ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 319 ไม่ลงรอยกัน
บทที่ 319
ไม่ลงรอยกัน
ในเวลานี้หลินฉีคิดได้อาสารับหน้าที่รับผิดชอบอาคมป้องกันเมืองเทียนไห่นั้นก็เพราะมีจุดประสงค์อยู่อย่างเดียว นั่นคือขังเย่เย่ให้อยู่ในเมืองในตอนที่ศัตรูของเย่เย่มาถึง
ถึงแม้ว่าตัวตนของเย่เย่ที่เป็นผู้มาจุตินั้นจะทำให้ผู้นำขุมกำลังใหญ่ๆมากมายต้องเริ่มเคลื่อนไหว แต่หลินฉีก็มั่นใจมากว่าทัณฑ์สวรรค์นั้นจะต้องมีเจตนาที่จะสังหารเย่เย่เพียงอย่างเดียวแน่นอน และสำนักต่างไฟที่มีทัณฑ์สวรรค์คอยหนุนหลังอยู่ก็จะต้องส่งยอดฝีมือออกมาจัดการเย่เย่แน่
ต่อให้หลังจากนั้นซ่างกวานจ้งจะตามสืบได้ว่าเป็นความผิดของเขาก็ตามที แต่ก็แน่นอนว่าหลินฉีที่บรรลุขึ้นเป็นราชันย์เทพแล้วนั้น จะต้องมีค่ามากกว่าผู้มาจุติที่ตายไปแล้วแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ในปัจจุบันของดินแดน เทียนหนานนั้นก็อยู่ในสภาวะวิกฤติ ซึ่งหลินฉีนั้นเชื่อว่าผลที่ออกมานั้นมันจะต้องทำให้เขาพึงพอใจอย่างแน่นอน
มีอยู่เพียงอย่างเดียวที่เขาไม่มั่นใจก็คือเมื่อไรที่ยอดฝีมือของสำนักต่างไฟนั้นจะมาถึง ถ้าหากว่ามีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้การตอบสนองของสำนักต่างไฟนั้นล่าช้า และเย่เย่นั้นเกิดพัฒนามากขึ้นไปอีก เมื่อถึงเวลานั้นมันก็จะสายเกินไป อย่างไรก็ดีพลังแฝงของผู้มาจุตินั้นก็มีมากเกินไป หากว่าประมาทความสามารถในการพัฒนาของผู้มาจุติต่ำเกินไปก็อาจจะจ่ายบทเรียนราคาแพงได้ แน่นอนว่าหลินฉีนั้นจึงไม่ต้องการที่จะฝันมากเกินไป
แต่ทว่าสำนักต่างไฟนั้นก็ไม่ได้ปล่อยให้หลินฉีรอนานเกินไป ในวันที่เขาเข้าไปในหอคอยอาคมเมืองโม่ไห่เพื่อคอยดูแลอาคมป้องกันเมืองเทียนไห่เป็นวันที่ 3 แล้วก็ได้มีจุดสีดำค่อยๆปรากฏมาจากเส้นขอบฟ้าของเมืองโม่ไห่
พอหลินฉีมองดูใกล้ๆก็พบว่าจุดดำๆนั้นคือสัตว์อสูรบินเหยี่ยวทะยานฟ้า ซึ่งผู้ที่เป็นเจ้าของก็ย่อมเป็นสำนักต่างไฟแน่นอน ในเวลานี้มีคนคนหนึ่งที่ยืนอยู่เงียบๆบนหลังของเหยี่ยวทะยานฟ้าและมุ่งหน้าที่เมืองโม่ไห่ด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง
“ในที่สุด!”
หลินฉีที่อยู่ในหอคอยอาคมนั้นก็ได้มีแววตาประหลาดใจปรากฏในดวงตาของเขา จากนั้นก็ปรากฏสีหน้าอำมหิตขึ้นมาและรีบปิดอาคมป้องกันเมืองเทียนไห่ที่ควรจะปกคลุมเมืองโม่ไห่อยู่ลงทันที
แล้วม่านพลังงานที่ส่องสว่างก็ได้ค่อยๆจางหายไปจากเหนือน่านฟ้าเมืองโม่ไห่ แล้วไม่นานนักก็ได้หายจนไม่เหลืออะไรอยู่บนท้องฟ้า พระอาทิตย์ก็ได้สาดแสงลงมาบนถนนเมืองโม่ไห่อีกครั้ง ทำให้ผู้คนในเมืองโม่ไห่นั้นสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมืองกันแน่
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ๆม่านอาคมถึงได้ปิดตัวลง?”
“ไม่รู้เหมือนกัน บางทีอาจจะมีบุคคลสำคัญมาที่เมืองของเราก็ได้”
“แต่มันก็อันตรายเกินไปนะ ใครเป็นคนดูแลอาคมเนี่ย?”
แล้วผู้คนในเมืองโม่ไห่ต่างก็พากันพูดคุยและคาดเดาถึงเหตุผลที่ปิดอาคม แต่ทว่าเพราะผู้คนส่วนใหญ่นั้นต่างก็เชื่อในการตัดสินใจของทางจวนเจ้าเมือง จึงได้ไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้นในเมือง
ในขณะที่อาคมปิดตัวลงไปนั้น เหล่าบุคคลระดับสูงในเมืองโม่ไห่ก็พากันตกใจ ซ่างกวานจ้งจึงได้พาเหล่าบุคคลระดับสูงมาที่ลานกว้างหน้าจวนเจ้าเมือง และมองไปบนท้องฟ้าด้วยความสงสัย
เย่เย่ที่กำลังฝึกวิชาอยู่ในห้องอย่างเงียบๆนั้น ก็ได้ออกมาที่ลานกว้างด้วยและรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีมากขึ้นเรื่อยๆในใจ
นับตั้งแต่ตัวเขาได้ตกลงที่จะเข้าร่วมกับเมืองโม่ไห่และกลายมาเป็นรองเจ้าเมืองนั้น ซ่างกวานจ้งนั้นก็ได้ไม่เก็บสงวนและมอบยาวิถีล้ำลึกจำนวนมากให้เย่เย่ใช้ฝึกวิชา ยาวิถีล้ำลึกนั้นเป็นยาที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ยอดฝีมือราชันย์เทพ และเพราะพลังที่แฝงอยู่ในตัวยานั้นเข้มข้นมากเกินไป ทำให้จอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าราชันย์เทพลงไปนั้นจะตัวระเบิดและตายทันทีที่ทานเข้าไป
แต่ทว่าคุณภาพของยาวิถีล้ำลึกนั้นยังด้อยกว่ายาแก่นแท้ที่อยู่ในระบบเติมเงินครอบจักรวาลมากนัก ถ้าหากเย่เย่นั้นไม่ได้ใช้เหรียญอเนกประสงค์แลกยาใช้ฝึกราชันย์เทพก่อนที่จะมายังแผ่นดินว่านหลิง รวมถึงวิชาในระดับราชันย์เทพที่ชื่อ“วิชากลืนสวรรค์”ไปจนหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาก็คงดูถูกไม่ใช้ยาวิถีล้ำลึกในการฝึกแม้แต่น้อย
เย่เย่นั้นอยากที่ใช้ยาแก่นแท้จากระบบเติมเงินมาใช้ฝึกวิชา แต่เพราะว่าเย่เย่นั้นจำเป็นต้องใช้เหรียญอเนกประสงค์จำนวนมากเพื่อแลกวิชาราชันย์เทพอย่าง“วิชาราชันย์มังกร” นอกจากนี้เขาเองก็ได้เพิ่งแลกวิชาราคาแพงอย่าง “วิชากลืนสวรรค์” ไปแล้วด้วย ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเติมตั๋วทองจากหอการค้า แต่ตัวเขาก็ยังใช้เหรียญอเนกประสงค์ในระบบเติมเงินไปเป็นจำนวนมากอยู่ดี
ทำให้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องหาหนทางอื่นในการเติมเงินจำนวนมากโดยเร็วที่สุด
ถ้าซ่างกวานจ้งนั้นรู้ว่ายาวิถีล้ำลึกที่เขานำออกมาให้หลังจากที่ลังเลอยู่นานนั้นเป็นของไม่มีค่าอะไรในสายตาของเย่เย่แล้ว เกรงว่าอารมณ์ของเขานั้นคงจะได้บอกไม่ถูกเป็นแน่ แต่ก็ทำให้เขารู้ว่าแม้แต่ในแผ่นดินว่านหลังนั้น ก็ยังมียาที่ใช้ช่วยเพิ่มความเร็วในการฝึกวิชาของราชันย์เทพอยู่ไม่มากนัก ซึ่งมีค่ามากกว่ายาที่ใช้ในระดับต่ำกว่าราชันย์เทพลงไปมากนัก
โดยเฉพาะในเขตริมชายฝั่งนี้ ยาวิถีล้ำลึกก็เป็นยาที่มีค่ามากสำหรับราชันย์เทพแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการเอาใจเย่เย่แล้ว ซ่างกวานจ้งก็คงไม่กัดฟันมอบยาวิถีล้ำลึกให้เย่เย่ตั้งหลายขวดเช่นนี้
แต่ทว่าพัฒนาการของเย่เย่ในหลายวันมานี้ก็ไม่ได้ทำให้ซ่างกวานจ้งผิดหวังเลย แทบทุกครั้งที่เขาพบเย่เย่ ซ่างกวานจ้งก็รู้สึกได้ถึงพลังยุทธ์ของเย่เย่ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ ซ่างกวานจ้งก็ได้แอบถอนหายใจให้กับความสามารถของผู้มาจุติ ในใจของเขานั้นก็ได้คิดที่จะผูกเย่เย่เข้ากับเมืองโม่ไห่ให้แน่นมากขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างมากในเมืองโม่ไห่ ซ่างกวานจ้งก็ได้พาคนออกจากจวนเจ้าเมืองแล้วก็พบเย่เย่ที่เดินมาที่ลานกว้างพอดี หลังจากที่ทั้งสองมาเจอกันแล้วทั้งคู่ก็ได้เงยหน้าขึ้นมองฟ้าพร้อมกัน แล้วซ่างกวานจ้งกับคนอื่นๆก็ได้มองเห็นคนที่ยืนอยู่บนหลังเหยี่ยวทะยานฟ้า แล้วใบหน้าของเขาก็ได้เปลี่ยนอย่างรวดเร็วและมีความกลัวปรากฏในดวงตาของเขา
“หลินฉี หมอนั่นมันทำบ้าอะไรกันแน่!”
ซ่างกวานจ้งก็ได้ตะโกนด้วยความโมโหทันทีและมีความคิดนับไม่ถ้วนปรากฏในหัวของเขา แต่มันก็สายเกินไปสำหรับพวกเขาแล้วที่จะเปิดใช้อาคมเทียนไห่ขึ้นมาใหม่เพื่อหยุดเหยี่ยวทะยานฟ้า เพราะคนที่อยู่บนหลังเหยี่ยวทะยานฟ้านั้นได้มองเห็นพวกเขาที่อยู่ที่ลานกว้าง และในชั่วพริบตาเหยี่ยวทะยานฟ้าก็ได้มาอยู่ตรงหน้าของทุกคน
ฟู่ๆๆ!
แล้วลมก็ได้ถูกพัดออกมาจากใต้ปีกของเหยี่ยวทะยานฟ้า ทำให้ทั่วทั้งลานกว้างนั้นเต็มไปได้ฝุ่นและควัน จนแทบจะทำให้ผู้คนลืมตาแทบไม่ขึ้น
แล้วร่างใหญ่เหมือนขุนเขาของเหยี่ยวทะยานฟ้าก็ได้ร่อนมาอยู่ตรงหน้าของซ่างกวานจ้ง, เย่เย่และคนอื่นๆ และมีความรู้สึกคุกคามปรากฏบนใบหน้าของเขา ต่อให้ชายที่อยู่บนหลังเหยี่ยวทะยานฟ้านั้นไม่ขานชื่อของตัวเองออกมา ซ่างกวานจ้งกับคนอื่นๆนั้นก็ได้มีสีหน้าจริงจังอย่างสุดๆแล้ว
เพราะมีเพียงสำนักต่างไฟเท่านั้นที่เลี้ยงสัตว์อสูรหายากอย่างเหยี่ยวทะยานฟ้า พอชายคนนั้นได้ลงจากหลังเหยี่ยวทะยานฟ้าได้มาอยู่ที่ลานกว้างหน้าจวนเจ้าเมืองแล้ว ซ่างกวานจ้งกับคนอื่นๆแล้วก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายนั้นจะต้องเป็นยอดฝีมือของสำนักต่างไฟอย่างแน่นอน ในฐานะที่เป็นขุมกำลังที่ได้รับการสนับสนุนจากทัณฑ์สวรรค์แล้ว ที่มาของเขาที่มีต่อผู้มาจุตินั้นจะต้องไม่ดีอย่างแน่นอน เขาควรที่จะต้องออกไปเผชิญหน้ากับสำนักต่างไฟเพื่อเย่เย่ดีหรือไม่? แล้วคำถามนี้ได้ปรากฏอยู่ในหัวของซ่างกวานจ้งทันที
ในขณะที่ซ่างกวานจ้งนั้นกำลังว้าวุ่นใจอยู่นั้น เสิ่นจ้งหมองที่มาถึงเมืองโม่ไห่ด้วยเหยี่ยวทะยานฟ้าก็ได้กระโดดลงมาจากหลังสัตว์อสูร
“ข้าหลินฉีในฐานะตัวแทนของเมืองโม่ไห่ ขอยินดีต้อนรับท่านผู้อาวุโสจากสำนักต่างไฟสู่เมืองโม่ไห่นี้ พวกเราชาวเมือง โม่ไห่นั้นไม่ได้มีเจตนาที่จะเป็นศัตรูกับสำนักต่างไฟ ดังนั้นข้าจึงได้ปิดม่านอาคมนี้เพื่อแสดงความจริงใจต่อท่าน ข้าหวังให้ท่านผู้อาวุโสจงเห็นแก่ความกลัวและจริงใจของพวกเรา อย่าได้สนใจในความผิดพลาดของเมืองโม่ไห่ของพวกเราที่ปกป้องผู้มาจุติด้วย ในฐานะเมืองโม่ไห่แล้วข้าหลินฉีจะรู้สึกเป็นพระคุณมาก!”
โดยปราศจากการรอให้ซ่างกวานจ้งและคนอื่นๆได้พูด หลินฉีที่เหาะลงมาจากหอคอย ก็ได้พลันมาหาเสิ่นจ้งหมิงแล้วก้มหัวคารวะให้ทันที ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคารพและเชื่อฟัง
“หลินฉี เจ้า!”
เมื่อซ่างกวานจ้งเห็นภาพนี้แล้ว ใบหน้าของเขาก็ได้ เขียวปั๊ดด้วยความโมโห แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะโต้แย้งหลินฉีต่อหน้าเสิ่นจ้งหมิงและตัวเขาก็ได้อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไปชั่วขณะ
เห็นได้ชัดว่าในขณะที่ซ่างกวานจ้งนั้นยังลังเลอยู่ว่าจะเผชิญหน้ากับสำนักต่างไฟเพื่อเย่เย่ดีหรือไม่นั้น หลินฉีก็ได้ฉวยโอกาสปล่อยให้ศัตรูเข้ามาในเมืองและเลือกตัวเลือกให้เขาเสร็จสรรพแล้ว พวกเขาต่างก็คิดว่าคนจากสำนักต่างไฟนั้นจะต้องไม่ยอมปล่อยเย่เย่ไปแน่ พวกเขาไม่คิดว่าเรื่องนี้จะสามารถจบลงอย่างสันติได้ตั้งแต่แรกแล้ว
หลินฉีก็ได้ผลักเย่เย่ให้มาอยู่ตรงหน้าเสิ่นจ้งหมิงเพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของเขาและอ้างว่าสิ่งที่เขาทำนั้นก็เพื่อเมืองโม่ไห่ ถึงแม้ว่าซ่างกวานจ้งกับพรรคพวกนักจะรู้สึกไม่พอใจอย่างสุดๆ แต่พวกเขาก็รู้ว่าในเวลานี้นั้นไม่ใช่เวลาที่จะจัดการกับหลินฉี พวกเขาต่างก็ให้ความสนใจไปที่เสิ่นข้งหมิงที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา
“เรียนคุณท่าน ข้าคือซ่างกวานจ้งเจ้าเมืองโบราณโม่ไห่แห่งนี้ ข้าไม่ทราบว่าท่านนั้นจะมาที่เมืองโม่ไห่ของพวกเราจึงไม่ได้เตรียมการต้อนรับท่าน ได้โปรดให้อภัยพวกเราด้วย! เสี่ยวอวี่ไปจัดการเตรียมชาดีๆที่ข้าเก็บรักษาเอาไว้ออกมาชงให้คุณท่าน และในขณะเดียวกันก็ให้ผู้คนในเมืองจัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับให้คุณท่าน วันนี้ข้าจะรับรองอาคันตุกะจากสำนักต่างไฟ!”
ซ่างกวานจ้งก็ได้เดินมาหาเสิ่นจ้งหมองโดยไม่กล้าที่จะถามถึงจุดประสงค์ของเสิ่นจ้งหมิงที่มายังเมืองโม่ไห่ กลับกันตัวเขาได้พยายามเลี่ยงจุดสำคัญและแสดงความขออภัยต่อ เสิ่นจ้งหมิงและหวังจะเลี่ยงความสนใจของเสิ่นจ้งหมิงไปได้สักพัก
“ขะ เข้าใจแล้วค่ะ!”
ซ่างกวานอวี่นั้นก็ได้ตกใจเมื่อได้ยินที่ซ่างกวานจ้งสั่ง หลังจากนั้นสักพักนางก็ตั้งสติได้และผงกหัวให้เขาก่อนที่จะหันหลังและกลับเข้าไปในจวนเจ้าเมืองเพื่อไปเตรียมการให้เสิ่นจ้งหมิง
ท่าทีของทั้งคู่ที่มีต่อเสิ่นจ้งหมิงนั้นต่างไปจากหลินฉี ทำให้เย่เย่ที่อยู่ตรงกลางของพายุนี้ ก็ได้มองเห็นทุกอย่างผ่านสายตาของเขาราวกับว่าเข้าใจอะไรบางอย่างได้ ตัวเขาได้จับจ้องไปที่หลินฉีแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา และยังคงยืนนิ่งอย่างใจเย็นอยู่ด้านหลังของซ่านกวานจ้งและคนอื่นๆ และคอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
หลิ่วซื่อหมิงกับคนอื่นๆนั้นต่างก็มีสีหน้าบอกไม่ถูก พวกเขานั้นไม่รู้ว่าจะทำตามความต้องการของซ่างกวานจ้งดีหรือจะหาทางออกให้เมืองโม่ไห่อย่างหลินฉีดี
ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะจงรักภักดีอย่างมากจ่อซ่างกวานจ้ง แต่เมื่อในเรื่องมาถึงจุดนี้แล้วก็แทบจะไม่มีใครคิดว่าแผนของซ่างกวานจ้งนั้นจะได้ผลกับเสิ่นจ้งหมิง ซึ่งหากมองจากความแข็งแกร่งของเมืองโม่ไห่แล้ว พวกเขานั้นไม่สามารถที่จะต่อกรซึ่งๆหน้ากับสำนักต่างไฟได้เลย จะช่วยเย่เย่จากเสิ่นจ้งหมิงได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ดังนั้นถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะโกรธในความบุ่มบ่ามและพลการของหลินฉี แต่พวกเขาก็รู้สึกได้ว่าในเวลานี้พวกเขาไม่มีทางเลือกและต่างก็คิดที่จะยอมยกเย่เย่ให้อีกฝ่ายเพื่อแลกกับความปลอดภัยของชาวเมืองโม่ไห่
แล้วบรรยากาศที่ลายกว้างหน้าจวนเจ้าเมืองนั้นก็ได้พลันแปลกๆขึ้นมา แม้แต่เสิ่นจ้งหมิงที่เพิ่มมาหาซ่างกวานจ้งกับพรรคพวกนั้นก็ยังงุนงงกับท่าทีของพวกเขา