ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 331 เมืองโบราณเสียหยาง
บทที่ 331
เมืองโบราณเสียหยาง
ระยะทางระหว่างเมืองเสียหยางกับเมืองโม่ไห่นั้นใกล้กว่าระยะทางระหว่างเมืองโม่ไห่กับเมืองหลงเจียงมากนัก ถึงแม้ว่าเมืองโม่ไห่นั้นกับเมืองหลงเจียงนั้นมีความชิงชังต่อกันมายาวนาน แต่พวกเขาก็ได้รักษาความเป็นมิตรกับเมืองเสียหยางมาโดยตลอด
ด้วยเหตุผลหนึ่งคือความแข็งแกร่งของเมืองเสียหยางนั้นก็เรียกได้ว่าแข็งแกร่งเทียบได้กับบรรดาขุมกำลังใหญ่ๆในละแวกริมชายฝั่งทะเลนี้ ซึ่งทั้งเมืองโม่ไห่หรือเมืองหลงเจียงนั้นไม่อาจเทียบได้เลย และอีกเหตุผลหนึ่งคือเมืองเสียหยางนั้นเป็นเมืองที่คับคั่งเรื่องการค้าขายและยังรักษาความสัมพันธ์กับขุมอำนาจใหญ่ๆในละแวกนี้อีกด้วย
ดังนั้นในตอนที่จงเทียนหลินเจ้าเมืองเสียหยางได้ทราบว่าซ่างกวานจ้งกับเย่เย่นั้นจะมาหา ตัวเขาก็ได้รีบออกมาที่หน้าประตูจวนเจ้าเมืองเพื่อมาต้อนรับด้วยตัวเองอย่างอบอุ่น
จงเทียนหลินเป็นชายสูงอายุหนวดขาวและมีสีหน้าที่เป็นมิตร ตัวเขานั้นไม่ได้มีความดุดันใดๆและออกจะดูน่าคบหาเสียด้วยซ้ำ แต่ทว่าหากมีใครไปดูแคลนเขาแล้วก็จะต้องจ่ายค่าบทเรียนที่หนักหน่วงเลยทีเดียว
เพราะจองเทียนหลินนั้นได้บรรลุมาถึงระดับสูงสุดราชันย์เทพมาเป็นเวลานานที่สุดในบรรดาเจ้าเมืองใหญ่ๆในละแวกริมชายฝั่งทะเลนี้ อีกทั้งยังล้ำลึกสุดหยั่งถึง ทุกคนจึงพากันคิดว่าถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะตัวเขาอายุมากแล้ว บางทีอาจจะบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพแล้วเข้ายึดครองละแวกนี้ไปนานแล้ว
ซ่างกวานจ้งนั้นได้เคยแนะนำเย่เย่อย่างคร่าวๆให้จงเทียนหลินฟังมาบ้างแล้ว ดังนั้นทันทีที่ทั้งคู่มาถึงจวนเจ้าเมือง เย่เย่ก็ได้ถือโอกาสยืนคารวะจงเทียนหลินก่อน “ข้าคือเย่เย่รองเจ้าเมืองโม่ไห่ยินดีที่ได้พบกับท่านจงเทียนหลิน! ตัวข้านั้นได้ยินชื่อเสียงของท่านมาแล้ว เย่เย่ขอนับถือยิ่งนัก!”
ถึงแม้ว่าตัวเย่เย่นั้นจะไม่ได้เกรงกลัวความแข็งแกร่งของจงเทียนหลินมากนัก แต่ตั้งแต่ที่ซ่างกวานจ้งกับเย่เย่ได้เข้ามาในเมืองเสียหยาง ทั้งคู่ก็ต้องตกตะลึงกับความคึกคักในเมืองเสียหยาง และชื่นชมในความสามารถของจงเทียนหลิน นอกจากนี้ จงเทียนหลินก็ไม่ได้แผ่บรรยากาศกดดันพวกเขาและยังน่าคบหาตลอดเวลาอีกด้วย ซึ่งได้ทำให้เย่เย่นั้นรู้สึกนับถือเขามากยิ่งขึ้นไปอีก
ดังนั้นคำพูดชื่นชมของเย่เย่นั้นจึงออกมาจากใจจริงไม่ใช่ตามมารยาทแต่อย่างใด ซึ่งได้ทำให้จงเทียนหลินนั้นรู้สึกชื่นชอบเย่เย่ขึ้นมาเช่นกัน
“ฮ่าๆๆ ท่านซ่างกวานจ้งได้ผู้ช่วยที่ดีเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของอนาคตของเมืองโม่ไห่แล้ว จากแต่เดิมลูกชายของข้าจงเจิ้งหมิงที่ถูกเรียกว่าเป็นอันดับหนึ่งของรุ่นเยาว์ในละแวกริมชายฝั่งทะเลนี้ ดูเหมือนว่าตำแหน่งนี้คงจะได้ถูกเปลี่ยนมือในไม่ช้านี้แล้ว!”
จงเทียนหลินก็ได้ผงกหัวให้เย่เย่อย่างพึงพอใจ แล้วในขณะที่บอกให้เย่เย่นั่งลง จงเทียนหลินก็ได้กล่าวกับ ซ่างกวานจ้งที่อยู่ใกล้ๆด้วยความอิจฉา
ซ่างกวานจ้งก็ได้ยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวตอบจงเทียนหลินกลับไปอย่างถ่อมตัว “ท่านจงเทียนหลินก็ถ่อมตัวเกินไป! ความแข็งแกร่งของหลานเจิ้งหมิงนั้นเป็นที่รู้กันไปทั่วอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะมีความสามารถที่ไร้ขีดจำกัดแต่ก็ยังต้องใช้เวลาอีกเยอะกว่าจะก้าวข้ามหลานเจิ้งหมิงไปได้!”
ถึงแม้ว่าจะฟังดูเหมือนพูดถ่อมตัว แต่ซ่างกวานจ้งเองก็คิดว่าในไม่ช้าหรือเร็วเย่เย่นั้นคงจะเหนือกว่าจงเจิ้งหมิงเป็นแน่ ทำให้ซ่างกวานจ้งอดไม่ได้ที่จะมีความภาคภูมิใจปรากฏในใบหน้าของเขา
อย่างไรเสียความสามารถที่สุดยอดของผู้มาจุตินั้นก็เป็นที่รู้กันไปทั่วทั้งแผ่นดินว่านหลิงอยู่แล้ว ถ้าหากว่าสุดท้ายแล้วความสำเร็จของเย่เย่นั้นสู้จงเจิ้งหมิงไม่ได้ ก็แสดงว่าเย่เย่นั้นไม่ใช้ผู้มาจุติจริงๆหรือไม่ก็จงเจิ้งหมิงนั้นมีความสามารถที่มหาศาลมากจนเทียบเคียงกับผู้มาจุติได้
แต่ทว่าเรื่องที่เย่เย่เป็นผู้มาจุตินั้นก็ได้พิสูจน์กันมานานแล้ว และความเป็นไปได้ที่จงเจิ้งหมิงจะเติบโตไปมากกว่านี้ก็น้อยมากด้วย ดังนั้นคำพูดถ่อมตัวของซ่างกวานจ้งนั้นจึงเป็นแค่การรักษาหน้าของจงเทียนหลินเท่านั้น แต่จริงๆแล้วตัวเขานั้นเห็นด้วยกับความเห็นของจงเทียนหลินเมื่อสักครู่
ก่อนที่เย่เย่จะได้พูดอะไร หญิงสาวที่ติดตามจงเทียนหลินออกมาต้อนรับทั้งคู่นั้นกลับมีสีหน้าที่ไม่ยินดี ดูเหมือนว่าเธอนั้นจะไม่พอใจกับท่าทีของซ่างกวานจ้งเมื่อสักครู่และกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคือง “วรยุทธ์ของท่านพี่นั้นอยู่ในระดับสูงสุดของราชันย์เทพมาตั้งแต่ 2 ปีก่อนแล้ว แม้แต่ผู้สังหารสวรรค์ก็ยังไม่กล้ามาท้าสู้กับท่านพี่เลย ใครแข็งแกร่งกว่าใครอ่อนแอกว่ามันก็เห็นกันชัดๆอยู่แล้ว หรือว่าจะแย้งว่าไม่ใช่?”
หญิงสาวนั้นดูแล้วน่าจะอายุเพียง 17-18 มีรูปโฉมที่งดงามและบริสุทธิ์ผุดผ่องอีกทั้งยังมีบรรยากาศของความเป็นคุณหนูออกมาจากทั่วทั้งตัวของเธอ แต่คิ้วของเธอนั้นมีความเย่อหยิ่งปรากฏออกมาเป็นครั้งคราว และยังมีความขี้เล่นอยู่ในดวงตาที่สดใสของเธอด้วย
หลังจากที่หญิงสาวคนนั้นพูดเช่นนี้ออกมาซ่างกวานจ้งก็ได้มีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาและไม่รู้ว่าจะโต้แย้งเช่นไร
จงเทียนหลินก็ได้พลันคิ้วขมวดและจ้องไปที่หญิงสาวคนนั้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “อิ๋งเอ๋ออย่าเสียมารยาท! ขอโทษท่านเจ้าเมืองซ่างกวานเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะถูกลงโทษ 3 วัน!”
เมื่อหญิงสาวที่ชื่อเสี่ยวอิ๋งเห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดของ จงเทียนหลินแล้ว เธอก็รู้ตัวทันทีว่าได้พูดไม่ดีออกไป จึงได้รีบไปถอนสายบัวต่อหน้าซ่างกวานจ้งและขอขมาเขาอย่างสุภาพ “เมื่อสักครู่ข้าได้ล่วงเกินท่านไปแล้ว ได้โปรดให้อภัยด้วย!”
“ฮ่าๆ ก็แค่พูดเล่นนิดหน่อยเท่านั้นข้าไม่ถือสาหรอก! สาวน้อยลุกขึ้นเถิดลุกขึ้น!”
ซ่างกวานจ้งก็ได้รีบไปประคองเสี่ยวอิ๋งให้ลุกขึ้นมา แสดงถึงความใจกว้างในฐานะเจ้าเมือง
เย่เย่ก็ได้จ้องไปที่เสี่ยงอิ๋งอย่างสงสัย และแอบสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้มั่นใจในตัวของจงเจิ้งหมิงนัก
จริงๆแล้วหลังจากที่เขาได้ทานยาแก่นแท้และยามขี่มังกรเข้าไปเพื่อวิชานั้น วรยุทธ์ของเย่เย่ในเวลานี้ก็ได้เข้าใกล้ระดับสูงสุดราชันย์เทพแล้ว และเพราะการเพิ่มพูนวรยุทธ์อย่างต่อเนื่องนี้ทำให้สิ่งที่เย่เย่ต้องการมากที่สุดในเวลานี้ไม่ใช่การเพิ่มพูน วรยุทธ์หรือการเร่งฝึกวิชาฟ้าทะเลกำเนิดน้ำให้สำเร็จแต่อย่างใด กลับกันเขาอยากที่จะได้คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเทียบเคียงกับเขาเพื่อสั่งสมประสบการณ์และทำให้พลังยุทธ์ของเขาเข้าที่เข้าทางไวขึ้น
ก่อนที่จะมาที่เมืองเสียหยางนั้น เย่เย่ก็ได้ยินมาว่า จงเจิ้งหมิงนั้นเป็นนายน้อยของเมืองเสียหยางและมีวรยุทธ์อยู่ในระดับสูงสุดราชันย์เทพ และยังเป็นอันดับหนึ่งของเหล่ายอดฝีมือรุ่นเยาว์ในละแวกริมชายฝั่งทะเลด้วย ซึ่งการที่เย่เย่ได้ตามซ่างกวานจ้งมาที่เมืองเสียหยางนั้น นอกจากจะมาเจรจาขอร่วมเป็นพันธมิตรกับเมืองโม่ไห่แล้วตัวเขาก็ยังต้องการที่จะประลองยุทธ์กับจงเจิ้งหมิงด้วย
ไม่ว่าผลที่ออกมาจะเป็นเช่นไรเย่เย่นั้นก็มั่นใจมากว่าจะสามารถทำให้วรยุทธ์ของเขานั้นเข้าที่เข้าทางได้อย่างรวดเร็วแน่ ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยเขาทุ่นเวลาได้อย่างมากหากเทียบกับวิธีการค่อยๆบีบอัดพลังยุทธ์ของตัวเองอย่างช้าๆ
ตอนแรกเย่เย่นั้นตั้งใจที่จะเสนอเรื่องของการประลองยุทธ์หลังจากที่หารือเรื่องของการเป็นพันธมิตรกันเสร็จ แต่ในเมื่อจงเทียนหลินได้เอาตัวเขาไปเทียบกับจิงเจิ้งหมิงแล้วเย่เย่จึงได้คิดที่จะบอกความต้องการของเขาออกไปทันที
“แม่นางคงจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของท่านจงเจิ้งหมิงสินะ? จากท่าทางของแม่นางเมื่อสักครู่แล้วดูท่าทางแม่นางจะดูมั่นใจในตัวของลูกพี่ลูกน้องของแม่นางมาก ถึงแม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ข้ามาที่เมืองเสียหยางแต่ก็ได้ยินชื่อเสียงของท่านจงเจิ้งหมิงมานานแล้ว ถ้าหากเป็นไปได้ข้าก็อยากให้แม่นางช่วยแนะนำเขาให้ข้าหน่อยได้ไหมเพื่อที่ข้าจะได้ประลองยุทธ์กับท่านจงเจิ้งหมิง”
ทันทีที่เย่เย่พูดเช่นนี้ออกมาในห้องนั้นก็ได้พากันเงียบกริบทันที ซึ่งไม่ใช่แค่เสี่ยวอิงที่ตกใจกับข้อเสนอนี้ของเย่เย่ แม้แต่จงเทียนหมิงกับซ่างกวานจ้งก็ยังต้องตกใจไปด้วย
แต่เย่เย่นั้นไม่ได้คิดที่จะเปลี่ยนคำพูดของเขา หลังจากที่กล่าวจบก็ได้จับจ้องไปที่เสี่ยวอิ๋งราวกับว่าตัวเขาต้องการที่จะได้รับคำตอบมาจากนางในทันที
ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมตัวเขาถึงได้ไม่ถามจงเทียนหลินแต่กลับไปแสดงความต้องการกับเสี่ยวอิ๋งแทนนั้น เพราะว่าตัวเขานั้นไม่ต้องการที่จะให้จงเทียนหลินเข้าใจผิด อย่างไรเสียตัวเขา, เสี่ยวอิ๋ง และจงเจิ้งหมิงนั้นต่างก็เป็นคนรุ่นหนุ่มสาวกันทั้งนั้น จะเป็นเรื่องปกติที่ตัวเขาย่อมอยากที่จะแสดงความรู้จักและประลองยุทธ์กัน ซึ่งถ้าหากเย่เย่นั้นไปเสนอกับจงเทียนหลินตรงๆ แน่นอนว่ามันจะกลับตาลปัตรทันทีและมันจะเหมือนกับว่ากำลังล่วงเกินเมืองเสียหยางจนเป็นผลให้การหารือกันในครั้งนี้ล้มเหลวได้
แต่ทว่าเสี่ยวอิ๋งกลับไม่ได้คิดมากถึงขนาดนั้น เธอคิดว่าที่เย่เย่เสนอเช่นนั้นออกมาก็เพราะว่าตัวเขานั้นไม่เห็นด้วยกับที่เธอกล่าวเมื่อสักครู่เป็นแน่
เสี่ยวอิ๋งผู้ที่เหมือนมีหน้าที่คอยรักษาชื่อเสียงของลูกพี่ลูกน้องของเธออยู่ตลอดนั้น แน่นอนว่าไม่คิดที่จะถอยต่อหน้าเย่เย่แน่ ซึ่งก่อนที่จงเทียนหลินกับซ่างกวานจ้งนั้นจะได้แสดงความคิดเห็นของตัวเองออกไป ซึ่งก่อนที่จงเทียนหลินกับ ซ่างกวานจ้งนั้นจะได้เสนอความคิดเห็นออกมา เสี่ยวอิ๋งก็ได้เป็นตัวแทนของจงเจิ้งหมิงกล่าวกับเย่เย่ “ก็ได้มาสู้กัน! ถ้าหากเจ้าแพ้ให้กับท่านพี่ ก็อย่าหาว่าเมืองเสียหยางรังแกแขกก็แล้วกัน!”
ในขณะที่เสี่ยวอิ๋งตอบตกลงเย่เย่ไปนั้น ก็ได้มีสายตาที่คาดหวังปรากฏในดวงตาของเธอราวกับว่าตัวเธอต้องการที่จะเห็นเย่เย่นั้นถูกจงเจิ้งหมิงอัด เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วจงเทียนหลินก็ได้แต่ส่ายหัวและสงสัยว่าตัวเขาควรที่จะเข้าไปยุ่งกับการต่อสู้ของพวกเด็กๆดีหรือไม่
แล้วในขณะนั้นเองชายหนุ่มที่ดูภูมิฐานก็ได้พลันเข้ามาในห้อง แม้ว่าเขาจะดูสูงแต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความคุกคามเลย ตัวเขานั้นมีรอยยิ้มอันอบอุ่นอยู่บนใบหน้าราวกับเป็นชายหนุ่มที่ถ่อมตัว
“อิ๋งเอ๋อทำไมเจ้าถึงได้ตัดสินใจแทนข้าโดยพลการอีกแล้ว? ดูเหมือนว่าบทเรียนที่ข้าให้เจ้าไปวันก่อนจะคงไม่เพียงพอ หรือไม่ก็เป็นพวกความจำสั้นลืมไปหมดแล้ว!”
ชายหนุ่มคนนั้นคือจงเจิ้งหมิงนายน้อยของเมืองเสียหยางนั่นเอง ในขณะที่เขากำลังเดินมาถึงประตูนี้เขาก็ได้ยินที่เสี่ยวอิ๋งตกลงรับคำท้าของเย่เย่เข้าพอดี จึงได้รีบเดินเข้ามาในห้องเพื่อหยุดยั้งเรื่องนี้
“ข้าต้องขอโทษจริงๆ! ลูกพี่ลูกน้องของข้าหุนหันพลันแล่นเกินไปหน่อย ข้าหวังให้ท่านเจ้าเมืองซ่างกวานกับเย่เย่อย่าได้ถือสา! แล้วเรื่องที่นางตอบตกลงที่จะประลองยุทธ์เมื่อสักครู่ขอให้คิดซะว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขอต้องขออภัยท่านทั้งสองแทนลูกพี่ลูกน้องของข้าด้วย!”
หลังจากที่จงเจิ้งหมิงเดินเข้ามาในห้อง เขาก็ได้จ้องไปที่เสี่ยวอิ๋งก่อนใครแล้วจากนั้นก็เดินไปข้างๆเสี่ยวอิ๋งและกล่าวขอโทษซ่างกวานจ้งกับเย่เย่ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขออภัย
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำไมเย่เย่ถึงได้เสนอประลองยุทธ์ แต่เพราะจงเจิ้งหมิงนั้นรู้ถึงนิสัยของเสี่ยวอิ๋งดี จึงได้คิดว่าเป็นเพราะคำพูดของเสี่ยงอิ๋งที่ไปทำให้เย่เย่โมโหเข้า เขาจึงได้ไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องขอท้าประลองยุทธ์เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของเขา
เช่นเดียวกันกับเสี่ยวอิ๋ง จงเจิ้งหมิงนั้นไม่คิดว่าด้วยสภาพของเย่เย่ในเวลานี้ยังไม่ใช่คู่ต้อสู้ของเขา หากว่าได้สู้กันขึ้นมาจริงๆเย่เย่คงจะต้องอับอายมากแน่ เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เมืองเสียหยางกับเมืองโม่ไห่นั้นร้าวฉานกัน จงเจิ้งหมิงจึงได้รีบปฏิเสธการประลองและอาศัยโอกาสนี้โทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง ซึ่งได้ทำให้เย่เย่นั้นรู้สึกชอบพอกับคนคนนี้มากขึ้น
มีความรู้สึกเสียใจปรากฏในดวงตาของเธอและยืนแก้มป่องอยู่เงียบๆ ถึงแม้ว่าเธอจะดูกระโดกกระเดกไปบ้างแต่ก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เธอจึงได้พลันสงบสติอารมณ์และปล่อยให้ที่เหลือให้จงเจิ้งหมิงเป็นคนจัดการ
และถึงแม้ตอนแรกจงเจิ้งหมิงนั้นจะดุเสี่ยวอิ๋ง แต่หลังจากนั้นตัวเขาก็ไม่ได้ดุเธอมากนัก ในขณะที่เขาขอโทษซ่างกวานจ้งกับเย่เย่แทนเสี่ยวอิ๋งแล้ว จงเจิ้งหมิงก็ดูเป็นห่วงเป็นใยเสี่ยวอิ๋งอย่างชัดเจนมาก แทบจะเรียกได้ว่าโอ๋เลยทีเดียว
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วเย่เย่ก็เข้าใจได้ว่าทำไมท่าทางของเสี่ยวอิ๋งถึงได้ดูต่างไปจากเหล่าตระกูลที่เข้มงวดทั้งหลาย เพราะว่าเธอนั้นเป็นที่รักและเอาใจของพ่อลูกคู่นี้นี่เอง
แต่ทว่าจงเจิ้งหมิงกับเสี่ยวอิ๋งนั้นดูเหมือนจะเข้าใจความต้องการของเย่เย่ผิดไปสักหน่อย