ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 342 การประชุมฉุกเฉิน
บทที่ 342
การประชุมฉุกเฉิน
แต่ทว่าความหวังนั้นสวยงามแต่ความเป็นจริงนั้นโหดร้ายเสมอ
อิทธิพลของการมาของเว่ยเหยียนนั้นเหนือกว่าที่ ซ่างกวานจ้งกับพรรคพวกคาดเอาไว้ แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนเทียนหนานอย่างสำนักต่างไฟก็ยังเลือกที่จะเลี่ยงการปะทะ แล้วปล่อยให้ละแวกริมชายฝั่งทะเลนี้ถูกปกคลุมด้วยอิทธิพลของสำนักแก้วหลากสี
เมืองหลิวเยว่ที่ได้ทำการติดต่อกับสำนักต่างไฟเป็นครั้งคราวก่อนหน้านี้ เป็นเมืองที่อ่อนแอที่สุดในละแวกนี้ ในตอนแรกหลังจากที่การเจรจาร่วมเป็นพันธมิตรของสำนักแก้วหลากสีกับขุมกำลังอื่นๆในดินแดนเทียนหนานนอกจากสำนักต่างไฟ ก็ได้มาเป็นขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่อีกขุมกำลังล้มเหลว แล้ว เมืองหลิวเยว่ก็ได้แอบติดต่อกับสำนักต่างไฟ และตั้งใจจะเป็นขุมกำลังแรกในละแวกนี้ที่ยอมสวามิภักดิ์เข้ากับสำนักต่างไฟ เพื่อหวังในของรางวัลและความสนใจของสำนักต่างไฟ
แต่ทว่าหลังจากที่ข่าวการมาถึงของเว่ยเหยียนได้แพร่สะพัดออกไป สำนักต่างไฟที่เดิมทีคิดจะยอมรับการเข้าสวามิภักดิ์ของเมืองหลิวเยว่นั้นก็ได้ขาดการติดต่อไปทันที เพราะในสายตาของสำนักต่างไฟแล้วหลังจากที่เกาซุ่นถูกสังหาร ก็เป็นไปได้มากที่สำนักแก้วหลากสีนั้นมีแผนการใหญ่คิดที่จะเข้ายึดครองละแวกริมชายฝั่งทะเล ถ้าหากพวกเขาเข้ายึดครองเมืองหลิวเยว่ในเวลานี้และแผ่อิทธิพลของสำนักต่างไฟในละแวกริมชายฝั่งทะเลนี้แล้ว ก็เป็นไปได้มากที่จะกลายเป็นศึกตัดสินกับสำนักแก้วหลากสีไปในทันที ซึ่งนี่เป็นผลลัพธ์ที่สำนักต่างไฟนั้นไม่ต้องการที่จะเห็น ดังนั้นพวกเขาจึงได้เลือกที่จะละทิ้งเมืองหลิวเยว่ เพื่อที่จะได้หลีกเลี่ยงการปะทะและปรับเปลี่ยนแผนการ
เมืองหลิวเยว่ที่คิดว่าจะมีคนช่วยแล้วนั้น ในเวลานี้ก็ได้กลับกลายเป็นหมดหนทางอีกครั้ง อู๋หย่วนชิวเจ้าเมืองหลิวเยว่ก็ไม่คิดที่จะนั่งอยู่เฉยๆรอความตายและมองดูเมืองหลิวเยว่กลายเป็นเป้าซ้อมของสงครามที่กำลังจะมาถึง จึงได้ตัดสินใจที่จะลงมืออีกหน หลังจากที่ถูกปฏิเสธจากสำนักต่างไฟแล้วเขาก็ได้หันหน้าไปหาสำนักแก้วหลากสีแทน ตัวเขานั้นตั้งใจที่จะให้เมืองหลิวเยว่ยอมสวามิภักดิ์ต่อสำนักแก้วหลากสีแทน
และเพราะเมืองหลิวเยว่นั้นอยู่ไม่ไกลจากเมืองโม่ไห่นัก ถ้าหากสำนักแก้วหลากสีนั้นเข้ายึดครองเมืองหลิวเยว่ได้ ก็จะสะดวกสำหรับพวกเขาในการเข้ามาโจมตีเมืองโม่ไห่ ซึ่ง อู๋หย่วนชิวก็ได้คิดถึงเรื่องนี้เอาไว้แล้ว และคิดว่าความเป็นไปได้ที่สำนักแก้วหลากสีนั้นจะยอมรับการสวามิภักดิ์ของเมืองหลิวเยว่ก็สูงมากด้วย ดังนั้นหลังจากที่ซ่างกวานจ้งได้มีประกาศออกไป ทางเมืองหลิวเยว่ก็ได้ทำการประกาศออกไปเช่นกันว่า เมืองหลิวเยว่จะขอสวามิภักดิ์เข้ากับสำนักแก้วหลากสี และยินดีที่จะเป็นอันดับหนึ่งของสำนักแก้วหลากสีในการบุกเข้าโจมตีเมืองโม่ไห่
ทันทีที่ประกาศนี้ออกมาก็ได้เกิดเสียงฮือฮาดังไปทั่วทั้งดินแดนเทียนหนาน
ไม่มีใครที่คิดว่ากองกำลังอันดับหนึ่งในดินแดน เทียนหนานอย่างสำนักต่างไฟและเมืองโม่ไห่นั้นจะกลายเป็นตาของพายุในครั้งนี้ และเมืองเล็กๆที่น้อยนักจะเป็นที่รู้จักก็ได้กระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย
แต่ทว่าหลังจากที่ครุ่นคิดดูแล้ว เหล่าขุมกำลังใหญ่ๆก็ได้พอจะเข้าใจในความคิดของอู๋เหวินชิวเจ้าเมืองหลิวเยว่ และยอมรับว่าหมากตานี้ของเขานั้นสุดยอดมากจริงๆ อย่างน้อยๆหลังจากเรื่องนี้จบลง เมืองหลิวเยว่ก็จะกลายเป็นมีชื่อเสียงอย่างมากในดินแดนเทียนหนาน ขอเพียงแต่เมืองโม่ไห่นั้นจะยังอยู่ในตาของพายุลูกนี้ ตำแหน่งของเมืองหลิวเยว่นั้นก็จะมีความสำคัญอย่างสุดๆ และที่สำคัญเหล่าขุมกำลังใหญ่ๆอย่างสำนักแก้วหลากสีนั้นก็ยิ่งใหญ่กว่าเมืองโบราณใดๆในละแวกริมชายฝั่งทะเลนี้แล้ว
ในเวลานี้ทุกคนในดินแดนเทียนหนานนั้นต่างก็รอการตอบสนองของสำนักแก้วหลากสี และรู้สึกราวกับว่าจะมีพายุเข้ามาถล่มทั่วทั้งละแวกนี้ แม้ว่าเมืองหลิวเยว่นั้นจะเป็นเพียงแค่เมืองที่อยู่ห่างไกลในดินแดนเทียนหนาน แต่ก็ไม่มีใครที่มั่นใจว่าดินแดนเทียนหนานนั้นจะไม่มีอะไรที่พลิกผันจนน่าตกใจเกิดขึ้นเพราะศึกนี้ ดังนั้นสายตาของเหล่าขุมกำลังใหญ่ๆก็ได้พากันจับจ้องในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด แบบไม่มีอะไรในละแวกนี้ที่จะรอดสายตาของพวกเขาไปได้
ที่นอกเมืองโม่ไห่ ลึกเข้าไปในป่าต้องห้ามเย่เย่กับ เหยียนลี่หยางก็ได้หารือกันถึงสถานการณ์ในดินแดนเทียนหนานจนคิ้วขมวดจนแทบจะชนกัน
ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะทุ่มแรงของเขาทั้งหมดไปกับการบรรลุขึ้นเป็นระดับสูงสุดราชันย์เทพให้ได้ แต่เย่เย่ก็ยังรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของดินแดนเทียนหนานได้จาก ซ่างกวานจ้งตอนที่เขาออกมาจากห้อง ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะมีท่าทีที่ใจเย็นและสงบนิ่ง แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นมา ในคืนนั้นเขาจึงได้เข้าไปในป่าอย่างเงียบๆแล้วปล่อย เหยียนลี่หยางออกมาจากอารามวิถีสวรรค์ เพื่อหารือกับเขาว่าจะเอายังไงต่อไปดี
“ถึงแม้ว่าเมืองโม่ไห่นั้นจะเตรียมพร้อมสู้ และได้นำเอาสิ่งของจำนวนมากในเมืองหลงเจียงเพื่อเพิ่มพูนความแข็งแกร่งก็ตามที แต่ช่องว่างระหว่างพวกเขากับสำนักแก้วหลากสีนั้นก็ยังห่างมากเกินไปอยู่ดี ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะต่อกรกับยอดฝีมือของสำนักแก้วหลากสีได้ ถ้าหากกำลังใจของเมืองโม่ไห่นั้นตกลงเมื่อไร ในเมืองก็คงเกิดความวุ่นวายขึ้นมาและเกรงว่าโดยไม่จำเป็นต้องให้สำนักแก้วหลากสีต้องลงมือเลยแม้แต่น้อย แต่จะมีการก่อกบฏขึ้นมาภายในเมืองโม่ไห่แทน”
เย่เย่ก็ได้คิ้วขมวดแน่นและกล่าวถึงสิ่งที่เขาเป็นกังวลออกมา เหยียนลี่หยางเอกก็คิ้วขมวดขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ ราวกับว่าเขาเองก็คิดหาทางแก้ไม่ออกในช่วงเวลาสั้นๆนี้
“เดิมทีข้าคิดว่าสำนักแก้วหลากสีนั้นคงจะต้องลดแนวหน้าลงภายใต้แรงกดดันของสำนักต่างไฟ แล้วยิ่งศิษย์ก้นกุฏิอย่างเกาซุ่นนั้นถูกสังหารไปแล้วพวกเขาก็คงไม่กล้าที่จะทำอะไรใหญ่ๆแน่ แต่ก็ไม่นึกว่าเพียงแค่คนที่ชื่อเว่นเหยียนโผล่มาก็จะส่งผลกระทบที่ใหญ่หลวงเช่นนี้ ทำให้อิทธิพลของสำนักแก้วหลากสีนั้นสามารถต่อกรได้กับสำนักต่างไฟได้ขึ้นมา”
เหยียนลี่หยางก็ได้ถอนหายใจออกมาและมีแววตาที่หดหู่ปรากฏในดวงตาของเขา และรู้สึกไม่พอใจคนที่ชื่อเว่ยเหยียนขึ้นมา ถ้าหากไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวกะทันหันของเว่ยเหยียนจากเขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวนแล้ว ก็คงจะมีช่วงเวลาที่สงบสุขเกิดขึ้นไปอีกพักใหญ่ๆในเมืองโม่ไห่ ขอเพียงแค่เมืองโม่ไห่นั้นเติบโตขึ้นมาถึงจุดที่สามารถให้สิ่งของฝึกวิชาจำนวนมากให้เย่เย่ได้ สำนักแก้วหลากสีก็จะไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเขาแล้ว
แต่ในเวลานี้เพราะการปรากฏตัวของเว่ยเหยียน เมืองโม่ไห่ก็ได้ตกเป็นเป้าสายตาของทั่วทั้งดินแดนเทียนหนานในทันที และมีอิทธิพลมากเสียจนที่คนธรรมดาๆจะต้านรับไหว ถ้าหากไม่ใช่เพราะเป็นเรื่องยากที่จะฝึกวิชาภายใต้อิทธิพลของทัณฑ์สวรรค์แล้ว บางทีพวกเขาก็อาจจะเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะนี้แล้วออกไปจากดินแดนเทียนหนานและหาสถานที่ฝึกวิชาที่ใหม่ไปแล้ว
“อิทธิพลของเว่ยเหยียนนั้นไม่ได้มาจากวรยุทธ์ของเขาหรือฐานะของเขาที่เป็นผู้มาจุติแต่อย่างใด แต่มาจากเขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวนที่อยู่เบื้องหลังของเขา บางทีแม้แต่สำนักต่างไฟก็ยังคาดไม่ถึงว่าเขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวนจะเห็นความสำคัญของสำนักแก้วหลากสีมากขนาดนี้ ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าเว่ยเหยียนนั้นได้มาปรากฏตัวในสำนักแก้วหลากสี สำนักต่างไฟก็ได้หยุดการเคลื่อนไหวในทันที เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ตัดสินกับสำนักแก้วหลากสีก่อนเวลาอันควร”
เย่เย่นั้นเดาได้จากท่าทีของเสิ่นจ้งหมิงในคราวก่อนและคิดว่าความสัมพันธ์ของทัณฑ์สวรรค์กับสำนักต่างไฟนั้นคงจะไม่ได้เหนียวแน่นแล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าสำนักต่างไฟจะยังเหนือกว่าสำนักแก้วหลากสีหากต้องเผชิญหน้ากัน แต่ถ้าหากมีเขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวนเข้ามาร่วมแล้ว สำนักต่างไฟย่อมต้องเป็นกังวลอย่างแน่นอน
อย่างไรเสียไม่ว่าสำนักต่างไฟนั้นจะทรงพลังมากขนาดไหน แต่ก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะไปล่วงเกินทัณฑ์สวรรค์และเขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวนที่เป็น 1 ใน 3 เขาศักดิ์สิทธิ์พร้อมกันได้อยู่ดี จึงมีเพียงขึ้นอยู่กับว่าพวกเขานั้นจะรู้ถึงตื้นลึกหนาบางของเขาศักดิ์สิทธิ์ไท่ยวนให้ได้เสียก่อน ถึงจะสามารถปรับเปลี่ยนแผนการของพวกเขาเพื่อเป้าหมายในการรวบรวมดินแดนเทียนหนานให้เป็นหนึ่งเดียวได้
ในเมื่อสำนักต่างไฟเองก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรหุนหันพลันแล่นแล้ว เมืองโม่ไห่จึงได้ขาดของหนุนไปอีกหนึ่ง ดูเหมือนว่าเย่เย่นั้นคงสามารถเลือกได้แค่ต้องทิ้งเมืองโม่ไห่ไปและหลบหนีไปตามลำพังเท่านั้น แต่ทว่าไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ซ่างกวานจ้งกับคนอื่นๆที่เชื่อมั่นในตัวของเย่เย่อย่างมากแล้ว เย่เย่ก็ได้ไม่อยากละทิ้งเรี่ยวแรงและเวลาที่ลงทุนไปต้องมาเริ่มต้นใหม่หลังจากที่หลบหนีออกมาจากดินแดนเทียนหนาน
อย่างไรเสียมันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นก่อนที่ทัณฑ์สวรรค์นั้นจะพบว่าแผ่นดินชางหลางได้เปลี่ยนไปแล้ว ถ้าหากเย่เย่ไปรีบเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนที่ทัณฑ์สวรรค์จะไหวตัวแล้ว ทั่วทั้งแผ่นดินชางหลางคงได้ถูกทำให้หายไปจากโลกโดยพวกทัณฑ์สวรรค์เป็นแน่
ดังนั้นหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพัก เย่เย่ก็ได้กัดฟันและพูดกับเหยียนลี่หยางด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก “ในเมื่อพวกเขาไม่อยากที่จะสู้กันก่อนเวลาอันควร พวกเราก็ต้องทำให้สำนักต่างไฟกับสำนักแก้วหลากสีมาเผชิญหน้ากัน ขอเพียงแค่สำนักต่างไฟกับแก้วหลากสีเผชิญหน้ากัน พวกเราจึงจะมีเวลาได้พักหายใจ แล้วก็จะมีเวลามากขึ้นในการแก้ปัญหาตามไปด้วย!”
“แล้วเจ้าจะทำอย่างไร?”
มีแสงสว่างปรากฏในดวงตาของเหยียนลี่หยาง แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าแผนการของเย่เย่นั้นจะต้องเสียงมากๆแน่ แต่เขาก็ยินดีที่จะช่วยเหลือ
ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดอารามวิถีสวรรค์แล้ว ขอเพียง เย่เย่นั้นยังคงจดจำหน้าที่ของตัวเองได้ เหยียนลี่หยางก็จะไม่ปฏิเสธที่จะทำตามความต้องการของเย่เย่
ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่เย่เย่ได้มอบกระบี่เจ็ดดาราสะท้านเทพให้กับเขาแล้ว เหยียนลี่หยางก็ได้ทดสอบพลังของอาวุธวิเศษนี้ในอารามวิถีสวรรค์แล้ว จึงได้มั่นใจในพลังของเขาอย่างเต็มเปี่ยม ต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพมา ขอเพียงพลังยุทธ์ไม่มีปัญหาแล้วเหยียนลี่หยางก็มั่นใจมากว่าจะสามารถหนีมาจากเงื้อมมือได้อย่างสบายๆ ดังนั้นหลังจากที่ได้ยินที่เย่เย่กล่าวแล้ว ตัวเขาก็ได้มีสีหน้าคาดหวังขึ้นมาทันที
สีหน้าของเย่เย่นั้นก็ได้ค่อยๆหนักแน่นขึ้นมา เมื่อเห็นความสงสัยในดวงตาของเหยียนลี่หยางแล้ว เย่เย่ก็ได้บอกแผนการของเขาไป “แทนที่จะนั่งรออยู่เฉยๆในเมืองโม่ไห่ พวกเราก็อาศัยโอกาสนี้แอบเข้าไปในสำนักแก้วหลากสีเพื่อสังหาร เว่ยเหยียน ข้าเชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของพวกเราทั้งสองคนแล้ว ขอเพียงแค่พวกเราไม่ใจร้อนแล้ว ก็น่าจะสามารถทำภารกิจให้สำเร็จได้อย่างแน่นอน ขอเพียงแค่เว่ยเหยียนตายก็จะเกิดความโกลาหลขึ้นมาในสำนักแก้วหลากสี แล้ววิกฤติของ เมืองโม่ไห่เราก็จะได้รับการแก้ไขไปโดยปริยาย”
เหยียนลี่หยางก็ได้คิ้วขมวดแล้วจากนั้นก็ได้ตอบเย่เย่กลับไปด้วยสีหน้านิ่งๆ “หากไปกันสองคนมันจะเอิกเกริกมากเกินไปข้าไปเพียงคนเดียวก็พอแล้ว ไม่ต้องกังวลด้วยการช่วยเหลือจากกระบี่เจ็ดดาราสะท้านเทพแล้ว การลอบสังหารยอดฝีมือในระดับสูงสุดราชันย์เทพนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย!”
เนื่องจากกระบี่เจ็ดดาราสะท้านเทพนั้นเป็นอาวุธวิเศษในระดับราชันย์เทพแล้ว เหยียนลี่หยางจึงยังไม่สามารถใช้พลังของมันได้อย่างเต็มที่ แต่ทว่าต่อให้สามารถสำแดงฤทธิ์ได้แค่ 1-2 ส่วนของมัน ตัวเขาก็ยังมั่นใจว่าจะต่อกรกับยอดฝีมือที่เพิ่งบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพและหลบหนีจากเงื้อมมือของศัตรูได้อย่างสบายๆ
วรยุทธ์ของเย่เย่นั้นยังไม่ถึงระดับสูงสุดของราชันย์เทพ จึงไม่ได้ช่วยอะไรเหยียนลี่หยางมากนักในเมื่อเกราะสวรรค์นภาทมิฬยังใช้ไม่ได้ด้วยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นงานนี้ก็ยังอันตรายมากด้วย เหยียนลี่หยางจึงไม่ต้องการให้เย่เย่ที่เป็นผู้สืบทอดอารามวิถีสวรรค์นั้นต้องไปเสี่ยงชีวิตได้ เขาจึงได้คิดที่จะไปตามลำพัง
“ก็ได้! ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วย ถ้าหากเจ้าทำไม่สำเร็จก็ให้กลับมาหารือกันอีกครั้ง!”
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพัก เย่เย่ก็ได้ผงกหัวแล้วกล่าวกับเหยียนลี่หยาง
หลังจากนั้นเหยียนลี่หยางก็ได้ขอตัวลาและรีบมุ่งหน้าไปยังสำนักแก้วหลากสีพร้อมกับกระบี่เจ็ดดาราสะท้านเทพบนหลังของเขาทันที
เย่เย่ก็ได้มองไปทางที่เหยียนลี่หยางจากไป และด้วยเหตุผลบางอย่างตัวเขาก็ได้รู้สึกไม่ดีขึ้นมา แต่หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของเขาในเวลานี้คือการเพิ่มพูนวรยุทธ์ของตัวเอง ดังนั้นหลังจากที่ถอนหายใจ เย่เย่ก็ได้เก็บอารามวิถีสวรรค์ไปแล้วกลับไปยังเมืองโม่ไห่ แล้วหยิบเอายาแก่นแท้ออกมาตอนอยู่ในห้องของตัวเองและฝึกวิชาต่ออย่างเต็มที่
ในขณะที่เมืองโม่ไห่นั้นกำลังเตรียมตัวอย่างเต็มที่ในการพร้อมรบและควบคุมไม่ให้ความตื่นตระหนกระบาดไปทั่วทั้งเมืองอย่างเข้มงวดนั้น ก็ได้มีบางอย่างเกิดขึ้นในเมืองเสียหยางที่อยู่ไม่ไกลออกไปจากเมืองโม่ไห่
จงเทียนหลินที่เพิ่งจะเกลี้ยกล่อมให้เหล่ายอดฝีมือในเมืองเสียหยางให้ยอมรับในการกระชับความสัมพันธ์กับเมืองโม่ไห่ได้นั้น ก็ไม่รู้ว่าจะจัดการเช่นไรดีกับการจัดการกับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาในเวลานี้หลังจากที่ได้ทราบข่าวเรื่องของเว่ยเหยียนมาที่ดินแดนเทียนหนาน
ถึงแม้จะว่ากันตามหลักแล้ว เมืองเสียหยางนั้นได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับเมืองโม่ไห่ไปแล้ว ในเวลานี้พวกเขาก็จะต้องยืนหยัดอยู่ด้วยกันกับเมืองโม่ไห่ และทำงานร่วมกันเพื่อจัดการกับภัยที่มาจากสำนักแก้วหลากสี แต่ไม่ว่าทั้งสองฝ่ายนั้นจะร่วมมือกันอย่างไร ก็ยังเป็นไปไม่ได้เลยที่จะชดเชยเรื่องของความห่างระหว่างความแข็งแกร่งระหว่างพวกเขากับสำนักแก้วหลากสีได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาวิกฤติในขณะที่สำนักแก้วหลากสีได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่และมุ่งมั่นที่จะฟื้นคืนชื่อเสียงด้วยการเชือดไก่ให้ลิงดูเช่นนี้
ไม่เหมือนกับในเวลานั้นที่มีหนอนบ่อนไส้จางชางเซิงจากสำนักต่างไฟที่มาช่วยเหลือพวกเขา ในเวลานี้เมืองเสียงหยางกับโม่ไห่จำต้องพึ่งพาตัวเอง ถ้าหากเมืองเสียหยางต้องร่วมมือกับใครก็จะต้องอยู่ข้างเดียวกับเมืองโม่ไห่อยู่แล้ว ซึ่งเป็นไปได้ว่าเมื่อถึงตอนที่สำนักแก้วหลากสีได้รุกรานเมืองโม่ไห่ ก็คงจะลบเมืองเสียหยางให้หายไปจากละแวกริมชายฝั่งทะเลไปด้วยแน่ๆ