ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 327 ตอบโต้
บทที่ 327
ตอบโต้
เกาซุ่นได้พูดอย่างชัดเจนเลยว่าตัวเขานั้นไม่เชื่อและสงสัยในตัวตนของเย่เย่
เหล่ายอดฝีมือจากสำนักแก้วหลากสีและ สิงเทียนหมิงต่างก็มองมาที่เย่เย่ด้วยสีหน้าขบขัน โดยไม่สนใจ เย่เย่ที่เป็นถึงรองเจ้าเมืองโม่ไห่เลย
ใบหน้าของซ่างกวานจ้งนั้นก็ได้ดำเขียวด้วยความโมโห แต่ก่อนที่เย่เย่จะตอบคำถาม ซ่างกวานจ้งก็ได้เดินออกมาข้างหน้าแล้วพูดกับเกาซุ่น “มันจะมากเกินไปแล้วนะคุณชายเกาซุ่น! ถึงแม้ท่านเป็นถึงศิษย์ก้นกุฏิของสำนักแก้วหลากสี แต่ท่านก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาดูหมิ่นรองเจ้าเมืองของโม่ไห่ของเรา ต่อให้ท่านไม่เชื่อในสิ่งที่เย่เย่พูด แต่ก่อนที่ท่านจะแสดงหลักฐานว่าเขาพูดโกหก ข้าขอให้คุณชายเกาชุนช่วยพูดอย่างระวังด้วย
ไม่ใช่แค่เพียงซ่างกวานจ้ง แต่เหล่าบุคคลระดับสูงของเมืองโม่ไห่ที่อยู่ในห้องโถงนั้นต่างก็มีบรรยากาศแบบเดียวกัน
อย่างไรก็ดีที่เมืองโม่ไห่นั้นได้ให้สัญญาว่าจะช่วยเกาซุ่นนั้นก็เพื่อเป็นการรักษาหน้าสำนักแก้วหลากสี แต่อีกฝ่ายนั้นไม่เพียงแต่จะรู้สึกขอบคุณแล้ว แต่ยังพูดเย้ยหยันเย่เย่ที่อธิบายข่าวให้เขาฟังอีก ทำให้หลิ่วซื่อหมิงกับซ่างกวานอวี่นั้นได้เต็มไปด้วยขุ่นเคืองขึ้นมาทันที
“ซ่างกวานจ้ง ท่าทีของเจ้ามันอะไรกัน? คุณชายเกาซุ่นนั้นเป็นถึงศิษย์ก้นกุฏิของสำนักแก้วหลากสีเลยนะ เจ้าทำเช่นนี้คิดที่จะรนหาที่ตายรึยังไง?”
สิงเทียนหมิงที่รอเวลาที่ทั้งสองฝ่ายแตกหักกันอยู่นั้น เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ก็ได้รีบลุกขึ้นยืนและเริ่มสุมไฟทันที ราวกับต้องการช่วยเกาซุ่นกดดันเจ้าเมืองโม่ไห่และพรรคพวกต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง
“สิงเทียนหมิง ที่นี่คือเมืองโม่ไห่ ไม่มีที่ให้เจ้ามาออกความเห็นอะไรทั้งนั้น! เจ้าไม่ควรมายุ่งเรื่องของเมืองโม่ไห่เรากับคุณชายเกาซุ่นจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่อาจรับรองได้ว่าเจ้าจะออกไปจากจวนเจ้าเมืองแห่งนี้ได้อย่างปลอดภัย!”
ถึงแม้ว่าซ่างกวานจ้งนั้นจะกลัวเกาซุ่นและสำนักแก้วหลากสีที่อยู่เบื้องหลังของเขาก็ตามที แต่เขาก็ไม่ปล่อยให้ สิงเทียนหมิงได้หน้าเด็ดขาด และในวันนี้ถ้าหากไม่ใช่เพราะการยั่วยุของสิงเทียนหมิงแล้ว เกาซุ่นกับพรรคพวกก็คงไม่มาที่เมืองโม่ไห่เร็วเช่นนี้โดยไม่มีเวลาให้พวกเขาได้เตรียมตัว ดังนั้นต่อหน้าของการยั่วยุของสิงเทียนหมิงแล้ว ซ่างกวานจ้งก็ได้ตอบโต้กลับไปทันทีโดยไม่แสดงถึงความอ่อนแอใดๆให้เห็น
“นี่เจ้า! คุณชายเกาซุ่น ในวันนี้ข้าอุตส่าห์พาคุณชายมาที่เมืองโม่ไห่เพื่อมาทำธุระแท้ๆ แต่ไม่นึกเลยว่าซ่างกวานจ้งจะเมินข้าถึงเพียงนี้ ในเวลานี้ถ้าหากเจ้าดูหมิ่นข้าก็เท่ากับดูหมิ่นคุณชายเกาซุ่นและยังหมายถึงดูหมิ่นสำนักแก้วหลากสีด้วย ขอได้โปรดให้คุณชายจัดการลงมือโดยทันทีเพื่อไม่ให้สำนักแก้วหลากสีนั้นต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงในย่านริมชายฝั่งทะเลนี้!”
สิงเทียนหมิงที่โกรธจนหน้าเขียวเพราะคำพูดตอบโต้ของซ่างกวานจ้งนั้น ก็ได้รีบหันหลังกลับและคารวะให้เกาซุ่นแล้วกล่าวขอร้องอย่างจริงจัง
บรรยากาศในห้องโถงนั้นก็ได้หนักอึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ ศึกระหว่างทั้งสองฝั่งนั้นดูเหมือนจวนจะปะทุออกมาแล้ว
ถึงแม้ว่าซ่างกวานจ้งนั้นจะกลัวอิทธิพลของสำนักแก้วหลากสีก็ตามที แต่เขาก็รู้ดีว่าการยอมถอยให้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้านั้นไม่เพียงแต่จะหยุดอีกฝ่ายไม่ได้แล้ว แต่ยังทำให้เกาซุ่นกับพรรคพวกนั้นกำเริบเสิบสานมากขึ้นไปอีก นอกจากนี้เย่เย่นั้นก็เป็นตัวตนที่จำเป็นสำหรับเมืองโม่ไห่ของพวกเขา ดังนั้นจึงไม่ได้ไร้ค่าเสียที่เดียวที่จะสู้กับสำนักหลากสีเพื่อปกป้องเย่เย่
ดังนั้นหลังจากที่สิงเทียนหมิงได้ร้องขอเกาซุ่นแล้ว ซ่างกวานจ้งก็ได้พลันเงยหน้าขึ้นมาแล้วจ้องไปที่เกาซุ่น, สิงเทียนหมิงและคนอื่นๆด้วยสายตาที่เย็นยะเยือก เหมือนกับว่าพวกเขายินดีที่จะต่อสู้แทนที่จะปล่อยรอให้พวกเขาเชือด
“ท่านเจ้าเมือง…..”
เย่เย่ที่เห็นว่าซ่างกวานจ้งนั้นมีสีหน้าที่แน่วแน่และความกลัวก็ได้ค่อยๆหายไปจากใบหน้าของเขา ราวกับพร้อมที่จะฉีกหน้าคนเหล่านั้นและสำนักแก้วหลากสีเพื่อเขา ทำให้เย่เย่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมา
ถึงแม้ว่าเมืองโม่ไห่นั้นจะเป็นแค่เมืองเล็กๆ แต่ความกล้าหาญของซ่างกวานจ้งนั้นเทียบไม่ได้กับเหล่าผู้นำทั่วๆไปเลย ในเวลานี้เย่เย่นั้นได้มีความรู้สึกว่าตัวเขาเป็นคนของเมืองโม่ไห่มากขึ้นเรื่อยๆ
อีกทางด้านหนึ่งหลังจากที่ได้ยินที่สิงเทียนหมิงร้องขอแล้ว เกาซุ่นกลับไม่ได้หุนหันสั่งให้คนของเขาโจมตีพวกของซ่างกวานจ้งแต่อย่างใด
เขากลับจ้องไปที่สิ่งเทียนหมิงแล้วจากนั้นก็ได้หันไปมองซ่างกวานจ้งแล้วกล่าว “เมื่อสักครู่เจ้าเมืองซ่างกวานบอกว่าข้าไม่มีหลักฐานมายืนยันว่าเย่เย่โกหก แล้วเจ้าล่ะมีหลักฐานอะไรที่ยืนยันว่าเขาไม่ได้โกหก ข้าอุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกลจากสำนักหลากสีแต่เจ้ากลับให้ข้อมูลที่ยังไม่ได้ตรวจสอบและพยายามที่จะบ่ายเบี่ยงข้า เจ้าพร้อมรับผลที่จะตามมาแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
“คือว่า….”
หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้แล้ว ซ่างกวานจ้งก็ได้เงอะงะและรู้สึกได้ว่าเกาซุ่นนั้นไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เขาคิดเอาไว้ เพียงพูดแค่ไม่กี่คำก็ไม่เพียงแต่จะสลายบรรยากาศที่หนักอึ้งเมื่อสักครู่ได้ แต่ยังสามารถรักษาภาพพจน์ของตัวเองให้กลับมาอยู่สูงอีกหน
ในฐานะที่เป็นถึงศิษย์ก้นกุฏิของสำนักแก้วหลากสีแล้ว แม้เกาซุ่นนั้นจะมีนิสัยเย่อหยิ่งแต่ก็ไม่ใช่คนโง่อย่างแน่นอน ตัวเขานั้นรู้ดีว่าจุดประสงค์ของสิงเทียนหมิงที่อาสาพาเขามาที่นี่ด้วยตัวเองนั้นไม่ใช่เหตุผลอื่นใดนอกจากต้องการที่จะให้เขาทำลายเมืองโม่ไห่ แต่เกาซุ่นนั้นนอกจากความเกลียดชังของเขาที่มีต่อ เย่เย่แล้วตัวเขาก็ไม่เคยมีความคิดที่จะเพ่งเล็งเมืองโม่ไห่แต่อย่างใด
ถึงแม้ว่าสิงเทียนหมิงนั้นจะเป็นนักวางแผนการ แต่เกาซุ่นนั้นไม่ต้องการที่จะกลายเป็นหมากในมือของอีกฝ่าย ที่จะหลอกเขาให้ใช้พลังอำนาจของสำนักแก้วหลากสีช่วยเมือง หลงเจียงทำลายศัตรูได้อย่างง่ายดาย
แต่เพื่อที่จะทำเป้าหมายให้สำเร็จแล้ว เกาซุ่นก็ยังคงรักษาแรงกดดันของเขาที่มีต่อเมืองโม่ไห่เอาไว้
ถึงแม้ว่าตัวเขาจะแสร้งทำเป็นเสือโดยอาศัยชื่อเสียงของสำนักหลากสีอยู่ตลอด แต่ซ่างกวานจ้งกับคนอื่นๆต่างก็ต้องยอมรับว่าเมืองโม่ไห่ของพวกเขานั้นไม่สามารถที่จะเมินเฉยต่อคำขู่ของเกาซุ่นได้ ลำพังแค่ 4 ยอดฝีมือของสำนักแก้วหลากสีที่ เกาซุ่นพามาแล้วก็เพียงพอที่จะจัดการเมืองโม่ไห่ให้ราบคาบแล้ว
แต่ทว่าเย่เย่นั้นสามารถมองเห็นได้จากในดวงตาของ เกาซุ่น ว่าเมื่อสักครู่นี้อีกฝ่ายนั้นมีเป้าหมายเพ่งเล็งมาที่เขาอย่างชัดเจนและพยายามที่จะทำลายชื่อเสียงของเขา ไม่ว่าตัวเขานั้นจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับมังกรสองหัวหรือไม่ แต่เกาซุ่นก็ได้ใช้หัวข้อนี้ทำให้ตัวเขานั้นไม่สามารถลงจากเวทีได้ง่ายๆ
ถึงจะไม่รู้ว่าที่เกาซุ่นมุ่งร้ายกับเขานั้นมาจากความอิจฉาเพียงอย่างเดียวหรือมาจากเหตุผลอื่นก็ตามที แต่เย่เย่นั้นก็ไม่ใช่คนที่จะยอมให้ถูกกดหัวโดยที่ยังไม่ได้ตอบโต้ได้ง่ายๆ ดังนั้นหลังจากที่ซ่างกวานจ้งพูดจบ เย่เย่ก็ได้ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับ เกาซุ่นแล้วกล่าว “ถึงแม้ว่าตัวข้าจะไม่สามารถยืนยันได้ว่าหนีออกมาจากพายุทะเลคลั่งได้สำเร็จก็ตามที แต่เรื่องมังกรสองหัวที่บรรลุเป็นจักรพรรดิเทพนั้นมันจะถูกยืนยันได้ในอีกไม่ช้า ถ้าหากว่าพวกท่านไม่เชื่อก็รอดูได้เลย!”
คำพูดของเย่เย่นั้นแน่วแน่และหนักแน่น ทำให้ ซ่างกวานจ้งกับคนอื่นๆนั้นต่างก็ประหลาดใจกับท่าทีที่หนักแน่นของเขา
อย่างไรก็ดีถึงแม้ว่าพวกของซ่างกวานจ้งนั้นพอจะรู้เรื่องของมังกรสองหัวตัวนั้นว่าจะบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพก็ตามที แต่พวกเขานั้นก็ยังไม่ได้ยืนยันเรื่องนี้ด้วยตัวเอง และไม่มีหลักฐานที่จะมายืนยันด้วย แต่ในเวลานี้เย่เย่กับอวดอ้างเรื่องนี้ต่อหน้าเกาซุ่น ถ้าหากว่าพวกเขาไม่สามารถให้คำอธิบายแก่ทุกคนในเรื่องนี้ได้ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่สามารถขจัดความสงสัยของเกาซุ่นได้แล้ว แต่ตัวเย่เย่เองก็จะต้องตกอยู่ในสภาพที่เสียเปรียบอย่างสุดๆด้วย
ซ่างกวานจ้งกับคนอื่นๆเองก็ได้แอบกระวนกระวายแทนเย่เย่ แล้วพวกเขาก็เริ่มคิดถึงวิธีที่จะทำให้เกาซุ่นนั้นยกโทษให้ เย่เย่ในกรณีที่สถานการณ์ที่เลวร้ายสุดๆปรากฏออกมา
แต่เย่เย่นั้นกลับยังมีท่าทีที่สงบ ราวกับว่าตัวเขานั้นมั่นใจในเรื่องนี้มาราวกับตัวเองเป็นผู้ชนะ
ถึงแม้ว่าตัวเขาจะไม่รู้ว่าพวกของเกาซุ่นนั้นได้ไปที่หุบเขาหลิ่วซานตอนไหน แต่นี่ก็ผ่านไปสองวันแล้วนับตั้งแต่ตอนที่ เหยียนลี่หยางได้เอาซากของมังกรสองหัวไปขายที่หุบเขา หลิ่วชวาน ขอเพียงแค่วังสมบัตินั้นไม่ตั้งใจที่จะปิดบังเรื่องนี้แล้ว ข่าวเรื่องของมังกรสองหัวก็น่าจะถูกประกาศออกมาในอีกไม่ช้า และเมื่อถึงตอนนั้น ทุกคนในเขตริมชายฝั่งทะเลก็จะสามารถเป็นพยานให้เย่เย่ได้ โดยที่ตัวเขาไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย
ต่อให้ไม่มีแก่นภายในที่พวกของเกาซุ่นต้องการอยู่ในซากของมังกรสองหัวในวังสมบัติก็ตามที แต่พวกเขาก็จะปฏิเสธความจริงเรื่องที่ว่ามังกรสองหัวนั้นได้บรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพแล้วได้ ดังนั้นเรื่องที่เย่เย่พูดออกไปก่อนหน้านั้นก็จะไม่มีอะไรผิดปกติในเรื่องนั้นอีก
แต่ทว่าพวกของเกาซุ่นนั้นไม่เชื่อในคำพูดของเย่เย่อย่างชัดเจน หลังจากที่พวกเขาได้ยินน้ำเสียงที่หนักแน่นของเย่เย่แล้วเกาซุ่นก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวกับเย่เย่เสียงดัง “ก็ได้! ข้าจะเชื่อเจ้าสักพักก็ได้! แต่หลังจากที่ข่าวลือออกมาแล้วกลายเป็นว่ามังกรสองหัวนั้นไม่ได้บรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพขึ้นมา ข้าจะไม่อภัยให้เจ้าฐานที่หลอกลวงข้าแน่!”
ราวกับว่าเกาซุ่นนั้นได้รอเวลานี้อยู่นานแล้ว เขาลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับเย่เย่แล้วจ้องมาที่เขาด้วยความเย่อหยิ่งและมีแววตาที่เย็นยะเยือกปรากฏออกมาจากในดวงตาของเขา
“ได้สิ! แต่ถ้าความจริงปรากฏออกมาว่าข้าพูดถูก ท่านจะว่าอย่างไรคุณชายเกาซุ่น?”
เย่เย่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไร้ซึ่งการแสดงความอ่อนแอให้เห็นและจ้องไปที่ดวงตาของเกาซุ่น ราวกับว่าแรงกดดันของอีกฝ่ายนั้นไม่มีผลกับเขาเลยแม้แต่น้อย
เกาซุ่นที่เห็นท่าทีที่หนักแน่นของเย่เย่แล้ว ก็ได้มีความหวั่นไหวปรากฏบนใบหน้าของเขา แต่ด้วยศักดิ์ศรีของเขาแล้วไม่สามารถทำให้ตัวเขาถอยหนีจนถึงนาทีสุดท้ายได้ ดังนั้นเกาซุ่นจึงได้แต่ตอบเย่เย่กลับไปอย่างหนักแน่น “ถ้าหากยืนยันได้ว่าเรื่องที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง ข้าจะตกรางวัลให้เจ้าเป็นยาขี่มังกรขวดนี้ฐานที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี! ยาขี่มังกรนั้นเป็นหนึ่งในยาที่ดีที่สุดที่จะช่วยเพิ่มพูนวรยุทธ์ของราชันย์เทพ มันเป็นตัวช่วยที่สุดยอดของยอดฝีมือราชันย์เทพซึ่งโอกาสที่เจ้าจะหามาได้นั้นยากมาก ข้าแนะนำให้เจ้าเลิกคิดหวังจะดีกว่า!”
ในขณะที่เกาซุ่นพูดอยู่นั้นก็ได้หยิบเอายาขวดเล็กๆออกมาจากในแขนเสื้อของเขา แน่นอนว่ามันคือยาขี่มังกรที่ใช้ช่วยเพิ่มวรยุทธ์ของราชันย์เทพ
ยาขวดนี้นั้นมีค่ามาก เกาซุ่นนั้นได้ซื้อมาจากหุบเขา หลิ่วชวานหลังจากที่ต้องจ่ายไปเกือบหมดตัว จนตัวเขาจะใช้เองก็ยังลังเลเลย แต่ในเวลานี้เขาได้หยิบออกมาใช้เป็นรางวัลให้เย่เย่นั้นเป็นเพราะเกาซุ่นนั้นเชื่อว่าข้อมูลของเย่เย่นั้นมันผิดและคิดที่จะใช้โอกาสนี้แสดงให้เห็นถึงความร่ำรวยของเขา
อย่างที่คิดในตอนที่เกาซุ่นกล่าวออกมาว่า“ยาขี่มังกร” ก็ได้มีสีหน้าประหลาดใจปรากฏบนใบหน้าของทุกคนในห้องโถง พวกของซ่างกวานจ้งนั้นต่างก็มองไปที่เกาซุ่นด้วยความอิจฉาที่มียาขี่มัง แล้วก็พากันถอนหายใจอย่างเงียบๆ
ถึงแม้ว่าเหล่ายอดฝีมือของเมืองโม่ไห่เองก็ใช้ยาเพื่อเพิ่มพูนวรยุทธ์ของพวกเขา แต่คุณภาพของยาวิถีล้ำลึกนั้นห่างไกลนักที่จะเทียบกับยาขี่มังกร แม้แต่เย่เย่เองที่เพิ่งทานยาแก่นแท้ไป เมื่อเห็นและได้ยินแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะมีรอยยิ้มที่พึงพอใจปรากฏที่มุมปากของเขา
ถึงแม้ว่าคุณภาพของยาขี่มังกรนั้นจะเทียบไม่ได้กับยาแก่นแท้ของเขาก็ตามที แต่มันก็ยังดีกว่ายาวิถีล้ำลึกมาก ถ้าหากว่าเขาได้ยาขี่มังกรมาจากเกาซุ่น รวมกับยาแก่นแท้ 2 ขวดของ เย่เย่แล้ว เขาก็ได้มั่นใจว่าจะต้องเพิ่มพูนวรยุทธ์ของเขาอย่างมากในระยะเวลาสั้นๆนี่แน่
ดังนั้นทันทีที่สิ้นเสียงของเกาซุ่น เย่เย่ก็ได้ปรบมือให้ เกาซุ่นทันทีแล้วกล่าว “เยี่ยม! คุณชายเกาซุ่นช่างกล้าหาญสมกับที่เป็นศิษย์ก้นกุฏิของสำนักแก้วหลากสียิ่งนัก! ที่นี่มีพยานอยู่มากมายนัก ข้าเชื่อว่าคุณชายเกาซุ่นนั้นคงไม่ผิดสัญญาของตัวเองเพราะยาขวดเดียวแน่ๆ ข้าเย่เย่นับถือๆ!”
ในขณะที่ทำมือคารวะและกล่าวชมเกาซุ่นเสียงดัง เย่เย่ก็ได้แสดงสีหน้ายินดีอย่างมากออกมาราวกับว่ายาขี่มังกรนั้นได้มาอยู่ในกระเป๋าของเขาแล้ว