ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 343 เร่งรุดไปช่วย
บทที่ 343
เร่งรุดไปช่วย
“ท่านเจ้าเมือง พวกเราจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้วนะ! ถ้าหากพวกเรายังคงเงียบเฉยต่อไปสำนักแก้วหลากสีจะต้องเห็นพวกเราเป็นพวกเดียวกันกับเมืองโม่ไห่อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นเมืองเสียหยางของพวกเราคงได้เผชิญกับการล่มสลายแน่!”
ลิ่งหูหยวนยอดฝีมือระดับราชันย์เทพในเมืองเสียหยาง พร้อมด้วยยอดฝีมือระดับราชันย์เทพอีกสองคนอย่างเจินถูเลี่ยนกับฉินเซียงเฟิงก็ได้มาที่ห้องของจงเทียนหลินพร้อมกัน และเสนอความคิดเห็นกับจงเทียนหลินและลูกชายของเขาพร้อมกันเพื่อหวังให้ทั้งคู่ประกาศตัดความสัมพันธ์กับเมืองโม่ไห่ ถ้าหากไม่ต้องการพาเมืองเสียหยางยอมหมอบราบคาบแก้วต่อสำนักแก้วหลากสีแล้ว จะปล่อยให้สำนักแก้วหลากสีคิดว่าเมืองเสียหยางนั้นจะยอมร่วมเป็นร่วมตายไปกับเมืองโม่ไห่
แต่จงเทียนหลินก็ไม่ได้ผงกหัวตอบหลังจากที่ได้ยินที่ ลิ่งหูหยวนกล่าว กลับกันเขาก็ได้กล่าวกับทั้งสามคนอย่างโมโห “เมืองเสียหยางกับเมืองโม่ไห่นั้นเป็นพันธมิตรต่อกันอยู่ ถ้าหากพวกเราคืนคำเช่นนี้ ต่อจากนี้ไปเมืองเสียหยางจะมีหน้าสู้กับเมืองอื่นๆในย่านชายฝั่งทะเลได้อย่างนั้นเหรอ?”
ใช่ว่าจงเทียนหลินนั้นไม่เข้าใจในความกระวนกระวายของทั้ง 3 คน แต่เมืองเสียหยางกับเมืองโม่ไห่นั้นได้ร่วมมือกันช่วยขับไล่เกาซุ่นกับพรรคพวกในสำนักแก้วหลากสีไปได้ แต่ในเวลานี้กลับคิดที่จะแบ่งเส้นชัดเจนเมืองโม่ไห่และคิดที่จะเอาตัวเองรอดภายใต้การข่มขู่ของสำนักแก้วหลากสีเช่นนี้ ทำให้จงเทียนหลินที่เป็นคนรักษาสัญญามาโดยตลอดนั้นยอมรับไม่ได้
ไม่ใช่จงเทียนหลินที่โกรธ แม้แต่สีหน้าของจงเจิ้งหมิงก็ไม่ดีอย่างมาก
ถึงแม้ว่าตัวเขานั้นจะไม่ใช่อันดับหนึ่งของรุ่นเยาว์ในย่านริมชายฝั่งทะเลไปแล้วก็ตาม แต่จงเจิ้งหมิงนั้นก็ยังเห็นความสำคัญของชื่อเสียงของเขาอยู่ มันไม่ใช่เรื่องน่าอายหากจะแพ้ใครสักคนแต่ถ้าหากเป็นคนทรยศแล้ว แม้แต่จงเจิ้งหมิงเองก็คงจะดูถูกตัวเองไม่น้อยเลยทีเดียว
“ท่านเจ้าเมือง! นายน้อย! ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาห่วงคุณธรรมแล้วนะ ต่อให้พวกท่านไม่สนใจชีวิตของตัวเอง แต่ท่านไม่เห็นแก่ความอยู่รอดของเมืองเสียหยางอย่างนั้นเหรอ? ต่อให้ท่านไม่คิดถึงตัวเองก็เห็นแก่ประชาชนหลายพันคนในเมืองเสียหยางบ้าง!”
ฉินเซียงเฟิงนั้นไม่โทษสองพ่อลูกตระกูลจงยังคงลังเลใจ ซึ่งจริงๆแล้วทั้งสามคนนั้นได้เลือดที่จะทำเช่นนี้ก็เพื่อตัว จงเทียนหลินเอง เพราะพวกเขานั้นชื่นชมในความซื่อสัตย์ของ จงเทียนหลิน
แต่ทว่าสถานการณ์ในเมืองเสียหยางนั้นไม่สามารถอยู่ได้ด้วยคุณธรรมอีกแล้ว ถ้าหากพวกเขาปล่อยผ่านไปและไม่ใช่โอกาสนี้กดดันสองพ่อลูกตระกูลขงแล้ว เกรงว่าพวกเขาทั้งสามคนคงได้ถูกฝังไปพร้อมกับเมืองเสียหยางและคนอีกหลายพันหลายหมื่นคนในเมืองโม่ไห่
ไม่ว่าสองพ่อลูกตระกูลจงจะคิดเช่นไรกับการเป็นพันธมิตรของเมืองเสียหยางกับเมืองโม่ไห่แล้ว แต่อย่างน้อยภายใต้สายตาของทั้ง 3 คนแล้ว มันจะเป็นการฉลาดกว่าที่จะขีดเส้นแบ่งชัดเจนกับเมืองโม่ไห่เพื่อเอาตัวรอด และถ้าหากจำเป็นจริงๆก็ขายเมืองโม่ไห่ให้สำนักแก้วหลากสีเพื่อผลประโยชน์ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว
ราวกับว่าพอจะเดาความคิดของทั้งสามคนได้ จงเทียนหลินจึงได้มีสีหน้าไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่เมื่อนึกถึงลิ่งหูหยวน, เจินถูเลี่ยนและฉินเซียงเฟิงนั้นก็ได้รับใช้เมืองเสียหยางมานานหลายปีแล้ว จงเทียนหลินจึงได้ไม่ต่อว่าพวกเขาซึ่งๆหน้า กลับกันตัวเขาก็ได้ถอนหายใจและกล่าวอย่างจนใจ “พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าให้ข้าได้คิดอย่างถี่ถ้วนก่อน!”
จงเจิ้งหมิงเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบกับทั้งสามคนอย่างไรดี จึงได้นั่งอยู่ข้างๆจงเทียนหลินโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
เพราะชื่อเสียงของจงเทียนหลินตั้งแต่ตอนที่เขายังเด็ก จงเจิ้งหมิงจึงเห็นค่าของความซื่อสัตย์เช่นเดียวกับพ่อของเขา นอกจากนี้หลังจากศึกในครั้งก่อนที่เมืองโม่ไห่ ความสามารถของเย่เย่ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของทั้งคู่ ถ้าหากพวกเขาแยกตัวกับเมืองโม่ไห่ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้แล้ว ไม่เพียงแต่จะเป็นไปไม่ได้ที่จะรื้อฟื้นให้เหมือนเดิมได้ในอนาคตแล้ว หากเมืองโม่ไห่นั้นสามารถร้อนพ้นจากช่วงเวลาที่ลำบากที่สุดและกลับมารุ่งเรืองได้ เมืองเสียหยางของพวกเขาคงได้กลายเป็นเป้าหมายหลังของเมืองโม่ไห่ในการเข้าครอบครองย่านชายฝั่งทะเลเป็นแน่
จงเจิ้งหมิงนั้นไม่มั่นใจว่าการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของเย่เย่ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากที่จะเป็นศัตรูของเย่เย่หากไม่จำเป็น แต่ที่ทั้งสามคนว่ามาเมื่อสักครู่นั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล หากเทียบกับเมืองโม่ไห่กับเย่เย่แล้ว ภัยจากสำนักแก้วหลากสีนั้นเร่งด้วยและเป็นไปได้จริงกว่า เมืองเสียหยางจะเลือกเส้นทางไหนดีนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับจงเจิ้งหมิงกับจงเทียนหลินที่จะตัดสินใจได้อยู่สักพักใหญ่
“ท่านเจ้าเมือง พวกเราจะปล่อยลากยาวไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วนะ! แม้แต่เมืองหลิวเยว่ก็ยังแสดงท่าทีออกมาแล้ว ถ้าหากพวกเรายังช้าไปกว่านี้ผลที่คาดหวังเอาไว้ก็จะลดลงไปอย่างมากด้วย
เมื่อเจินถูเลี่ยนได้ยินที่จงเทียนหลินกล่าว เขาก็ยังไม่หยุดพูดและยังคงกดดันจงเทียนหลินต่อ ราวกับว่าตัวเขานั้นกำลังบังคับให้จงเทียนหลินนั้นยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเมืองโม่ไห่
จริงๆแล้วก็พอจะเห็นได้จากท่าทีของเขาในตอนที่พูดถึงเมืองหลิวเยว่แล้ว หากเทียบกับการขีดเส้นแบ่งกับเมืองโม่ไห่แล้ว ทั้งสามคนนั้นเลือกที่จะหันหลังให้และแทงข้างหลังเมืองโม่ไห่มากกว่า หากว่าเมืองเสียหยางติดต่อกับเจ้าสำนักแก้วหลากสีได้ไว พวกเขาก็เชื่อว่าเมืองเสียหยางนั้นจะต้องมีบทบาทมากกว่าเมืองหลิวเยว่ในฐานะตัวแทนของสำนักแก้วหลากสีเป็นแน่
แต่ทั้งสามคนนั้นไม่คิดว่า จงเทียนหลินนั้นจะเผยความเกลียดชังบนใบหน้าของเขาออกมาหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเจินถูเลี่ยน แล้วก็ได้ตวาดใส่ทั้งสามคนอย่างหนาวเย็น “พอได้แล้ว! ข้ารู้ดีว่าควรจะทำเช่นไรกับเมืองเสียหยาง ไม่จำเป็นต้องให้พวกเจ้ามาสั่งสอนข้า! พวกเจ้ากลับออกไปได้แล้ว ข้าเหนื่อยแล้ว!”
“พวกท่านทั้งสามคน ท่านพ่อนั้นชราภาพมากแล้วและจำเป็นต้องพักผ่อนให้มากๆ! ในวันนี้พวกท่านเชิญกลับออกไปก่อน ข้าเชื่อว่าท่านพ่อนั้นจะให้คำตอบที่พึงพอใจแก่พวกท่านได้ในไม่ช้า!”
จงเจิ้งหมิงนั้นเห็นว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายนั้นมาถึงทางตันแล้ว จึงได้รีบลุกขึ้นยืนและหาทางไกล่เกลี่ยอย่างละมุนละม่อมที่สุด
มองไปที่ทั้งสามคนที่จากไปอย่างเงียบๆ จงเจิ้งหมิงก็ได้คิ้วขมวดและมีความระแวดระวังอย่างถึงขีดสุด ตัวเขานั้นสังหรณ์ใจรางๆขึ้นมาว่าถ้าหากทางจวนเจ้าเมืองไม่รีบเอาใจเหล่ายอดฝีมือของเมืองเสียหยางโดยไวแล้ว เกรงว่าผลที่ตามมานั้นจะเหนือความคาดหมายของทั้งสองคนพ่อลูกเป็นแน่
ลางสังหรณ์ของจงเจิ้งหมิงที่คาดเอาไว้นั้นไม่ผิดเลย แต่ที่เขาไม่ทันคิดถือการเปลี่ยนแปลงนั้นไปไวและรวดเร็วมาก
สองวันต่อมาหลังจากที่ข้อเสนอของพวกลิ่งหูหยวนถูกปฏิเสธไปโดยจงเทียนหลิน พวกเขาก็ได้ออกไปจากเมืองเสียหยางไปยังเมืองหลิวเยว่พร้อมด้วยเหล่ายอดฝีมือในเมือง เสียหยางเกือบครึ่งหนึ่ง
ไม่เพียงแค่นั้น แต่พวกลิ่งหูหยวนยังได้ประกาศออกไปด้วยว่าสองพ่อลูกตระกูลจงนั้นคิดที่จะร่วมเป็นร่วมตายไปกับเมืองโม่ไห่และนำพาเมืองเสียหยางไปสู่ความล่มจม ซึ่งเมื่อเรื่องนี้ได้ถูกเผยแพร่ออกไปเหล่ายอดฝีมือที่ติดตามทั้งสามคนออกจากเมืองเสียหยางไปนั้นก็ได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เหลือแค่เพียงเหล่าคนที่ยังจงรักภักดีกับจวนเจ้าเมืองและเชื่อว่าสิ่งที่จงเทียนหลินตัดสินใจนั้นถูกต้องแล้ว
“เจ้าพวกอกตัญญู! เจ้าคนทรยศสามคนนั้น สักวันหนึ่งข้าจะจัดการกับพวกมันด้วยตัวเอง!”
ที่จวนเจ้าเมือง หลังจากที่จงเทียนหลินได้ทราบว่าพวกลิ่งหูหยวนนั้นได้ออกไปพร้อมด้วยเหล่ายอดฝีมือจำนวนมากแล้ว ก็ได้มีสีหน้าตกใจบนใบหน้าของเขาก่อน แล้วจากนั้นก็ได้มีสีหน้าเดือดดาลที่เห็นได้ยากปรากฏบนใบหน้าของเขา
เพราะหากดูจากการที่ทั้งสามคนได้จากไปพร้อมกับเหล่ายอดฝีมือจำนวนมากแล้ว พวกลิ่งหูหยวนนั้นจะต้องเตรียมการเอาไว้ก่อนแล้วก่อนที่จงเทียนหลินนั้นจะปฏิเสธข้อเสนอของทั้งสามคนเสียอีก และคิดที่จะแยกตัวไปจากเมืองเสียหยางตลอดเวลา แล้วไปที่เมืองหลิวเยว่และทิ้งตัวเขาเพื่อไปสู่อ้อมกอดของสำนักแก้วหลากสี
นับตั้งแต่ตอนที่ทั้งสามคนเข้าร่วมกับเมืองเสียหยางมา จงเทียนหลินก็ได้บอกกับตัวเองว่าจะดูแลพวกเขาให้ดีๆ แต่ไม่คิดว่าทั้งสามคนนั้นจะอาจหาญขนาดนี้ในตอนที่พวกเขาได้ทรยศก็ได้ประกาศข่าวสร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงให้กับเมืองเสียหยาง และในเวลานี้เมืองเสียหยางนั้นก็แทบจะไม่มีตัวเลือกแล้ว
เพราะต่อให้จงเทียนหลินนั้นจะประกาศออกไปว่าสิ่งที่ทั้งสามคนพูดออกไปนั้นเป็นเรื่องเหลวไหล แต่เหล่ายอดฝีมือที่ตามพวกลิ่งหูหยวนไปก็ไม่กลับมาอยู่ดี และเหล่าคนที่ยังอยู่ในเมืองต่อนั้นก็เป็นเหล่าคนที่จงรักภักดีต่อทั้งสองพ่อลูกเช่นเดียวกับที่พวกเขารักและห่วงใยคนเหล่านี้ ถ้าหากทางเลือกของ จงเทียนหลินนั้นทำให้พวกเขาผิดหวัง บางทีเหล่ายอดฝีมือที่เหลือในเมืองเสียหยางนั้นคงจะไม่เชื่อฟังในคำพูดของเจ้าเมืองอีกต่อไปแล้ว และเมื่อถึงเวลานั้นเมืองเสียหยางก็คงได้มาถึงจุดจบเป็นแน่
ดังนั้นในเวลานี้เมืองเสียหยางจึงได้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องไปต่อและเลือกที่จะร่วมเป็นร่วมตายไปพร้อมกันกับเมืองโม่ไห่
“ท่านพ่อได้โปรดออกคำสั่งด้วย! เมืองเสียหยางของพวกเราจะไม่มีวันล่มจมเพียงเพราะว่าขาดเหล่ายอดฝีมือเพียงไม่กี่คนแน่! เมืองโม่ไห่ที่เคยอ่อนแอกว่าพวกเราก็ยังกล้าที่จะท้าชนกับภัยจากสำนักแก้วหลากสีเพียงลำพัง แล้วเมืองเสียหยางของพวกเราจะถอยในช่วงภาวะวิกฤติเช่นนี้ได้อย่างไร?”
ในเวลานี้ความลังเลนั้นได้หายไปจากดวงตาของ จงเจิ้งหมิงแล้ว และแน่วแน่ที่จะยืนอยู่ฝ่ายเดียวกันกับเมืองโม่ไห่ และพวกลิ่งหูหยวนที่แปรพักตร์ไปอยู่เมืองหลิวเยว่นั้นจะต้องถูกลงโทษตามกฎของเมืองเสียหยาง
ซึ่งเหตุผลที่ก่อนหน้านี้เขายังลังเลอยู่นั้น หลักๆก็เป็นเพราะว่าเขานั้นเห็นถึงความปลอดภัยของลิ่งหูหยวนกับพรรคพวก จึงไม่กล้าที่จะเกลี้ยกล่อมให้จงเทียนหลินนั้นช่วยเหลือเมืองโม่ไห่ แต่ในเวลานี้ความลังเลของเขานั้นได้หายไปแล้วและจะทำตามการชี้นำของหัวใจของเขา ซึ่งในขณะที่ยังคงรักษาความสัมพันธ์กับเมืองโม่ไห่ ตัวเขาก็ได้เตรียมพร้อมที่จะไปที่เมืองหลิวเยว่เพื่อจัดการกับพวกคนทรยศของเมืองเสียหยางไปด้วย
“ได้! เจิ้งหมิง เจ้าจงพาคนที่เหลือในเมืองเสียหยางไปช่วยเหลือเมืองโม่ไห่ ส่วนข้าจะอยู่ที่เมืองเสียหยางเพื่อคอยดูอาคมป้องกันเมือง! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าแค่เว่ยเหยียนที่อยู่ในระดับสูงสุดราชันย์เทพเพียงคนเดียวจะทำให้ความแข็งแกร่งของสำนักแก้วหลากสีนั้นเปลี่ยนไปมากขนาดนั้น ขอเพียงพวกเขาไม่สามารถทำลายเมืองเสียหยางและเมืองโม่ไห่ได้ สุดท้ายชัยชนะก็ยังจะเป็นของพวกเรา!”
จงเทียนหลินก็ได้ปล่อยผ่านความโกรธของเขาที่มีต่อท่าทีของพวกลิ่งหูหยวนไป ราวกับว่าตัวเขานั้นได้กลับกลายเป็นคนที่อบอุ่นอีกครั้ง แต่อย่างน้อยตอนนี้ตัวเขาก็ไม่ได้ลังเลอีกต่อไปแล้ว และได้ตัดสินใจที่จะส่งเหล่ายอดฝีมือที่เหลือของเมืองเสียหยางเร่งรุดไปช่วยเมืองโม่ไห่
ส่วนตัวเขาจะอยู่ที่เมืองเสียหยางต่อเพื่อคอยดูแลอาคมป้องกันเมืองด้วยตัวเอง ซึ่งจงเทียนหลินนั้นเชื่อว่าหากว่าสำนักแก้วหลากสีนั้นส่งยอดฝีมือมาจำนวนหนึ่งเพื่อมาโจมตีเมืองเสียหยางพร้อมกับเมืองโม่ไห่แล้ว ตัวเขาเพียงคนเดียวก็จะสามารถประคองเมืองเสียหยางให้รอดพ้นจากการโจมตีของศัตรูไปได้สักช่วงเวลาหนึ่ง
เดิมทีเมืองเสียหยางนั้นก็ไม่ใช่เป้าหมายหลักของสำนักแก้วหลากสีอยู่แล้ว จึงไม่สมเหตุสมผลที่จะทิ้งคนไว้เป็นจำนวนมากอยู่เบื้องหลังเพื่อป้องกันเมือง ตัวจงเทียนหลินเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นจงเจิ้งหมิงจึงได้ผงกหัวรับทันทีหลังจากที่ได้ยินการตัดสินใจของจงเทียนหลิน แล้วจากนั้นก็ได้รีบไปเรียกรวมพลเหล่ายอดฝีมือของเมืองเสียหยางที่เหลือมา และรีบไปยังเมืองโม่ไปพร้อมกันอย่างรวดเร็ว
กำลังใจของเมืองโม่ไห่จึงได้เพิ่มขึ้นมาอีกหนจากการมาช่วยเสริมทัพของเมืองโม่ไห่ ซ่างกวานจ้งกับคนอื่นๆก็ได้มีความมั่นใจมากขึ้นที่จะเอาตัวรอดผ่านความยากลำบากในครั้งนี้ไปให้ได้ และในขณะที่กำลังจัดแจงให้เหล่ายอดฝีมือเมืองเสียหยางประจำตำแหน่งป้องกันในเมืองโม่ไห่อยู่นั้น อีกทางด้านหนึ่งผู้คนก็ยังคนทำการลำเลียงสิ่งของจากเมืองหลงเจียงมาช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ผู้คนในเมืองโม่ไห่ต่อไป
และเนื่องมาจากความเร่งด่วนของศึกนี้ ผู้ดูแลเมือง หลงเจียงจากเมืองโม่ไห่นั้นก็ได้เมินเฉยต่อท่าทีของเหล่าขุมกำลังใหญ่ๆภายในเมือง และบังคับเอาสิ่งของจำนวนมากจากในเมืองมาแล้วรีบขนส่งไปให้เมืองโม่ไห่ ทำให้ความแข็งแกร่งของคนในเมืองโม่ไห่นั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก ถึงแม้ว่าช่องว่างระหว่างพวกเขากับสำนักแก้วหลากสีนั้นจะยังกว้างอยู่ แต่ก็ไม่ล้มง่ายๆไปก่อนที่เหล่ายอดฝีมือจากสำนักแก้วหลากสีจะมาถึงก่อนแน่ๆ