจะใกล้ 100 ปีเข้าไปทุกทีๆแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นในสายตาของซูเทียนอวี้ที่อยู่ในระดับสูงสุดของจักรพรรดิเทพนั้น เว่ยเหยียนนั้นก็ยังเป็นแค่คนหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเขามากนัก
ถึงแม้ว่าวรยุทธ์ของซูเทียนอวี้นั้นจะเหนือกว่าเว่ยเหยียนมาก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเว่ยเหยียนแล้วตัวเขาก็ไม่ได้ทำตัวให้สมกับเป็นผู้นำเลย เพราะไม่ใช่แค่เว่ยเหยียนนั้นเป็นลูกศิษย์ของเขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวนเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นเพราะเว่ยเหยียนนั้นเป็นถึงอัจฉริยะที่มีความสามารถไร้ขีดจำกัดอีกด้วย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตัวเขาจะบรรลุขึ้นเป็นระดับสูงสุดจักรพรรดิเทพเมื่อไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว ต่อให้เว่ยเหยียนนั้นยังอยู่แค่ในระดับสูงสุดราชันย์เทพ แค่ความแข็งแกร่งของเขาก็ทัดเทียมกับจักรพรรดิเทพในสำนักแก้วหลากสีแล้ว ซูเทียนอวี้จึงได้ไม่กล้าที่จะทำให้เว่ยเหยียนนั้นไม่พอใจเพราะเรื่องหน้าของเขา ดังนั้นตอนที่เผชิญหน้ากับเขาจึงมาด้วยท่าทีที่เท่าเทียมกัน
หลังจากที่ได้ยินคำถามของเว่ยเหยียนแล้ว ซูเทียนอวี้ก็หาได้มีความไม่พอใจปรากฏบนใบหน้าไม่ แต่กลับอธิบาย เว่ยเหยียนด้วยรอยยิ้ม “ถึงแม้ว่าเมืองหลิ่วเยว่นั้นจะไม่มีอะไรเลย แต่พวกเขาก็ได้ประกาศตัวยอมสวามิภักดิ์แก่สำนักแก้วหลากสีแล้ว ถ้าหากสำนักแก้วหลากสีละเลยไม่สนใจแล้ว มันก็จะทำให้ขุมกำลังอื่นๆนั้นเย็นชากับพวกเราไปด้วย”
แต่ทว่าเว่ยเหยียนนั้นก็ยังไม่ตกลงที่จะไปที่ย่านริมชายฝั่งทะเลเพียงเพราะเหตุผลที่ซูเทียนอวี้ให้ แต่ก็ได้ส่ายหัวให้และกล่าวเบาๆกับซูเทียนอวี้ “ท่านเจ้าสำนักซู ข้าว่ามุมมองของท่านมีปัญหาแล้วล่ะ สิ่งที่สำคัญบนโลกใบนี้มีเพียงกำลังของตัวเองเท่านั้น ถ้าหากว่าใช้เรี่ยวแรงมากเกินไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้ว สำนักแก้วหลากสีก็ย่อมที่จะไม่มีทางเติบโตแน่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะไปสู้กับสำนักต่างไปที่กำลังจะเข้ายึดครองทั่วทั้งดินแดนเทียนหนานเลย”
เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูหมิ่นบนหน้าของเว่ยเหยียนแล้ว ซูเทียนอวี้ก็ได้มีความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาในใจของเขา เพราะว่าเบื้องหลังของสำนักแก้วหลากสีของพวกเขานั้นต่างไปจากเขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวนอย่างมาก และวิธีคิดแก้ไขปัญหาก็ยังต่างมากอีกแล้ว จึงได้มีบางสิ่งบางอย่างที่ศิษย์เขาไท่ยวนไม่ใส่ใจแต่สำนักแก้วหลากสีนั้นใส่ใจอยู่ด้วย
เว่ยเหยียนก็ได้บอกข้ออ้างออกมาอย่างขอไปทีโดยปราศจากการไตร่ตรองถึงสถานการณ์ของสำนักแก้วหลากสีเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าตัวเขานั้นไม่เห็นเจ้าสำนักแก้วหลากสีนั้นอยู่ในสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าในเวลานี้สำนักแก้วหลากสีก็สามารถรับมือกับสำนักต่างไฟโดยอาศัยเขาไท่ยวนช่วยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นซูเทียนอวี้จึงได้ไม่กล้าที่จะแสดงความไม่พอใจออกมา และยังคงมีสีหน้าที่ใจเย็นบนใบหน้าของเขา
“ที่ท่านเว่ยเหยียนกล่าวก็ถูกแล้ว แต่ทว่าสถานการณ์ในปัจจุบันของดินแดนเทียนหนานนั้นละเอียดอ่อนนัก พวกเราจำเป็นที่จะต้องจัดการกับปัญหารอบด้าน ซึ่งการที่ท่านถูกส่งให้มาที่สำนักแก้วหลากสีของพวกเรานั้น ข้าเชื่อว่าท่านเองก็น่าจะเข้าใจในสถานการณ์ในปัจจุบันของสำนักแก้วหลากสี”
ซูเทียนอวี้นั้นรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าเว่ยเหยียนนั้นไม่พอใจที่มาขัดจังหวะฝึกวิชาของเขาด้วยเรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้ ดังนั้นจะต้องมีเหตุผลที่เพียงพอหรือไม่ก็ดึงดูดใจให้เขาอยากออกไป แต่ทว่าในครั้งก่อนเพราะว่ามียอดฝีมือจากสมาคมบัวโลหิตได้ลอบเข้ามาในสำนักแก้วหลากสีเพื่อลอบสังหารเว่ยเหยียนนั้น ซูเทียนอวี้ก็ได้จ่ายเงินค่าชดใช้ไปเป็นเงินจำนวนมากเพื่อเป็นการขอโทษเว่ยเหยียน และในเวลานี้ตัวเขานั้นไม่สามารถที่จะหาของมาให้มากกว่านี้แล้ว ตอนนี้จึงทำได้แค่ค่อยๆเกลี้ยกล่อม เว่ยเหยียนอย่างช้าๆ
ซึ่งจริงแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะความละโมบของสำนักต่างไฟแล้ว ซูเทียนอวี้จึงได้ส่งยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพไปที่เมืองหลิ่วเยว่ด้วยเพื่อที่จะได้แก้ปัญหานี้ไปแล้ว แต่ทว่าเพราะเหล่ายอดฝีมือจักรพรรดิเทพนั้นมักตกเป็นที่จับตาดูของสำนักต่างไฟอยู่นั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะส่งยอดฝีมือออกไปเป็นจำนวนมากจนกลายเป็นเป้าสายตาของสำนักแก้วหลากสีได้ ตัวเขาจึงทำได้แค่ฝากความหวังเอาไว้กับเว่ยเหยียน
เพราะว่าเว่ยเหยียนนั้นมีฐานะเป็นถึงลูกศิษย์ของเขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวนแล้ว ทำให้สำนักต่างไฟนั้นใจไม่สู้พอที่จะเผชิญหน้ากับเขาได้ ขอเพียงเว่ยเหยียนยอมลงมือเองแล้ว ซูเทียนอวี้ก็ได้เชื่อว่าสำนักต่างไฟนั้นคงไม่กล้าที่จะส่งคนมาฆ่าเขาแน่ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมสำนักต่างไฟนั้นเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าหลังจากที่รู้ว่าเว่ยเหยียนมาที่ดินแดนเทียนหนาน