ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 335 สถานการณ์พลิกผัน
บทที่ 335
สถานการณ์พลิกผัน
จางชางเซิ่งก็ได้ยิ้มหลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น แล้วก็ได้ตอบจงเทียนหลินกลับไปอย่างเลี่ยงๆ “ในครั้งก่อนเหล่ากองกำลังใหญ่ๆได้ล้มเหลวในการเจรจาตกลงกันที่สำนักแก้วหลากสีในการก่อตั้งพันธมิตรขนาดใหญ่ร่วมมือกันต่อต้านสำนักต่างไฟ ตัวข้านั้นไม่คิดว่าความผิดพลาดทั้งหมดนั้นมาจากทางฝั่งของสำนักแก้วหลากสี ถึงแม้ว่ากองกำลังเล็กๆอย่างเมืองเสียหยางของพวกเจ้านั้นจะมีสิทธิ์ที่จะเลือกเป็นอิสรภาพไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่สำนักแก้วหลากสีเองก็ไม่ใช่คนโง่ ทางเราย่อมที่จะเลือกไม่ปกป้องพวกเจ้าจากลมจากฝนโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ แล้วเผชิญหน้ากับอันตรายจากสำนักต่างไฟโดยลำพังอยู่แล้ว!”
ในขณะที่เขาพูดอยู่ จางชางเซิ่งก็มองดูท่าทีตอบสนองของจงเทียนหลิน และได้พยายามที่จะทดสอบหามุมมองที่แท้จริงของจงเทียนหลิงที่มีต่อสำนักแก้วหลากสี แต่สุดจางชางเซิ่งก็ต้องผิดหวัง เพราะจงเทียนหลินนั้นสงบเยือกเย็นได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ราวกับว่าคำที่เขาพูดออกไปนั้นเป็นเพียงคำพูดธรรมดาๆ
“นั่นก็เป็นเรื่องผ่านไปตั้งนานแล้ว ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมท่านจางถึงได้ยกขึ้นมาพูดในเวลานี้ ทุกวันนี้เหล่าขุมกำลังใหญ่ๆในดินแดนเทียนหนานต่างก็พยายามต่อสู้ตามวิธีการของตัวเอง แม้แต่ละแวกริมชายฝั่งทะเลที่สงบสุขในอดีตก็ได้เริ่มวุ่นวายขึ้นมาแล้ว เมืองเสียหยางของเราก็ทำได้แค่ไหลไปตามกระแสและทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้รอดจากความโกลาหลนี้เท่านั้น”
หลังจากที่จางชางเซิ่งพูดจบ จงเทียนหลินก็ได้ถอนหายใจแล้วจากนั้นก็ได้ตอบกลับไปตามตรงเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันของละแวกริมชายฝั่งทะเลและเมืองเสียหยาง
ไม่ได้มีความคุกคามอะไรในคำพูดของเขา เหมือนกับว่าจงเทียนหลินนั้นไม่ได้มีความคิดว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นศัตรู แต่ในขณะเดียวกันก็ได้หาทางออกให้ตัวเอง จางชางเซิ่งก็เหมือนจะเดาอะไรบางอย่างออกได้จากท่าทีของจงเทียนหลินด้วยสายตาอันละเอียดอ่อนในดวงตาของเขา
แต่ทว่าจางชางเซิ่งกลับไม่ได้แสดงความเป็นปรปักษ์ใดๆกับจงเทียนหลินหรือบอกให้ตัดความสัมพันธ์ระหว่างเมืองโม่ไห่กับเมืองเสียหยางแต่อย่างใด แต่เพื่อที่จะทำให้จงเทียนหลินได้รับรู้ถึงความเป็นจริงแล้ว เขาก็ได้พูดอย่างตรงๆกับจงเทียนหลิน “จากที่เจ้าเมืองจงเทียนหลินว่ามา ทำให้ข้าเข้าใจได้ว่าเมืองเสียหยางนั้นตัดสินใจที่จะเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับเมืองโม่ไห่เพื่อร่วมกันจัดการกับภัยที่มาจากสำนักแก้วหลากสีอย่างนั้นสินะ? แต่ท่านเจ้าเมืองจงรู้หรือไม่ว่าถ้าท่านจับมือเป็นพันธมิตรกันเพื่อต่อสู้กับสำนักแก้วหลากสีกับเมืองหลงเจียงแล้ว ท่านรู้หรือไม่ว่าเมืองเสียหยางกับเมืองโม่ไห่นั้นจะต้องสูญเสียไปเท่าไรจากการต่อสู้นี้? ถ้าหากทั้งสองฝ่ายเสียหายแล้วท่านคิดว่าท่านจะยังมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะต้านทานความโกลาหลที่จะตามมาได้อย่างนั้นเหรอ?”
หลังจากที่จางชางเซิ่งพูดจบ จงเทียนหลินก็ได้ทำสีหน้าแปลกๆราวกับว่าเขานั้นประหลาดใจกับท่าทีของจางชางเซิ่ง
แต่จงเทียนหลินก็ไม่ได้เก็บมาคิดมากนัก หลังจากที่ได้ยินจางชางเซิ่งแสดงจุดประสงค์ของเขาออกมาอย่างไม่ปิดบังแล้ว ก็ได้เผชิญหน้ากับจางชางเซิ่งและตอบอย่างหนักแน่น “ถ้าหากสำนักแก้วหลากสียังยืนยันที่จะเข้ามาครอบครองละแวกริมชายฝั่งทะเลโดยอาศัยเมืองหลงเจียงแล้ว พันธมิตรระหว่างเมืองเสียหยางกับเมืองโม่ไห่นั้นก็คงจะเป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าศึกนี้จะต้องสูญเสียสักเท่าไรแต่เมืองเสียหยางของเราจะไม่มีวันยอมแพ้โดยไม่สู้เหมือนอย่างเมืองหลงเจียงที่ยอมสวามิภักดิ์ให้กับสำนักแก้วหลากสีของท่านแน่!”
ด้วยการร่วมเป็นพันธมิตรกับเมืองโม่ไห่ ก็จะทำให้เมืองเสียหยางนั้นสามารถที่จะพึ่งพาตัวเองได้ แต่ทว่าถ้าหากตัวเขายอมสวามิภักดิ์เข้ากับสำนักแก้วหลากสีแล้ว เมืองเสียหยางนั้นจะไม่เพียงแต่ต้องถูกข่มเหงจากทุกหนทุกแห่งแล้ว แต่ยังจะต้องเป็นเมืองกันชนให้สำนักแก้วหลากสีจากความโกลาหลที่กำลังจะมาถึงด้วย
แทนที่จะต้องอยู่อย่างอับอายด้วยการยอมสวามิภักดิ์เป็นลูกน้องของสำนักแก้วหลากสีแล้ว คงจะเป็นการดีกว่าที่จะสู้จนตายเพื่อชีวิตและศักดิ์ศรีของตัวเอง นี่คิดบทสรุปที่จงเทียนหลินคิดในช่วงหลายวันมานี้ ต่อให้เมืองเสียหยางกับเมืองโม่ไห่จะต้องล่มสลายจากการต่อสู้กับสำนักแก้วหลากสีก็ตามที แต่ก็ยังดีกว่าจะต้องตายอย่างเงียบๆในฐานะเมืองกันชนให้กับสำนักแก้วหลากสีหลังจากที่สวามิภักดิ์
ดังนั้นจงเทียนหลินจึงได้กล่าวอย่างหนักแน่นสุด ราวกับว่าไม่มีที่ว่างพอจะให้ต่อรองได้เลย
จางชางเซิ่งก็ไม่ได้โกรธอะไรหลังจากที่เห็นดวงตาที่หนักแน่นของจงเทียนหลิน กลับกันก็ได้พลันเกิดความเงียบสงบอยู่พักใหญ่ๆราวกับสบายใจแทน ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาแล้วกล่าวกับจงเทียนหลินเบาๆ “ถ้าหากข้ามีวิธีทำให้เมืองเสียหยางกับเมืองโม่ไห่ชนะได้ด้วยความเสียหายน้อยที่สุดแล้ว เจ้าเมืองจงคิดที่จะร่วมมือกับข้าไหม?”
“คือว่า….”
จงเทียนหลินนั้นไม่คิดว่าท่าทีของจางชางเซิ่งนั้นจะเปลี่ยนไปอย่างกลับลำเช่นนี้ และมีความสับสนปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา
แต่ทว่าจางชางเซิ่งนั้นไม่คิดที่จะหยุดอยู่แค่นั้น และบอกเล่าแผนการของเขาโดยละเอียดต่อ
หลังจากที่ผ่านไปพักใหญ่ๆ จางชางเซิ่งก็ได้บรรลุข้อตกลงกับจงเทียนหลิน แล้วก็ได้ออกจากเมืองเสียหยางไปและกลับไปหาเกาซุ่น
ยืนอยู่ที่หน้าประตูจวนเจ้าเมือง จงเทียนหลินก็ได้มองไปยังทิศทางที่จางชางเซิ่งจากไป และมีความไม่เชื่ออยู่ในสายตาของเขาแต่ทันทีที่เขาตั้งสติได้ ก็ได้ให้คนไปส่งจดหมายให้ ซ่างกวานจ้งในเมืองโม่ไห่ด้วยความเร็วสูงสุด แล้วจงเทียนหลินก็ได้รีบสั่งการทั่วทั้งเมืองเสียหยางให้อยู่ในสภาพเตรียมพร้อมรบในทันที
กว่าที่ซ่างกวานจ้งเจ้าเมืองโม่ไห่นั้นได้รับจดหมายจาก จงเทียนหลิน ก็เป็นเวลาเช้าวันถัดมาแล้ว หลังจากที่อ่านจดหมายแล้วสีหน้าของเขาก็ได้ค่อยๆเปลี่ยนไปและมีแววตาที่คลุมเครือปรากฏในดวงตาของเขา
แต่หลังจากนั้นสักพักซ่างกวานจ้งก็ได้ถอนหายใจออกมา ราวกับว่าตัวเขานั้นตัดสินใจได้แล้วและเผาจดหมายนั้นทิ้งไปทันที แล้วจากนั้นก็ได้ออกคำสั่งกับผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลังเขา “ไปที่ป่าควันกระเพื่อมไปตามรองเจ้าเมืองกลับมาเดี๋ยวนี้ บอกไปว่าสงครามกำลังจะเริ่มแล้ว รีบกลับมาที่เมืองโดยด่วน!”
“ขอรับ!”
แล้วผู้ติดตามที่คอยติดตามซ่างกวานจ้งนั้นมีสีหน้าที่จริงจัง ก็ได้ทำมือคารวะซ่างกวานจ้งและรีบออกนอกเมืองโม่ไห่ไป
ซ่างกวานจ้งก็ได้มองไปที่แผ่นหลังของอีกฝ่ายที่จากไปด้วยสีหน้าที่ลำบากใจ แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว และในเวลานี้เขาก็ทำได้แค่พาทุกคนในเมืองโม่ไห่ไปเสี่ยงมากขึ้นท่ามกลางความอยู่รอดในช่วงโกลาหลนี้
ดังนั้นทันทีที่ผู้ติดตามได้ออกไปแจ้งเรื่องให้เย่เย่ทราบอยู่นั้น ซ่างกวานจ้งก็ได้ประกาศข่าวออกไปว่าเมืองเสียหยางนั้นได้ยอมเข้าสวามิภักดิ์ต่อสำนักแก้วหลากสีแล้ว และได้ทำให้เมืองโม่ไห่เตรียมพร้อมต่อสู้ และสาบานว่าต่อให้ต้องตายก็จะต้องต้านทานการรุกรานของสำนักแก้วหลากสีและขุมกำลังอื่นๆให้ได้
ต่อให้มีแค่เกาซุ่นกับพรรคพวกที่ถูกส่งมาจากสำนักแก้วหลากสีในเวลานี้ แต่ด้วยการช่วยเหลือของเมืองหลงเจียงกับเมืองเสียหยางแล้ว ก็คงไม่มีขุมกำลังไหนๆในละแวกนี้ที่จะสามารถต้านทานพวกเขาเพียงลำพังได้
เกาซุ่นก็ได้อาศัยโอกาสนี้เรียกยอดฝีมือจากทั้งสองเมืองให้มารวมกันทันทีและตั้งใจที่จะเข้ายึดครองเมืองโม่ไห่ในรวดเดียว ถ้าหากผู้คนในเมืองโม่ไห่ยินดีที่จะตายแล้ว เกาซุ่นกับพรรคพวกก็จะเผาเมืองโม่ไห่ให้ราบเป็นหน้ากลอง
หลังจากที่ข่าวนี้ออกมา เหล่าขุมกำลังใหญ่ๆในละแวกริมชายฝั่งทะเลนั้นก็ได้เกิดความตึงเครียดทันที และเกือบทั้งหมดต่างก็ให้ความสนใจกับเมืองโบราณโม่ไห่ และจำนวนของสายลับที่มารวมกันอยู่รอบๆเมืองโม่ไห่นั้นก็ได้เพิ่มมากขึ้นในช่วงหลายวันมานี้ และข้อมูลล่าสุดก็ได้ถูกส่งออกไปยังเหล่าเมืองโบราณในละแวกริมชายฝั่งทะเลนี้อย่างรวดเร็ว
ณ หนองน้ำในป่าควันระลอกที่อยู่ใกล้กับเมืองโม่ไห่ที่สุดนั้น เย่เย่ก็ได้พยายามที่จะฝึกวิชาทะเลสวรรค์กำเนิดน้ำของเขาให้สำเร็จ แต่ทว่าเนื่องจากความยากของวิชานี้ ทำให้เย่เย่นั้นยังไม่มีแววที่จะบรรลุวิชานี้เลยหลังจากที่ฝึกวิชาอยู่ในป่าควันระลอกนี้เป็นเวลาหลายวัน
ทะเลสวรรค์กำเนิดน้ำเดิมทีเป็นสุดยอดวิชาธาตุน้ำในระดับราชันย์เทพ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฝึกสุดยอดวิชาให้สำเร็จได้ แต่ภายใต้การศึกษาทั้งกลางวันและกลางคืนของ เย่เย่ มันก็ไม่มีปัญหาอะไรถ้าจะฝึกวิชาที่อยู่ในระดับต่ำกว่านี้ แต่เพราะการที่จะฝึกวิชานี้ให้สำเร็จได้นั้นจำเป็นจะต้องทำการบีบอัดดาราธาตุน้ำให้สำเร็จเสียก่อน ดังนั้นจนกระทั่งถึงตอนนี้เย่เย่ก็ยังไม่ได้เริ่มฝึกวิชาทะเลสวรรค์กำเนิดน้ำเลย
ในตอนที่เย่เย่ได้ซื้อวิชาลับนี้มานั้น เขาก็คิดการบีบอัดดาราธาตุน้ำนั้นคงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่หลังจากที่พยายามมาเป็นเวลาหลายวัน เขาก็ได้รู้สึกว่าความคิดของเขาก่อนหน้านี้นั้นมันบ้ามากเพียงใด
และเพื่อที่จะบีบอัดดาราธาตุน้ำให้ได้โดยไว เย่เย่จึงได้ออกจากเมืองโม่ไห่มายังหนองน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุดในป่าควันกระเพื่อมมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ว่ามีโอกาสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่เขาจะบีบอัดดาราธาตุน้ำได้สำเร็จ
มีสองยอดฝีมือที่ถูกส่งมาโดยซ่างกวานจ้งให้มาคอยคุ้มครองเย่เย่ในบริเวณนั้นไม่ห่างไกลจากเย่เย่นัก เพื่อป้องกันไม่ให้คนภายนอกข้ามาในบริเวณนี้และรบกวนการฝึกวิชาของ เย่เย่ ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ถึงที่มาของวิชาของเย่เย่ แต่เพราะว่าเย่เย่นั้นมีชื่อเสียงอย่างมากในเมืองโม่ไห่ ดังนั้นทั้งคู่นั้นจึงเต็มไปด้วยความคาดหวังกับวิชาที่เย่เย่นั้นกำลังฝึกอยู่ และอยากที่จะเป็นคนแรกที่ได้เห็นวิชาที่เย่เย่กำลังฝึกอยู่
แต่ทว่าก่อนที่ความปรารถนาของพวกเขาจะได้เป็นจริง ก็ได้ชายชุดดำจู่ๆก็ปรากฏตัวมาตัดคอของพวกเขาทันทีและทำให้พวกเขาไม่มีวันได้กลับไปที่เมืองโม่ไห่ได้อีก
ฟุ่บ! ฟุ่ป!
ด้วยการเอามือมารองรับของชายชุดดำก่อนที่ทั้งสองศพจะหล่นลงพื้นนั้นเอง จึงได้มีแค่เสียงเบาๆดังขึ้นมาเท่านั้นซึ่งได้ไม่รบกวนเย่เย่ที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ไม่ไกลแต่อย่างใด
เมื่อชายชุดดำเห็นเช่นนี้แล้ว เขาก็ได้บุกเข้าไปหาเย่เย่ อย่างเงียบๆและในขณะเดียวกันก็ได้เร่งพลังปราณในร่างของเขาเพื่อที่จะได้สังหารเย่เย่จากข้างหลังในคราวเดียว
ซึ่งชายคนนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากสมาชิกของสมาคมบัวโลหิตที่หายไปจากหุบเขาหลิ่วชวานในวันนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะพลาดการซื้อซากของมังกรสองหัวได้สำเร็จ แต่เขาก็ยังไม่ลืมจุดประสงค์หลักในการมาที่ละแวกริมชายฝั่งทะเลนี้
บางทีคนอื่นนั้นอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเย่เย่ตอนนี้อยู่ที่ไหน แม้แต่คนในเมืองโม่ไห่เอง มีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่ทราบถึงที่อยู่ของเย่เย่ แต่ชายชุดดำนั้นกลับสามารถตามหาที่อยู่ของ เย่เย่ได้อย่างง่ายดาย
เพราะสมาคมบัวโลหิตของพวกเขานั้นไม่ได้เป็นแค่เพียงองค์กรตามล่าผู้มาจุติขนาดใหญ่ในแผ่นดินว่านหลิงนอกจากทัณฑ์สวรรค์เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นองค์กรรวบรวมข่าวกรองใต้ดินขนาดใหญ่ที่สุดในแผ่นดินว่านหลิงด้วย หรือจะให้พูดชัดๆเลยคือเป็นเพราะว่าสมาชิกของสมาคมบัวโลหิตนั้นไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับเหล่าศิษย์ของทัณฑ์สวรรค์ จึงได้อาศัยการรวบรวมข่าวสารเกี่ยวกับผู้มาจุติแล้วจึงส่งมือสังหารออกไปซึ่งเป็นวิธีการที่ได้ผลที่สุดเพียงวิธีเดียว
ซึ่งตัวตนที่แท้จริงของสมาชิกแต่ละคนในสมาคมบัวโลหิตนั้นถือเป็นความลับสุดยอด นอกจากประมุขของสมาคมบัวโลหิตแล้ว คนอื่นๆก็แทบจะเป็นคนแปลกหน้ากันเลย ดังนั้นความเสี่ยงที่ตัวตนของสมาชิกสมาคมบัวโลหิตนั้นจึงได้ต่ำมากหากเทียบกับเหล่าสายลับจากขุมกำลังอื่นๆ และการไหลเวียนข่าวสารของพวกเขานั้นจึงเรียกได้ว่าปลอดภัยสุดๆเช่นกัน
เพราะเหตุนี้ถึงแม้ว่าสมาคมบัวโลหิตนั้นจะไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใดๆจากการขายข่าวกรอง แต่ก็ยังถูกจัดให้เป็นหน่วยข่าวกรองอันดับหนึ่งในแผ่นดินว่านหลิง และชายชุดดำนั้นก็ได้รับทราบที่อยู่ของเย่เย่ได้อย่างง่ายดายและแอบย่องเข้าไปหาเย่เย่เพื่อเตรียมตัวสังหารอย่างเงียบๆ
ในขณะที่ชายชุดดำกำลังเข้าไปข้างหลังเย่เย่อย่างเงียบๆและคิดที่จะโจมตีใส่ตัวของเย่เย่อย่างสุดกำลังของเขานั้นเอง เย่เย่ก็พลันรู้สึกได้ถึงวิกฤติล่วงหน้าด้วยลางสังหรณ์ที่เฉียบคมของเขา
ตุบ!
เย่เย่ได้รีบตบพื้นด้วยฝ่ามือจนตัวลอยขึ้นจากพื้นและลอยขึ้นอยู่กลางอากาศ
ตูม!
ในชั่วขณะนั้นเองเย่เย่ก็ได้ลอยขึ้นจากพื้น และพื้นที่เขาอยู่เมื่อสักครู่ก็ได้ถูกชายชุดดำต่อยจนกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ในทันที!
ซู่ๆๆ!
แล้วน้ำในหนองน้ำที่อยู่ใกล้ๆก็ได้ไหลลงมาในหลุมขนาดใหญ่นั้นจนเต็มในชั่วพริบตา ราวกับจู่ๆมีทะเลสาบเล็กๆปรากฏขึ้นมาโดยไม่ทราบที่มา