ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 338 แสงผ่านเงาเมฆ
บทที่ 338
แสงผ่านเงาเมฆ
“ได้สิ! แล้วอย่าทำให้ข้าผิดหวัง!”
เกาซุ่นก็ได้ครุ่นคิดอยู่สักพักจากนั้นก็ได้ผงกหัวให้กับ จงเจิ้งหมิง
ถึงแม้ว่าการครอบครองละแวกริมชายฝั่งทะเลและค้นหาแก่นภายในของมังกรสองหัวจะเป็นภารกิจหลักก็ตามที แต่ในคราวก่อนเกาซุ่นนั้นถูกทำให้เสียหน้าในเมืองโม่ไห่โดยไม่มีโอกาสทำให้เย่เย่ได้รับบทเรียน แต่ในเวลานี้จงเจิ้งหมิงนั้นกลับเสนอตัวจะสู้กับเย่เย่ออกมาเอง เกาซุ่นจึงได้คิดที่จะนั่งดูเสือกัดกันอยู่บนภูเขา และคอยดูสภาพที่น่าอับอายของเย่เย่
ถึงแม้ว่าผู้มาจุตินั้นจะมีความสามารถที่ไร้ขีดจำกัด แต่จงเจิ้งหมิงนั้นก็ได้ฝึกฝนจนมีวรยุทธ์อยู่ในระดับสูงสุดราชันย์เทพมาเป็นเวลานานแล้ว เกาซุ่นนั้นไม่เชื่อว่าเย่เย่นั้นจะสามารถไล่ตามจงเจิ้งหมิงทันได้ในระยะเวลาสั้นๆ เกาซุ่นจึงได้ฟันธงว่า จงเจิ้งหมิงต้องชนะแน่ๆ
เมื่อรวมกับศึกระหว่างทั้งสองฝ่ายนี้ด้วยแล้ว เย่เย่นั้นเป็นถึงรองเจ้าเมืองโม่ไห่ หลังจากที่เขาได้พ่ายแพ้ให้กับจงเจิ้งหมิงแล้ว กำลังใจของเมืองโม่ไห่ก็จะต้องเสียหายอย่างหนักแน่ เกาซุ่นจึงได้ยอมตกลงกับคำขอที่กะทันหันนี้ของจงเจิ้งหมิง
“ขอบพระคุณมาก คุณชายเกาซุ่น!”
หลังจากที่ได้รับอนุญาตจากเกาซุ่นแล้ว จงเจิ้งหมิงก็ได้ออกจากฝูงคนมาแล้วเดินมายังหน้าเมืองแล้วหันไปมองเย่เย่ที่ยืนอยู่บนกำแพง แล้วตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่ยั่วยุ “รองเจ้าเมืองเย่เย่ก่อนที่จะเริ่มศึก พวกเราสองคนลองมาประลองกันก่อนไหม? หรือว่าในฐานะที่เป็นรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของเมืองโม่ไห่จะไม่มีความกล้าที่จะมาสู้กับข้า นายน้อยของเมืองเสียหยางคนนี้?”
มีความประชดประชันแฝงอยู่ในคำพูดนั้นราวกับว่าตัวเขานั้นรู้สึกดูถูกเย่เย่ที่เป็นรองเจ้าเมืองโม่ไห่ตั้งแต่ยังหนุ่ม
บนกำแพงเมืองโม่ไห่ ซ่างกวานอวี่กับคนอื่นๆต่างก็พากันคิ้วขมวดเมื่อได้ยินเช่นนี้
“พี่เย่อย่าได้ตกหลุมพรางของเขานะ เพราะว่าท่านนั้นเป็นผู้ที่มีความสามารถมากที่สุดในเมืองโม่ไห่ของเรา จงเจิ้งหมิงจึงได้คิดที่จะลวงท่านไปฆ่าแน่ๆ!”
ซ่างกวานอวี่นั้นไม่รอให้เย่เย่ได้แสดงความคิดเห็นออกมา เธอรีบหันไปหาและเสนอความคิดกับเย่เย่อย่างแรงกล้า ใบหน้าของเธอนั้นก็เต็มไปด้วยความกังวล
“ใช่แล้ว พวกเขาคงจะที่จะล่อท่านรองเจ้าเมืองลงไปข้างล่างอย่างแน่นอน แล้วจากนั้นก็จะร่วมมือกันสังหารท่านรองเจ้าเมือง!”
“ฮึ่ม! ไม่นึกเลยว่าคนของเมืองเสียหยางจะเจ้าเล่ห์แบบนี้ เมื่อก่อนพวกเราเข้าใจพวกเขาผิดไปจริงๆ!”
“ท่านรองเจ้าเมืองอย่าได้ด่วนตัดสินใจ ไม่อย่างนั้นท่านอาจจะเพลี่ยงพล้ำด้วยน้ำมือของพวกเขาก็ได้!”
นอกจากซ่างกวานอวี่แล้ว เหล่ารุ่นเยาว์ของเมืองโม่ไห่เองต่างก็กล่าวอย่างไม่พอใจ ราวกับว่าพวกเขานั้นได้เห็นคนของเมืองเสียหยางนั้นเป็นคนทรยศไปเสียแล้ว และในใจของพวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยความรังเกียจ
แต่ทว่าตัวเย่เย่เองนั้นกลับมีสีหน้าที่สงบนิ่งราวกับว่าตัวเขาเข้าใจในจุดประสงค์ของจงเจิ้งหมิง และได้เดินออกไปข้างหน้าโดยไม่สนใจคำทัดทานของซ่างกวานอวี่และคนอื่นๆ แล้วลงจากกำแพงเมืองไปหาจงเจิ้งหมิง
“นายน้อยเสนอตัวชวนข้าเองเช่นนี้ ข้าเย่เย่จะปฏิเสธได้เช่นไร! ท่านกับข้าเรามาสู้กันก่อนเปิดศึกกันเถอะ เพื่อชดเชยกับที่พลาดไปในครั้งก่อน!”
เพราะว่าเย่เย่นั้นไม่ได้สู้กับจงเจิ้งหมิงในเมืองเสียหยางในครั้งก่อน จึงได้มีความรู้สึกติดค้างอยู่ในใจของเขา แต่หากดูจากท่าทีของจงเจิ้งหมิงเมื่อสักครู่แล้ว อีกฝ่ายเองก็คงจะมีความคิดเช่นเดียวกันกับเขา ด้วยเหตุนี้เย่เย่ถึงได้ไม่ปฏิเสธคำเชิญของอีกฝ่าย แล้วตัดสินใจที่จะดวลกับจงเจิ้งหมิงก่อนจะเริ่มศึก
วรยุทธ์ในปัจจุบันของเย่เย่นั้นอยู่ในระดับใกล้เคียงราชันย์เทพระดับสูงสุด ซึ่งเป็นระดับที่การต่อสู้จริงนั้นจำเป็นต่อการรักษาเสถียรภาพของพลัง และจงเจิ้งหมิงนั้นก็เรียกได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมที่สุดของเย่เย่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวรยุทธ์ก็ดีหรือฐานะของเขาก็ดี ล้วนแต่เป็นที่ต้องการของเย่เย่ทั้งนั้น
ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับชายชุดดำก่อนหน้านี้ แต่หลังจากที่ทานยาที่เย่เย่ซื้อมาจากระบบเติมเงินแล้ว การบาดเจ็บของเขานั้นก็ได้ฟื้นคืนอย่างเต็มที่แล้ว และพลังปราณของเขานั้นก็ได้เข้มข้นมากกว่าแต่ก่อน ต่อให้เป็นจงเจิ้งหมิงที่มีชื่อเสียงมากในละแวกริมชายฝั่งทะเลนี้ แต่เย่เย่นั้นก็ไม่ได้กลัวเขาเลยแม้แต่น้อยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเขา และใบหน้าก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
แล้วทั้งสองคนก็ได้มาเผชิญหน้ากันที่นอกเมือง ซ่างกวานจ้งกับหลิ่วซื่อหมิงนั้นไม่มีเวลาที่จะเข้าไปห้ามทั้งคู่ ทำได้แค่ปล่อยให้เย่เย่นั้นจัดการเรื่องนี้เองอย่างสุดกำลัง
ถึงแม้ว่าตัวตนของเย่เย่ที่เป็นผู้มาจุตินั้นจะได้รับการยืนยันแล้ว แต่ครั้งสุดท้ายที่ผู้คนในเมืองโม่ไห่ได้เห็นเย่เย่แสดงฝีมือก็ตอนที่เขาจัดการกับหลินฉี แม้แต่เจ้าเมืองซ่างกวานจ้งเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เย่เย่นั้นแข็งแกร่งมากขึ้นขนาดไหนแล้ว
แต่พอพวกเขาได้เห็นถึงความมั่นใจเต็มเปี่ยมของเย่เย่แล้ว ความกังวลในใจของพวกเขาก็ได้หายไป โดยเฉพาะ ซ่างกวานจ้ง เพราะว่าตัวเขานั้นได้เป็นพยานรู้เห็นตอนที่เย่เย่นั้นได้เสนอชวนจงเจิ้งหมิงสู้ด้วยในครั้งก่อนที่เมืองเสียหยาง ทำให้ตัวเขานั้นมีความมั่นใจในตัวเย่เย่มากกว่าใคร ถ้าหากเย่เย่นั้นสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามในการประลองนี้ได้ กำลังใจของเมืองโม่ไห่ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก และซ่างกวานจ้งก็จะยินดีมากหากเป็นเช่นนั้น
ส่วนจงเทียนหลินกับพรรคพวกที่อยู่ทางฝั่งของเมืองเสียหยางนั้น ก็ไม่ได้คัดค้านอะไรกับการต่อสู้ของทั้งคู่เช่นกัน ในใจหนึ่งนั้นจงเจิ้งหมิงนั้นก็ได้รับอนุญาตจากเกาซุ่นแล้ว ต่อให้จงเทียนหลินคิดที่จะห้ามก็ไม่สามารถที่จะพูดอะไรออกไปได้อยู่ดี ส่วนอีกใจหนึ่งตัวเขาเองก็อยากจะเป็นพยานรู้เห็นในความรุ่งเรืองของจงเจิ้งหมิงทีละก้าวๆ ตัวเขานั้นมั่นใจในตัวของ จงเจิ้งหมิงมากกว่าใครในที่นี้ แม้ว่าเย่เย่นั้นจะเป็นผู้มาจุติก็ตามที แต่จงเทียนหลินกับพรรคพวกนั้นก็ยังเชื่อมั่นมากว่าจงเจิ้งหมิงนั้นจะต้องเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด
ไม่ว่าเหล่าคนที่อยู่ด้านหลังจะคิดเช่นไรกัน หลังจากที่ เย่เย่กับจงเจิ้งหมิงได้ทำมือคารวะให้กันและกันที่ด้านนอกเมืองแล้ว ทั้งคู่ก็ได้บุกเข้าปะทะอีกฝ่ายพร้อมกันทันที
ตูม!
ทั้งสองคนบุกเข้าหาแทบจะพร้อมกัน และความเร็วของทั้งคู่นั้นก็ได้แหวกผ่านอากาศและทำให้เกิดเสียงแหลมที่รุนแรงดังมาจากด้านนอกเมือง
ปัง!
หมัดของเย่เย่กับหมัดของจงเจิ้งหมิงก็ได้ปะทะกันอย่างรวดเร็วมาก ก่อให้เกิดฝุ่นและควันฟุ้งขึ้นมาระหว่างทั้งคู่ และมีลมกรรโชกพัดออกมาจากความผันผวนของพลังปราณ
เกาซุ่นกับพรรคพวกก็ได้พากันถอยออกมา เพื่อให้มีที่ว่างมากพอสำหรับเย่เย่กับจงเจิ้งหมิงได้ต่อสู้กัน ซ่างกวานจ้ง, หลิ่วซื่อหมิงและคนอื่นๆที่อยู่บนกำแพงเมืองเองต่างก็ตั้งใจมองดูทั้งคู่ ด้วยความกลัวจะพลาดรายละเอียดเล็กน้อยไป
“ระดับสูงสุดราชันย์เทพงั้นเหรอ แต่มันก็แค่นั้นแหละ!”
หลังจากที่เย่เย่กับจงเจิ้งหมิงได้ต่อสู้กันอย่างไม่คิดชีวิตนั้น เย่เย่ได้ถอยออกมาเพื่อตั้งหลัก ในเวลานี้ความมั่นใจในดวงตาของเขานั้นแรงกล้ามากยิ่งขึ้น และน้ำเสียงที่เขาพูดกับ จงเจิ้งหมิงนั้นก็บาดคมสุดๆเช่นกัน
มีแววตาประหลาดใจในดวงตาของจงเจิ้งหมิง แล้วก็ได้เพิ่มความสำคัญของเย่เย่เพิ่มขึ้นมาระดับหนึ่งในใจของเขา
ถึงแม้ว่าเมื่อสักครู่นั้นตัวเขานั้นจะได้เปรียบกว่า แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าวรยุทธ์ของเย่เย่นั้นไม่ต่างจากของเขามากนัก เพื่อที่จะได้ไม่เป็นการเสียเวลาของทุกคน จงเจิ้งหมิงก็ได้ตัดสินใจที่จะไม่ลองดูอีกและแสดงวรยุทธ์ของเขา“แสงผ่านเงาเมฆ”ออกมาทันที แล้วพุ่งเข้าหาเย่เย่
“ลองชิมหมัดของข้าหน่อย!”
หลังจากที่จงเจิ้งหมิงได้บุกเข้ามาหาเย่เย่ เขาก็ได้เหวี่ยงหมัดขวาไปที่หน้าของเย่เย่ และในขณะเดียวกันก็ได้มีรัศมีที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแผ่ออกมาจากหมัดของเขา
สีหน้าของเย่เย่ก็ได้เคร่งเครียดขึ้นมาทันที และเขาก็รับรู้ได้ถึงอันตรายอย่างสุดๆที่แผ่ออกมาจากหมัดของจงเจิ้งหมิงได้ อย่างชัดเจน
ในขณะที่จงเจิ้งหมิงได้ต่อยเขาด้วยหมัดนั้น สายตาของเย่เย่ก็ได้รับผลจากรัศมีจากหมัดของฝ่ายตรงข้ามจนต้องหรี่สายตาลง และจงเจิ้งหมิงก็ได้อาศัยโอกาสนี้เพื่อเปลี่ยนท่วงท่าของเขาอย่างรวดเร็วและปล่อยอีกหมัดใส่อกของเย่เย่ด้วยพลังกดดันด้วยความเร็วสายฟ้าแล่บ
“อุ่ฟ!”
เย่เย่ก็ได้ถูกจงเจิ้งหมิงต่อยจนกระอักเลือดออกมาจากปากเขาทันที และร่างของเขาก็ได้กระเด็นลอยไปข้างหลังทันที
ดวงตาของเย่เย่ก็ได้ปรากฏความตกใจ และได้ทำความเข้าใจถึงวรยุทธ์ของจงเจิ้งหมิงเสียใหม่
วรยุทธ์ของจงเจิ้งหมิงนั้นแม้จะดูอลังการ แต่ท่าสังหารจริงๆของเขานั้นคือแรงโน้มถ่วงต่างหาก ชั้นของรัศมีที่แผ่ออกมานั้นจริงๆแล้วเกิดจากแรงโน้มถ่วงที่บิดเบี้ยวแสงจนทำให้เกิดเป็นเงาขึ้นมา หลังจากที่หมัดของเขาโดนตัวของเย่เย่แรงโน้มถ่วงที่น่ากลัวก็ได้ระเบิดออกมาจนทำให้เย่เย่ต้องกระอักเลือดออกมาทันที
“เยี่ยม!”
เมื่อเกาซุ่นเห็นเย่เย่บาดเจ็บนั้น ใบหน้าของเขาก็ได้ปรากฏสีหน้ายินดีออกมาทันที และสายตาของเขาที่จ้องมองไปยังจงเจิ้งหมิงนั้นก็ได้ปรากฏความพึงพอใจมากขึ้น
สิงเทียนหมิงกับพรรคพวกเองต่างก็รู้สึกยินดีเหมือนกัน แม้ว่าเมืองเสียหยางนั้นจะชิงเอาบทบาทของพวกเขาไป ขอเพียงเย่เย่ที่เป็นรองเจ้าเมืองโม่ไห่ตายได้นั้น เมืองหลงเจียงของพวกเขาก็ไม่ใส่ใจกับผลประโยชน์ที่เสียไปเพียงนิดหน่อย
“ท่านเจ้าเมือง พวกเราจะทำเช่นไรดี?”
เหนือกำแพงเมือง หลิ่วซื่อหมิงก็ได้ถามซ่างกวานจ้งด้วยความเป็นกังวล และถามเขาว่าต้องการจะลงไปช่วยเย่เย่ไหม
แต่ซ่างกวานจ้งก็ได้ส่ายหัวเบาๆ แล้วกล่าวกับ หลิ่วซื่อหมิงและคนอื่นๆอย่างหนักแน่น “ข้าเชื่อในตัวของรองเจ้าเมือง! หากว่าเขาไม่ได้ร้องขอให้ช่วย พวกเราก็จะยืนรออยู่ที่นี่!”
“อื้ม!”
หลิ่วซื่อหมิงก็ได้ทำเสียงออกมา เมื่อได้ยินเช่นนี้ตัวเขาก็ทำได้แค่รอและคอยดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
ถึงแม้ว่าตัวเขาจะรู้ดีว่าเย่เย่นั้นมีความสามารถที่มาก แต่ก็ไม่ได้มีความมั่นใจในตัวของเย่เย่มากเหมือนกับซ่างกวานจ้ง โดยไม่สนใจว่าจงเจิ้งหมิงนั้นจะสังหารเย่เย่จริงหรือไม่ แต่หาก เย่เย่แพ้การประลองนี้เมื่อไร จะต้องส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงกับเมืองโม่ไห่อย่างมากแน่
ที่ด้านนอกกำแพงเมือง ทั้งเย่เย่กับจงเจิ้งหมิงนั้นต่างก็ไม่สนใจในความคิดของอีกฝ่ายแต่อย่างใด
หลังจากที่ถูกจงเจิ้งหมิงชกจนลอยขึ้นกลางอากาศนั้น เขาก็ได้รีบหยุดและตั้งหลักกลางอากาศ หลังจากที่สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้ว เย่เย่ก็ได้หยุดถอยแล้วปล่อยการสวนกลับที่รุนแรงใส่จงเจิ้งหมิงทันที
“ตอนนี้ทีข้าบ้างล่ะ!”
ถึงแม้ว่าตัวเขานั้นจะบาดเจ็บ แต่กำลังใจของเย่เย่นั้นก็ไม่ได้ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่เขาบุกเข้าไปหาจงเจิ้งหมิง เย่เย่ก็ได้ดึงเอาพลังของวิญญาณมังกรในร่างออกมาและส่งพลังปราณมังกรไปที่มือขวาของเขา แล้วเขาก็ได้ชกเข้าไปที่หน้าของจงเจิ้งหมิงอย่างสุดกำลัง
“เปล่าประโยชน์!”
จงเจิ้งหมิงที่เห็นว่าเย่เย่นั้นไม่ได้ใช้วรยุทธ์ของตัวเอง แต่แทนที่จะเหวี่ยงหมัดสวนกลับไป ก็ได้ถอนหายใจและกล่าวกับ เย่เย่
แต่ก็ใช่ว่าตัวเขานั้นจะไม่สนหมัดนั้นเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่เย่เย่ปล่อยหมัดออกมานั้น จงเจิ้งหมิงก็ได้ใช้แสงผ่านเงาเมฆอีกหน และต่อยใส่เย่เย่สวนกลับไปทันที
ตูม!
เกิดเป็นลูกบอลแสงที่ค่อยๆขยายขนาดมากขึ้นเรื่อยๆตรงระหว่างหมัดทั้งคู่และระเบิดออกมาทันทีในชั่วพริบตา
เย่เย่กับจงเจิ้งหมิงต่างก็กระเด็นถอยออกมาพร้อมกัน ทั้งคู่นั้นต่างก็ถูกพลังที่หนาแน่นราวกับพายุคลั่งบังคับให้ถอยออกมา
มีความตกใจปรากฏในดวงตาของจงเจิ้งหมิง ตัวเขานั้นไม่เข้าใจว่าทำไมพลังของเย่เย่นั้นจู่ๆก็เพิ่มขึ้นสูงขึ้นมา แต่เย่เย่นั้นก็ไม่ได้ปล่อยให้เขาได้มีเวลาคิด และหลังจากที่เขาตั้งหลักได้ก็ได้บุกเข้าไปหาจ้งเจิ้งหมิงอีกหนทันที
“เข้ามาเลย!”
จงเจิ้งหมิงก็ได้กัดฟันทนและเหวี่ยงหมัดใส่เย่เย่อีกหนอย่างไม่คิด ราวกับว่าตัวเขานั้นคิดที่จะปราบเย่เย่ให้อยู่หมัดด้วยวรยุทธ์แสงผ่านเงาเมฆ
ตูม!
ที่ด้านนอกของกำลังแพงเมือง พลังปราณในอากาศก็ได้เกิดการคลุ้มคลั่งและอากาศบริเวณนั้นก็เหมือนกับเต็มไปด้วยพลังการต่อสู้ที่รุนแรงจนเกิดเป็นลมหมุนวนที่รุนแรงทำให้ฝุ่นควันคละคลุ้งไปทั่วพื้นที่ราบ
มีพลังปราณหลั่งไหลเข้ามาในหมัดของจงเจิ้งหมิงมากขึ้นเรื่อยๆ และทุกคนที่มองดูการต่อสู้นั้นต่างก็มองเห็นการโจมตีที่รุนแรงของจงเจิ้งหมิงได้จากไกลๆ
แต่ทว่าเย่เย่ผู้ที่น่าจะบุกเข้าไปข้างหน้าเพื่อปะทะกับ จงเจิ้งหมิงนั้น ก็ได้หายไปทันทีต่อสายตาของทุกคน
ฟิ้ว!
ในชั่วพริบตาเดียว เย่เย่ที่น่าจะอยู่ห่างจากจงเจิ้งหมิงหลายก้าวนั้น ก็ได้พลันดึงพลังปราณมังกรไปที่เท้าของเขาและมาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังของจงเจิ้งหมิง
ความเร็วนี้ของเย่เย่นั้นเร็วเกินกว่าที่ทุกคนจะทันตั้งตัว กว่าจงเจิ้งหมิงจะรับรู้ได้ถึงตำแหน่งของเย่เย่นั้นก็สายเกินไปเสียแล้ว
“ทำลาย!”
เย่เย่ก็ได้ซัดใส่จงเจิ้งหมิงด้วยฝ่ามือ พลังฝ่ามือของเขานั้นได้พุ่งขึ้นสูงหลายเท่าภายใต้พลังจากวิญญาณมังกรและการเพิ่มพลังด้วยพลังปราณมังกร ทำให้จงเจิ้งหมิงนั้นถูกซัดและกระเด็นออกไปทันที