ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 326 เกาซุ่น
บทที่ 326
เกาซุ่น
สองวันต่อมา ในขณะที่เย่เย่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการฝึกวิชาอย่างรวดเร็วอยู่นั้น ก็ได้มีกลุ่มแขกไม่รับเชิญมายังจวนเจ้าเมืองโม่ไห่
ชายหนุ่มที่เคยพาคนของเขาไปที่หุบเขาหลิ่วซานเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวมังกรสองหัวนั้นก็ได้มาปรากฏตัวต่อหน้า ซ่างกวานจ้งพร้อมด้วยสิงเทียนหมิงเจ้าเมืองหลงเจียง เมื่อ ซ่างกวานจ้งนั้นได้ทราบตัวตนของชายหนุ่มคนนี้จากสิงเทียนหมิงแล้ว ใบหน้าของเขาก็ได้ตึงเครียดขึ้นมาทันที
“ข้า, ซ่างกวานจ้งเจ้าเมืองโม่ไห่ ขอคารวะ คุณชายเกาซุ่น!”
ในขณะที่ก้มหัวให้ชายหนุ่มเกาซุ่นด้วยความเคารพนั้น ซ่างกวานจ้งก็ได้แอบชำเลืองมองไปที่สิงเทียนหมิงที่อยู่ข้างๆ เกาซุ่น
ในฐานะที่เป็นศิษย์ก้นกุฏิของสำนักแก้วหลากสีแล้ว ความน่าเกรงขามก็เกาซุ่นนั้นก็ชัดแจ้งในตัวของมันดี ถ้าหากเมืองหลงเจียงเกิดมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเกาซุ่นแล้ว เมืองโม่ไห่คงจะตกอยู่ในสถานการณ์ไม่เอื้ออย่างสุดๆเสียแล้ว
ดังนั้นซ่างกวานจ้งจึงได้ตัดสินใจว่าไม่ว่าสิงเทียนหมิงนั้นพาเกาซุ่นมาที่เมืองโม่ไห่ด้วยจุดประสงค์อะไรแล้ว จะต้องอย่าให้สิงเทียนหมิงทำได้สำเร็จเด็ดขาดและต้องเอาชนะใจเกาซุ่นด้วย
เย่เย่ในฐานะที่เป็นรองเจ้าเมืองโม่ไห่แล้วก็ได้มาอยู่ข้างๆซ่างกวานจ้งในตอนที่เกาซุ่นกับคนอื่นๆเข้าประตูมา หลังจากที่รู้ถึงตัวตนของเกาซุ่นแล้ว ความคิดของเขาก็เกือบจะเหมือนกับ ซ่างกวานจ้งพวกเขาต่างก็ได้เพิ่มความระแวดระวังสิงเทียนหมิง
“ท่านเจ้าเมืองซ่างกวานไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองมากนักก็ได้ ข้ามีบางอย่างอยากจะรบกวนท่านในเวลานี้ ข้าหวังว่าท่านเจ้าเมืองซ่างกวานจะไม่ถือสา!”
ถึงแม้ว่าเกาซุ่นนั้นจะพูดอย่างสุภาพ แต่อากัปกิริยาของเขาได้เผยท่าทีที่แข็งกร้าวออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งทำให้ผู้คนรู้รังเกียจ
เขาจ้องไปที่ซ่างกวานจ้งกับเย่เย่ที่อยู่ข้างๆเขา และจากนั้นก็เดินไปยังเก้าอี้บัลลังก์ในห้องโถงใหญ่แล้วนั่งลง ส่วน สิงเทียนหมิงก็ได้ค่อยเดินตามเกาซุ่นและคอยรับคำสั่งจาก เกาซุ่นทุกเมื่อราวกับเป็นข้ารับใช้
ซ่างกวานจ้งก็ได้คิ้วขมวดเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เมื่อเห็นเกาซุ่นได้นั่งเก้าอี้ประจำตำแหน่งของตัวเองแล้ว ซ่างกวานจ้งก็ได้หันหน้าไปหาเกาซุ่นแล้วถามอย่างสุภาพ “ไม่ทราบว่าคุณชายเกาซุ่นต้องการอะไรจากเมืองโม่ไห่ของเรารึ? ไม่ต้องเป็นกังวล หากว่าเป็นอะไรที่ตัวข้าสามารถทำได้แล้ว จะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน!”
ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะยืนอยู่ข้างๆซ่างกวานจ้งและไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาก็รู้สึกได้ว่าดวงตาของเกาซุ่นนั้นได้เหลือบมองมาที่เขาโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ และยังมีความมุ่งร้ายออกมาจากในดวงตาของเขาด้วย เย่เย่จึงได้ลองคาดเดาถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของเกาซุ่น
แต่ทว่าหลังจากที่เกาซุ่นได้ยินคำถามของซ่างกวานจ้งแล้ว เกาซุ่นก็ได้หันไปมองที่ซ่างกวานจ้งทันทีและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผึ่งผาย “ข้าได้ยินมานานแล้วว่ามีมังกรสองหัวที่อยู่ในระดับสูงสุดของราชันย์เทพอยู่ในบริเวณน่านน้ำนี้ ข้ามาที่นี่เพื่อวังหาสัตว์อสูรตัวนี้เพื่อเอาแก่นภายในของมังกรสองหัวกลับไป! ข้าจึงหวังว่าท่านซ่างกวานจ้งนั้นจะช่วยข้าตามหาที่อยู่ของมังกรสองหัวตัวนี้โดยทันที เพื่อที่จะได้ไม่เป็นการเสียเวลาของข้าในการทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ!”
ในขณะที่เกาซุ่นได้พูดถึงมังกรสองหัวออกมานั้น ก็เหมือนเขาจะลืมตัวตนของเย่เย่ไปชั่วขณะ และมีแสงของความตื่นเต้นปรากฏออกมาจากในดวงตาของเขาเป็นช่วงๆ
ในเวลานี้ ตอนที่เกาซุ่นได้รับคำสั่งมาจากสำนักให้ไปหาแก่นภายในของมังกรสองหัวนั้น เกาซุ่นก็มองเห็นความหวังที่จะสร้างชื่อให้ตัวเองในสำนักแก้วหลากสี ทำให้ตัวเขานั้นมุ่งมั่นกับคำสั่งนี้มา ซึ่งก่อนหน้านี้ตัวเขาได้นำคนไปที่หุบเขาหลิ่วชวานเพื่อไปสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับมังกรสองหัวตัวนี้ ถึงแม้ว่าจะพบข้อมูลของมังกรสองหัวได้ไวก็ตามที แต่ข้อมูลที่ได้นั้นทำให้เกาซุ่นไม่พอใจสักเท่าไรนัก
นอกจากเรื่องที่มังกรสองหัวหายไปจากพิธีกรรมบูชาในครั้งล่าสุดของเมืองโม่ไห่ กับข่าวเรื่องที่เย่เย่รองเจ้าเมืองโม่ไห่นั้นได้อ้างว่าเคยเห็นมังกรสองหัวแล้ว เกาซุ่นก็ได้ไม่พบข่าวอะไรที่เป็นประโยชน์เพิ่มอีกเลย
แล้วในวันนั้นเองสิงเทียนหมิงเจ้าเมืองหลงเจียงเองก็ได้ไปที่เมืองหลิ่วชวานพอดี ซึ่งหลังจากที่ตัวเขารู้ถึงตัวตนและจุดประสงค์ของเกาซุ่นและพรรคพวกแล้ว ก็ได้รีบบอกเกาซุ่นว่าจะต้องมีข่าวที่เขาต้องการอยู่ในเมืองโม่ไห่เป็นแน่ และเพื่อเป็นการเอาอกเอาใจเกาซุ่นแล้วสิงเทียนหมิงก็ได้ผลักภาระของตัวเองออกไปก่อนชั่วคราว แล้วเสนอตัวพาเกาซุ่นและพรรคพวกไปที่เมืองโม่ไหเพื่อไปถามหาข่าวสารของมังกรสองหัวทันที
สิงเทียนหมิงนั้นไม่กลัวว่าเมืองโม่ไห่นั้นจะได้ความดีความชอบจากเกาซุ่นหลังจากที่ช่วยเหลือเกาซุ่นแต่อย่างใด เพราะตัวเขานั้นมั่นใจมากกว่าเมืองโม่ไห่เองก็คงไม่สามารถหาที่อยู่ที่แน่นอนของมังกรสองหัวได้ ซึ่งมันจะทำให้เกาซุ่นนั้นผิดหวังและกลับไป และขอเพียงสิงเทียนหมิงเติมเชื้อไฟลงไปในช่วงนั้นแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็จะเผชิญหน้ากันอย่างง่ายดาย แล้วสุดท้ายเมืองหลงเจียงของเขานั้นก็จะกลายเป็นผู้ชนะอย่างยิ่งใหญ่
ถึงแม้ว่าหลังจากที่พามาที่เมืองโม่ไห่ สิงเทียนหมิงนั้นจะมีท่าทีให้ความเคารพและเชื่อฟัง และไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะเป็นศัตรูกับเมืองโม่ไห่ก็ตามที แต่ในใจของเขานั้นคิดว่าการที่พวกของซ่างกวานจ้งจะทำให้เกาซุ่นขุ่นเคืองเมื่อไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วนั้น ทำให้ตัวเขานั้นมีใบหน้าที่ใจเย็นได้อยู่ตลอดเวลา
ซึ่งหลังจากที่ได้ยินคำตอบของเกาซุ่นแล้ว ซ่างกวานจ้งก็ได้ครุ่นคิดอยู่นับไม่ถ้วนในหัวของเขา และดวงตาของก็ได้หันไปมองสิงเทียนหมิงที่อยู่อีกฝั่งโดยไม่ได้ตั้งใจ ราวกับเดาแผนการของสิงเทียนหมิงและความอยากที่จะสังหารสิงเทียนหมิงของเขานั้นก็ได้เพิ่มขึ้นมา แต่เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดของเกาซุ่นแล้ว ซ่างกวานจ้งจึงจำต้องทำสีหน้าสงบเยือกเย็นไว้ก่อน
“คุณชายเกาซุ่น ถึงแม้ว่าพวกเราจะเคยจัดพิธีกรรมบูชามังกรสองหัวในเมืองโม่ไห่ของเรามาแล้วหลายหนก็ตาม แต่ความสัมพันธ์ของพวกเรากับมังกรสองหัวนั้นก็ยังไม่ดีนัก และนับตั้งแต่การหายตัวไปจากพิธีกรรมครั้งล่าสุดแล้ว เมืองโม่ไห่ของพวกเราเองก็ไม่ทราบที่อยู่ของมันอีกเลยเช่นกัน ได้โปรดให้อภัยข้าด้วยคุณชายเกาซุ่น!”
หลังจากที่ซ่างกวานจ้งนั้นได้ครุ่นคิดอยู่สักพัก ตัวเขาก็ได้รวบรวมความกล้าบอกความจริงแก่เกาซุ่นไป
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าการตอบปฏิเสธไปนั้นอาจจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจเป็นแน่ แต่การจงใจถ่วงเวลาให้ล่าช้าออกไปนั้นอาจจะทำให้เรื่องมันยุ่งยากยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะข้างๆเกาซุ่นนั้นเป็นสิงเทียนหมิงที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับเมืองโม่ไห่ด้วยแล้ว ถ้าหากวันนี้เขาถูกอีกฝ่ายเล่นงานเข้าก็เกรงว่าสถานการณ์ในเมืองโม่ไห่นั้นคงจะได้อันตรายมากเป็นแน่
“เหมือนที่เจ้าเมืองซ่างกวานพูดมามันจะผิดไปหน่อยนะ! ก่อนที่ข้าจะมาที่เมืองโม่ไห่นั้น ข้าไปได้ข่าวมาจากหอรวมเศษกระจายที่เมืองหลิ่วชวานมาก่อน ว่าเมืองโม่ไห่ของเจ้านั้นเป็นสถานที่ที่น่าจะรู้จักที่อยู่ของมังกรสองหัวมากที่สุดแล้ว แม้แต่เจ้าเมืองสิงเทียนหมิงเองก็ยังพูดย้ำยืนยันเรื่องนี้ให้ข้าเลย ว่า เมืองโม่ไห่นั้นรู้จักกับมังกรสองหัวมากที่สุดในเขตชายฝั่งแห่งนี้แล้ว แล้วตอนนี้เจ้ายังจะบอกกับข้าว่าเจ้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ?”
อย่างที่คิดเอาไว้ใบหน้าของเกาซุ่นก็ได้มืดดำขึ้นมาทันทีหลังจากที่ได้ยินคำตอบของซ่างกวานจ้ง และดวงตาของเขาก็ได้ไม่เป็นมิตรอย่างมากขึ้นมาในขณะที่เขาลุกขึ้นยืนและจับจ้องไปที่ซ่างกวานจ้ง
ความหมายของเขานั้นชัดเจนมาก เพราะว่าอีกฝ่ายนั้นบอกว่าเมืองโม่ไห่นั้นคือกองกำลังเดียวที่รู้ที่อยู่ของมังกรสองหัวดีที่สุด จึงจำเป็นจะต้องช่วยพวกเขาในเรื่องนี้! ถ้าหากไม่ช่วยแล้วก็จะเท่ากับดูแคลนเกาซุ่นและดูแคลนสำนักแก้วหลากสีอย่างอ้อมๆ!
ในขณะที่แสดงความไม่พอใจของเขาแก่ซ่างกวานจ้งแล้ว เกาซุ่นก็ได้ส่งสายตาให้กับเหล่าลูกน้องของเขา
แล้วคนเหล่านี้ก็ได้เดินออกมาอยู่ข้างหน้าเกาซุ่น และระเบิดพลังใส่ซ่างกวานจ้งกับพรรคพวกที่อยู่ตรงหน้าทันที
ตูม!
แล้วทันใดนั้นทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ก็ได้ห้อมล้อมไปด้วยพลังที่ทั้งทรงพลังและยิ่งใหญ่ทันที แม้แต่เย่เย่ก็ยังมองไปที่คนเหล่านั้นด้วยสีหน้าตกใจ
เพราะจุดมุ่งหมายของเกาซุ่นกับพรรคพวกนั้นคือการสังหารมังกรสองหัวเพื่อเอาแก่นภายในของมัน ดังนั้นทั้งสี่คนที่ติดตามเกาซุ่นมายังเขตชายฝั่งทะเลนั้นจึงล้วนเป็นยอดฝีมือราชันย์เทพระดับสูงสุด ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะมีวรยุทธ์เหนือกว่าเกาซุ่น แต่เพราะความสามารถของพวกเขานั้นใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว ดังนั้นฐานะของพวกเขาในสำนักแก้วหลากสีนั้นจึงได้ไม่ดีเหมือนเกาซุ่น
เกาซุ่นจึงเป็นเหมือนผู้รับผิดชอบในภารกิจนี้ ในขณะที่ยอดฝีมือราชันย์เทพระดับสูงสุดอีก 4 คนจะเป็นคนที่สู้ให้เกาซุ่น
แต่ถึงอย่างนั้นพลังกดดันของยอดฝีมือทั้ง 4 คนนั้นก็ยังทำให้อึดอัดอย่างมากอยู่ดี อย่างที่รู้กันดีว่าซ่างกวานจ้งกับ สิงเทียนหมิงเจ้าเมืองทั้งสองเองก็มีวรยุทธ์อยู่แค่ในระดับสูงสุดของราชันย์เทพเท่านั้น ซึ่งต่อให้ทั้งสองคนร่วมมือกันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะยอดฝีมือทั้ง 4 ที่เกาซุ่นพามาได้อยู่ดี ดังนั้นความตกใจบนใบหน้าของพวกเขานั้นจึงได้เกินกว่าจะกล่าว
แต่ทว่าสิงเทียนหมองก็ได้มีสีหน้าลำพองใจขึ้นมาหลังจากที่แสดงสีหน้าตกใจ ในขณะที่ซ่างกวานจ้งนั้นมีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างสุดๆ และในใจของเขานั้นก็ได้คิดหาทางจัดการกับพวกของเกาซุ่นโดยไว
“ได้โปรดใจเย็นก่อนคุณชายเกาซุ่น! ถึงแม้พวกเราจะไม่รู้ว่ามังกรสองหัวนั้นอยู่ที่ไหน แต่ข้าขอรับรองว่าเมืองโม่ไห่ของพวกเรานั้นจะให้ความร่วมมือกับคุณชายเกาซุ่นในการทำภารกิจนี้อย่างเต็มที่และจะพยายามทุกวิถีทางที่จะออกค้นหาที่อยู่ของมังกรสองหัวให้ได้”
หลังจากที่ซ่างกวานจ้งได้ถอนหายใจในใจ ตัวเขานั้นทำได้แค่ทำให้อารมณ์ของเกาซุ่นดีขึ้นมาก่อน แล้วค่อยคิดหาแผนการต่อไป
แต่ทว่าในตอนที่เกาซุ่นได้ยินที่ซ่างกวานจ้งตอบกลับมานั้น ตัวเขากลับไม่ได้แสดงท่าทีพอใจแต่อย่างใดออกมา แต่กลับเหลือบสายตาหันไปมองที่เย่เย่แทน
“ถ้าเจ้าเมืองซ่างกวานยินดีที่จะให้ความร่วมมือจริงๆ ทำไมท่านถึงไม่ให้รองเจ้าเมืองของท่านเป็นคนอธิบายให้พวกเราฟังถึงเหตุการณ์ในตอนที่เขาเจอมังกรสองหัวเสียล่ะ? ข้าได้ยินมาว่ารองเจ้าเมืองของท่านนั้นสุดยอดมาก ไม่เพียงแต่เขาจะรอดมาจากพายุทะเลคลั่งมาได้แล้ว แต่ยังเคยพบเห็นมังกรสองหัวในพายุทะเลคลั่งอีกด้วย!”
แล้วเกาซุ่นก็ได้สะบัดมือของเขาสั่งให้ลูกน้องของเขาถอยกลับไปก่อน จากนั้นก็ได้จ้องไปที่เย่เย่อย่างตั้งใจ และพูดกับซ่างกวานจ้งด้วยวาจาที่เหน็บแนม
ซึ่งจริงๆแล้วก่อนที่เขาจะรับภารกิจนี้มา ชื่อเสียงของเย่เย่ที่เป็นผู้มาจุตินั้นก็ได้แพร่มาจากเขตชายฝั่งทะเลมาถึงสำนักแก้วหลากสีแล้ว ซึ่งเดิมทีเหล่าผู้นำอาวุโสในสำนักนั้นก็ได้คิดที่จะส่งคนไปเชื้อเชิญเย่เย่ แต่หลังจากที่ได้ยินว่าเย่เย่นั้นได้ปฏิเสธคำเชิญของเสิ่นจ้งหมิงสำนักต่างไฟแล้ว กองกำลังใหญ่ๆในดินแดนเทียนหนานนั้นจึงได้ล้มเลิกความคิดนี้ไป
เกาซุ่นจึงได้ไม่พอใจอย่างมากกับท่าทีที่อวดดีของเย่เย่ ในคราวนี้ตัวเขาได้มีโอกาสมาที่เมืองโม่ไห่ทั้งที นอกจากที่จะมาถามถึงข่าวคราวของมังกรสองหัวแล้ว ตัวเขาก็ได้คิดที่จะทำให้ เย่เย่นั้นสลดเสียบ้าง
แต่เย่เย่นั้นก็พอจะเดาได้จากท่าทีของเกาซุ่นว่ากำลังเพ่งเล็งมาที่ตัวเขาอยู่ จึงได้ไม่แสดงสีหน้าตกใจอะไรในตอนที่เกาซุ่นได้หันเหความสนใจมาที่เขา
“คุณชายเกาซุ่นคงจะได้ยินมาผิดไป ข้าไม่เคยบอกเลยว่าพบมังกรสองหัวด้วยตาของตัวเอง ในตอนที่ข้าติดอยู่ในพายุทะเลคลั่งนั้น ตัวข้าก็เหมือนได้ยินเสียงร้องของสัตว์อสูรที่น่าสะพรึงกลัวดังขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นหากดูจากความทรงพลังของเสียงร้องนั้นแล้ว จึงได้คิดว่าสัตว์อสูรที่อยู่ในพายุทะเลคลั่งนี้จะต้องทรงพลังมากแน่ๆและอาจจะบรรลุถึงขั้นจักรพรรดิเทพแล้วด้วย!”
เย่เย่ก็ได้กล่าวตอบเกาซุ่นอย่างถ่อมตัวโดยผสมความจริงลงไปแค่บางส่วน ซึ่งก็เป็นแบบเดียวกันกับที่ตัวเขาได้เล่าให้ซ่างกวานอวี่และคนอื่นๆฟัง
เย่เย่นั้นไม่เพียงแต่จะไม่ดูแคลนเกาซุ่นในฐานะตัวเขาที่เป็นผู้มาจุติแล้ว แต่ยังก้มหัวให้เกาซุ่นเพราะตัวเขานั้นเป็นเพียงรองเจ้าเมืองโม่ไห่อีกด้วย ท่าทีของเขานั้นเรียกได้ว่าทำให้ผู้คนนั้นไม่สามารถว่าอะไรได้
แต่ทว่าเกาซุ่นนั้นไม่เพียงแต่จะไม่สนใจในคำอธิบายของเย่เย่ที่ต่างไปจากข่าวลือแล้ว แต่ยังรู้สึกไม่พอใจกับคำอธิบายของเย่เย่อีกด้วย
หลังจากที่ได้ยินคำตอบของเย่เย่แล้ว เขาก็ได้พ่นลมออกทางจมูกอย่างดูแคลน และกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ประชดประชัน “ดูเหมือนว่ารองเจ้าเมืองเย่จะไม่ปฏิเสธข่าวลือเรื่องที่รอดมาจากพายุทะเลคลั่งได้เลยนะ! แต่จากที่ข้ารู้มา เหล่ายอดฝีมือราชันย์เทพในเขตชายฝั่งทะเลนี้ต่างก็เอาชีวิตไม่รอดในพายุทะเลคลั่ง คงมีเพียงยอดฝีมือระดับราชันย์เทพเท่านั้นที่จะมีความหวังรอดออกมาได้ การที่รองเจ้าเมืองเย่ยกยอปอปั้นตัวเองเช่นนี้มันไม่ดีหรอกนะ!”
“แล้วยิ่งไปกว่านั้น การบรรลุของสัตว์อสูรนั้นยากยิ่งกว่าเหล่ามนุษย์ที่เป็นจอมยุทธ์อย่างเราๆสัก 10 เท่าได้ มันจะบรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพง่ายๆได้อย่างไร? รองเจ้าเมืองเย่เจ้าหลอกคนอื่นได้ แต่ต่อหน้าข้าแล้วมันจะทำให้ตัวเองขายหน้าเอาได้นะ!”