ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 332 พันธมิตร
บทที่ 332
พันธมิตร
หลังจากที่จงเจิ้งหมิงกล่าวขอโทษทั้งสองคน เย่เย่ก็ได้โบกไม้โบกมือทันที ตัวเขานั้นไม่ได้โทษเสี่ยวอิ๋งหรือเห็นด้วยกับการยกเลิกการประลองยุทธ์กับจงเจิ้งหมิงแต่อย่างใด กลับกันเขาได้จ้องไปที่จงเจิ้งหมิงแล้วกล่าวเสียงดัง “คุณชายเข้าใจผิดแล้ว! ข้าเย่เย่ไม่ได้เสนอการประลองยุทธ์เพื่อรักษาหน้าของตัวเองแต่อย่างใด แต่ต้องการที่จะสู้กับคุณชายจริงๆ! พวกเราจะสู้กันอย่างฉันมิตรไม่สนผลแพ้ชนะ และจะไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างเมืองเสียหยางและเมืองโม่ไห่แต่อย่างใด ว่ายังไงล่ะ?”
เย่เย่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากและดวงตาของเขาก็ได้จับจ้องไปที่จงเจิ้งหมิงด้วยความเคร่งขรึมอย่างสุดๆ
ถึงแม้ว่าตัวเขาเองก็เคยได้ยินชื่อเย่เย่ที่เป็นผู้มาจุติมานานแล้วเช่นกัน ซึ่งความสามารถกับความแข็งแกร่งนั้นทั้งสองอย่างนี้ต่างกัน จงเจิ้งหมิงนั้นไม่คิดว่าเย่เย่นั้นจะเป็นคู่มือของเขาได้ในเวลานี้ แม้ว่าเย่เย่นั้นเป็นถึงผู้มาจุติและมีความลับบางอย่างที่ไม่มีใครล่วงรู้ ซึ่งเรื่องนี้ได้ทำให้จงเจิ้งหมิงนั้นมีความคิดที่จะเล่นกับเขาเสียหน่อย แต่ในท้ายที่สุดจงเจิ้งหมิงก็ได้ส่ายหัวและปฏิเสธคำท้าของเย่เย่
“ในเวลานี้ท่านเจ้าเมืองซ่านกวานกับท่านเย่เย่ได้มาถึงเมืองเสียหยางของเราทั้งที พวกท่านคงจะแบกภาระอันหนักอึ้งเอาไว้บนบ่า มันคงจะเป็นการดีกว่าที่พวกเราจะรีบเข้าเรื่องและหารือกันให้เรียบร้อย ส่วนเรื่องของการประลองยุทธ์นั้นข้าว่าเอาไว้โอกาสหน้าค่อยมาคุยกันดีกว่า!”
ถึงแม้ว่าจงเจิ้งหมิงนั้นจะอยากที่จะสู้กับเย่เย่เหมือนกัน แต่เขาก็ได้ล้มเลิกความคิดนี้ไปทันทีเมื่อเขาคิดถึงวรยุทธ์ของเขาที่รุดหน้ามากกว่าแต่ก่อน จนในเวลานี้วรยุทธ์ของเขานั้นแทบจะเทียบเท่าพ่อของเขาจงเทียนหลินแล้ว จึงได้ล้มเลิกความคิดที่จะสู้ไปทันที
อย่างไรเสียเย่เย่นั้นก็เป็นแขกที่มาเยี่ยมเยียนเมือง เสียหยางของพวกเขา ถ้าหากตัวเขาไม่สามารถยั้งมือเอาไว้ได้ในการประลองแล้วเย่เย่ก็อาจจะบาดเจ็บ แล้วจะส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองโม่ไห่กับเมืองเสียหยางนั้นไม่สามารถรักษาเอาไว้ ดังนั้นเพื่อสถานการณ์โดยรวมแล้วจงเจิ้งหมิงจึงได้ปฏิเสธคำท้าของเย่เย่ไป
เมื่อเห็นสีหน้าที่หนักแน่นของจงเจิ้งหมิงแล้ว เย่เย่ก็ได้มีแววตาผิดหวังปรากฏในดวงตาของเขา แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าที่จงเจิ้งหมิงว่ามานั้นมีเหตุผล จึงได้ไม่คิดที่จะโต้แย้งต่อและผงกหัวให้จงเจิ้งหมิงแสดงให้เห็นว่าเขาเข้าใจแล้ว
ซ่างกวานจ้งจึงได้พลันตัดเข้าเรื่องทันที เขาประกบมือของเขาแล้วกล่าวกับจงเทียนหลินอย่างจริงจัง “ท่านเจ้าเมืองจง ท่านคงจะได้ทราบข่าวมาบ้างแล้วว่าเกาซุ่นที่เป็นศิษย์ก้นกุฏิของสำนักแก้วหลากสีนั้นได้มาถึงละแวกริมชายฝั่งทะเลนี้ ตอนแรกก็คิดว่าไม่น่าจะมีอะไร แต่เพราะเจ้าเมืองหลงเจียงนั้นดูจะสนิทสนมกับเกาซุ่นและพรรคพวกมาก นอกจากนี้สถานการณ์ในเวลานี้ก็ค่อนข้างอ่อนไหวนัก นั่นคือเห็นผลที่ว่าทำไมข้าถึงได้รีบเดินทางมาหาและขอความเห็นจากท่านเจ้าเมืองจงว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี หวังว่าจะไม่เป็นการรบกวนท่านเจ้าเมืองจง!”
น้ำเสียงของซ่านกวานจ้งนั้นจริงจังมาก และสีหน้าของจงเทียนหลินกับจงเจิ้งหมิงเองก็ได้เคร่งเครียดขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้ แม้ว่าซ่างกวานจ้งนั้นจะไม่ได้พูดอะไรออกมาหมด แต่พวกเขาก็พอจะรู้ถึงสถานการณ์คร่าวๆผ่านช่องทางของพวกเขาและพอจะเดาได้ถึงจุดประสงค์ของซ่างกวานจ้งกับเย่เย่ที่มาเยือนเมืองเสียหยางในครั้งนี้ได้
อย่างไรก็ดีเรื่องของความบาดหมางระหว่างเมืองโม่ไห่และหลงเจียงนั้นก็เป็นที่รู้กันไปทั่วทั้งละแวกริมชายฝั่งทะเล ถ้าเกิดว่าเจ้าเมืองหลงเจียงนั้นประจบประแจงกับพวกของเกาซุ่น อย่างที่ว่ามาจริงๆ เมืองโม่ไห่คงได้เผชิญหน้ากับวิกฤติเป็นแน่ และเป็นเรื่องยากที่จะพลิกวิกฤตินี้ด้วยพลังกำลังของเมืองโม่ไห่โดยลำพัง ดังนั้นการจับมือร่วมกันเป็นพันธมิตรกับเมืองโบราณอื่นๆจึงได้เป็นทางเลือกแรกสำหรับเมืองโม่ไห่
และที่ซ่างกวานจ้งกับเย่เย่ได้เดินทางมาที่เมืองเสียหยางนั้นก็เป็นไปได้สูงมากว่าจะมาเสนอการร่วมมือกันเป็นพันธมิตร ซึ่งจงเทียนหลินกับจงเจิ้งหมิงนั้นก็รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไรดีในเวลานี้
“เจ้าเมืองซ่างกวานช่างถ่อมตัวยิ่งนัก เมืองโบราณเสียหยางกับเมืองโม่ไห่นั้นก็เป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันมานาน พวกเราย่อมยินดีต้อนรับแขกพิเศษอย่างพวกท่านอยู่แล้ว อย่าเรียกว่ารบกวนเลย!”
จงเทียนหลินก็ได้ตอบซ่างกวานจ้งอย่างสุภาพ แต่ก็ไม่ได้ใช้โอกาสนี้ไล่ถามจุดประสงค์ที่มาเยือนของซ่างกวานจ้งออกมา แต่กลับส่งสายตาไปหาจงเจิ้นหมิงแทน
จงเจิ้งหมิงก็ได้เข้าใจในสิ่งที่จงเทียนหลินต้องการจะสื่อในทันที แทนที่จงเทียนหลินจะพูดก็เป็นเขาพูดกับซ่างกวานจ้งแทน “ที่ท่านเจ้าเมืองซ่างกวานกล่าวมานั้นถูกต้องแล้ว เพราะเมืองเสียหยางของเราก็ได้ข่าวมาว่าเกาซุ่นกับพรรคพวกได้มาถึงละแวกริมชายฝั่งทะเลแล้วเช่นกัน เห็นว่าจุดประสงค์ที่พวก เกาซุ่นมานั้นดูเหมือนจะเพื่อมาตามหาแก่นภายในของมังกรสองหัว พวกเราอาจจะไม่จำเป็นต้องกังวลมากไป เพราะถ้าหากทำอะไรผลีผลามอาจจะเป็นการทำให้สำนักแก้วหลากสีไม่พอใจได้ และบางทีมันจะกลายเป็นผลร้ายกลับมาแทนก็ได้ เราควรจะรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปก่อนดีกว่า!”
ในขณะที่พวกเขายังตัดสินใจไม่ได้ จงเจิ้งหมิงก็ได้เลือกที่จะยืนเป็นกลางอยู่เฉยๆ ซึ่งหลังจากที่พูดจบจงเทียนหลินก็ได้ผงกหัวเห็นด้วยซึ่งแสดงให้เห็นว่าจงเจิ้งหมิงนั้นมีความคิดเช่นเดียวกัน
ซ่างกวานจ้งก็ได้มีความผิดหวังในดวงตาของเขา แต่เขาก็ยังไม่หมดซึ่งความกล้าจึงได้กล่าวกับจงเทียนหลินกับจงเจิ้งหมิง “หลานเจิ้งหมิงพูดถูกแล้ว! แต่ทว่าถ้าหากสำนักแก้วหลากสีเกิดอยากที่จะเข้าครอบครองละแวกริมชายฝั่งทะเลโดยอาศัยเมืองหลงเจียงขึ้นมา ก็จะสามารถกวาดเอาเมืองโบราณในละแวกนี้ไปอย่างรวดเร็วแน่นอน หากพวกเราไม่เตรียมรับมือเอาไว้ก่อนเมื่อถึงเวลานั้นก็อาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้ ดังนั้นข้าจึงหวังที่จะให้เมืองโม่ไห่ร่วมเป็นพันธมิตรกับเมืองเสียหยาง และช่วยกันตอบโต้ภัยที่จะมาจากภายนอกร่วมกัน!”
ในช่วงสถานการณ์วิกฤติในดินแดนเทียนหนาน สำนักแก้วหลากสีก็น่าที่จะมุ่งเน้นไปกับการจัดการกับภัยที่มาจากสำนักต่างไฟ ถ้าหากพวกเขาคิดที่จะเข้าครอบครองละแวกริมชายฝั่งทะเลจริงๆ พวกเขาก็จะคงจะไม่ลากยาวอย่างแน่นอน ดังนั้นความคิดเห็นของซ่างกวานจ้งเมื่อสักครู่นั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว
เรื่องที่ซ่างกวานจ้งจะเสนอให้เมืองโม่ไห่กับเมืองเสียหยางเป็นพันธมิตรกันนั้นเดิมทีพ่อลูกตระกูลจ้งนั้นก็ได้คาดเอาไว้อยู่แล้ว ดังนั้นจงเทียนหลินกับจงเจิ้งหมิงนั้นจึงไม่ได้มีสีหน้าตกใจอะไรมากนัก เพียงแต่ว่าทั้งสองคนยังไม่สามารถที่จะตอบรับกับข้อเสนอของซ่างกวานจ้งได้ทันที จึงได้แต่ตกอยู่ในห้วงความคิดอยู่สักพักใหญ่ๆ
เมื่อเห็นว่ามีความลังเลใจอยู่ในดวงตาของจงเทียนหลินกับจงเจิ้งหมิงแล้ว เย่เย่จึงได้พูดกับทั้งสองคนต่อ “ท่านเจ้าเมืองจง, ท่านจงเจิ้งหมิงพวกท่านก็น่าจะรู้อยู่แล้วถึงความบาดหมางกันระหว่างเมืองโม่ไห่กับเมืองหลงเจียง ถ้าหากเมืองหลงเจียงเกิดยอมสวามิภักดิ์เข้ากับสำนักแก้วหลากสีและวางแผนที่จะขยายอาณาเขตของสำนักขึ้นมาจริงๆ เมืองโม่ไห่ของเราก็จะเป็นรายแรกของพวกเขาอย่างแน่นอน แต่ทว่าเมืองโม่ไห่อยู่ไม่ไกลจากเมืองเสียหยาง หากจะพูดว่า“หากสิ้นริมฝีปากเสียแล้ว ฟันก็ย่อมเหน็บหนาว”แล้วก็ไม่เกินจริงเลย เพราะถ้าเมืองโม่ไห่ของเราล่มเมื่อไร พวกท่านคิดเหรอว่าสำนักแก้วหลากสีนั้นจะปล่อยเมืองเสียหยางเอาไว้?”
จงเทียนหลินกับจงเจิ้งหมิงนั้นก็ได้หันหน้ามามองกันเองแล้วก็ได้พบซึ่งความลังเลในดวงตาของอีกฝ่าย
เดิมทีเมืองเสียหยางนั้นไม่คิดที่จะตัดสินใจอะไรจนกว่าสถานการณ์จะเด่นชัดขึ้นมา แต่ที่ซ่างกวานจ้งกับเย่เย่กล่าวมานั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ถ้าหากพวกเขาไม่คิดเผื่อในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดเอาไว้ก่อนและรอให้เรื่องร้ายมาถึงก่อนแล้วค่อยรีบไปจัดการแล้ว ต่อให้พวกเขารอดมาได้แต่ก็ยังต้องจ่ายบทเรียนราคาแพงอยู่ดี
ดังนั้นท่าทีของจงเทียนหลินก็ได้เปลี่ยนไปเล็กน้อยจากในตอนแรก แต่ทว่าก็ยังคงระแวดระวังอยู่ดีตัวเขายังคงไม่ได้ตอบซ่างกวานจ้งกลับไปทันที หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง จงเทียนหลินก็ได้กล่าวกับซ่างกวานจ้งกับเย่เย่อย่างจริงจัง “ทั้งสองคน พวกเรารับรู้ได้ถึงความจริงใจและความตั้งใจของเมือง โม่ไห่แล้ว แต่ทว่าการเป็นพันธมิตรนั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก ข้าจึงหวังว่าเมืองโม่ไห่นั้นจะให้เวลาพวกเราคิดสักหน่อยก่อน ภายใน 5 วันไม่ว่าเมืองเสียหยางของเราจะเห็นด้วยกับการร่วมเป็นพันธมิตรกับเมืองโม่ไห่หรือไม่ ข้าจงเทียนหลินก็จะให้คำตอบที่ชัดเจนกับเจ้าเมืองซ่างกวานอย่างแน่นอน!”
คำพูดของจงเทียนหลินนั้นจริงใจอย่างมาก ซึ่ง ซ่างกวานจ้งกับเย่เย่นั้นก็ไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้อีกหลังจากที่ได้ยินเช่นนี้
ถึงแม้ว่าจะมีความรู้สึกผิดบนใบหน้าของพวกเขา แต่ก็ยังมีความหวังที่จะได้ร่วมเป็นพันธมิตรปรากฏอยู่ในดวงตา ซ่างกวานจ้งจึงได้นำลุกขึ้นยืนแล้วคารวะให้จงเทียนหลินกับจงเจิ้งหมิงแล้วกล่าว “ถ้าเช่นนั้นแล้ว พวกเราก็จะไม่รบกวนพวกท่านอีก ภายใน 5 วันนี้พวกเราจะรอคอยข่าวดีจากท่านเจ้าเมืองจง!”
เย่เย่ก็ได้ลุกขึ้นตามซ่างกวานจ้ง แล้วคารวะให้ทั้งสองคนแล้วเตรียมที่จะจากไป
“ท่านเจ้าเมืองซ่างกวานได้โปรดวางใจ ไม่ว่าสุดท้ายผลที่ออกมาจะเป็นเช่นไร แต่มิตรภาพระหว่างเมืองเสียหยางกับเมืองโม่ไห่จะไม่มีวันเปลี่ยนอย่างแน่นอน! โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์เช่นนี้พวกเราก็ควรที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน!”
จงเทียนหลินเองก็ได้นำจงเจิ้งหมิงกับเสี่ยวอิ๋งลุกขึ้นยืนคารวะซ่างกวานจ้งกับเย่เย่แล้วกล่าวบางอย่างกับพวกเขาอย่างจริงจัง
หลังจากที่ซ่างกวานจ้งได้ยินที่จงเทียนหลินพูดคำส่งท้ายแล้ว ก็ได้มีความยินดีปรากฏขึ้นมาในดวงตาของเขา แต่เขาก็ไม่ได้รีบถามอีกฝ่ายไปทันที กลับกันหลังจากที่ผงกหัวเขาก็ได้พาเย่เย่ออกไปจากจวนทันที
หลังจากที่เย่เย่กับซ่างกวานจ้งจากไป จงเจิ้งหมิงก็ดูเหมือนจะเดาถึงจุดประสงค์ของจงเทียนหลินได้และถามออกไปอย่างใจเย็น “ท่านพ่อ ท่านคิดที่จะเป็นพันธมิตรกับเมืองโม่ไห่อย่างนั้นเหรอ?”
จงเทียนหลินก็ได้หันกลับมาหาหลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ แต่ก็ถอนหายใจแล้วมองไปยังทางที่ทั้งสองจากไป และตอบออกมาอย่างจนปัญญา “ถ้าหากยังคิดหาหนทางที่ดีกว่าไม่ได้ภายใน 5 วัน นั่นคงเป็นหนทางเดียว”
ในขณะที่เมืองโบราณโม่ไห่กำลังพยายามที่จะเป็นพันธมิตรกับเมืองเสียหยางอยู่นั้น, เกาซุ่นกับพรรคพวกก็ได้มารวมตัวกันที่ห้องโถงใหญ่ในจวนเจ้าเมืองหลงเจียงเพื่อหารือกันเป็นความลับ เพียงแต่ว่าเนื้อหาที่พวกเขาหารือกันนั้นไม่ใช่เรื่องของการก่อตั้งเป็นพันธมิตรกับเมืองไหน แต่เป็นคิดหาวิธีการรวบรวมทั่วทั้งริมชายฝั่งทะเลให้กลายเป็นหนึ่งเดียวอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
“คุณชายถ้าหากความโกลาหลในดินแดนเทียนหนานเกิดปะทุขึ้นมาในวันนี้ ถ้าหากสำนักแก้วหลากสีอยากที่จะเข้าครอบครองละแวกริมชายฝั่งทะเลแล้ว หนทางที่ดีที่สุดก็ควรที่จะเข้าควบคุมเมืองโบราณในละแวกนี้ทั้งหมดให้ได้โดยไว หากว่าลากยาวออกไปแล้วก็จะถูกต่อต้านโดยกองกำลังอื่นๆในดินแดนเทียนหนานได้ อีกเหตุผลหนึ่งคือถึงแม้ว่ามังกรสองหัวที่อยู่ในละแวกนี้จะโดนสังหารไปแล้วก็ตามที แต่อย่างไรเสียมังกรสองหัวนั้นก็ได้เคลื่อนไหวอยู่ในละแวกนี้เป็นระยะเวลายาวนานแล้ว และเมืองโม่ไห่ก็เป็นเมืองโบราณที่อยู่ติดกับชายฝั่งทะเลมากที่สุด พวกเราควรที่จะเข้ายึดครองเมืองโม่ไห่ก่อน บางทีพวกเราอาจจะได้เงื่อนงำเกี่ยวกับมังกรสองหัวที่ถูกสังหารก็ได้!”
สิงเทียนหมิงนั้นก็ได้เผยความเกลียดชังของเขาที่มีต่อเมืองโม่ไห่ออกมาโดยไม่ปิดบัง ทันทีเขาเปิดปากขึ้นมาเขาก็ได้เสนอเกาซุ่นให้เพ่งเล็งเมืองโม่ไห่ก่อนทันทีด้วยท่าทีที่ชัดเจนมาก
เขารู้ตัวดีว่าเหตุผลของเขานั้นออกดูไม่น่าเชื่อไปสักหน่อย แต่นับตั้งแต่เมืองหลงเจียงยอมสวามิภักดิ์ให้กับสำนักแก้วหลากสีมา ถ้าหากสำนักแก้วหลากสีไม่ทำอะไรที่เป็นการเอาชนะใจเมืองหลงเจียงแล้ว สิงเทียนหมิงก็คงไม่ยอมทำอะไรแน่
แม้ว่าเบื้องหน้านั้นเขาจะคิดถึงแผนการของเกาซุ่นแต่จริงๆแล้วสิงเทียนหมิงแค่ต้องการจะขอความช่วยเหลือจาก เกาซุ่นต่างหาก และหวังที่จะใช้พลังของสำนักแก้วหลากสีในการสะสางความแค้นระหว่างเมืองหลงเจียงกับเมืองโม่ไห่
หลังจากที่ได้ยินที่สิงเทียนหมิงกล่าวแล้ว เกาซุ่นกับพรรคพวกก็ไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจอะไร แต่ก็ได้ครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ของเรื่องนี้อย่างจริงจัง
แน่นอนว่าพวกเขานั้นรู้ดีถึงความเห็นแก่ตัวของ สิงเทียนหมิงดี แต่พวกเขาก็ต้องยอมรับว่าคำพูดของเขานั้นมีน้ำหนักอยู่ เกาซุ่นก็ได้ไม่ลังเลที่จะพลิกแผ่นดินละแวกริมชายฝั่งทะเลเพื่อหาร่องรอยของแก่นภายในของมังกรสองหัวเช่นกัน ดังนั้นขอเพียงแค่มีความเป็นไปได้แล้วก็คุ้มค่าที่เขาจะลองดู
นอกจากนี้ระยะห่างระหว่างเมืองโม่ไห่กับหลงเจียงนั้นก็ใกล้กันมา ถ้าหากเมืองหลงเจียงต้องการที่จะเข้ายึดครองละแวกริมชายฝั่งทะเลแล้ว จากสภาพภูมิประเทศแล้วก็พูดได้ว่าควรที่จะเข้ายึดครองเมืองโม่ไห่ก่อน ยิ่งไปกว่านั้นความรู้สึกของเกาซุ่นที่มีต่อเมืองโม่ไห่นั้นก็ไม่ดีมากด้วย โดยเฉพาะหลังจากที่เขาเสียพนันให้กับเย่เย่ด้วยแล้ว เกาซุ่นก็ไม่ยอมที่จะปล่อยให้เย่เย่นั้นมีเวลาได้เติบโตไปมากกว่านี้