ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 318 อาคมป้องกันเมืองเทียนไห่
บทที่ 318
อาคมป้องกันเมืองเทียนไห่
“ท่านจะชวนเย่เย่เข้าเป็นศิษย์สำนักต่างไฟอย่างนั้นเหรอ?”
เสิ่งจ้งหมิงก็ได้ตกใจเมื่อเขาได้ยินที่เซี่ยงหวาพูด เขาจึงได้รีบเงยหน้าขึ้นมามองเซี่ยงหวาเพื่อเตือนเขา “ท่านเจ้าสำนักครับ ทางทัณฑ์สวรรค์นั้นไม่ถูกกับผู้มาจุติราวกับเป็นน้ำกับไฟมาโดยตลอด ถ้าหากพวกเรารับผู้มาจุติเข้ามาเป็นศิษย์ของสำนักต่างไฟแล้วล่ะก็ เกรงว่าพวกเราคงไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ให้ทางทัณฑ์สวรรค์ได้เลยนะครับ!”
ในฐานะที่เป็นขุมกำลังที่ทัณฑ์สวรรค์ให้การสนับสนุนแล้ว มันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สำนักต่างไฟจะต้องยอมทำตามทัณฑ์สวรรค์ แม้แต่การแต่งตั้งหรือขับไล่เจ้าสำนักต่างไฟนั้น สำนักต่างไฟเองก็ยังต้องขอความคิดเห็นจากทัณฑ์สวรรค์เสียก่อน มียอดฝีมืออาวุโสมากมายที่ทำตามคำสั่งของทัณฑ์สวรรค์และยึดเอาคำสั่งของทัณฑ์สวรรค์มาก่อนคำสั่งของเจ้าสำนักเซี่ยงหวา
ถ้าหากสำนักต่างไฟนั้นทำตามความต้องการและรักษาผลประโยชน์ของทัณฑ์สวรรค์ทุกหนทุกแห่งในดินแดนเทียนหนานแล้ว ก็จะเกิดสันติกับทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าเกิดมีความเห็นไม่ลงรอยกันระหว่างทัณฑ์สวรรค์กับสำนักต่างไฟแล้ว อย่าว่าแต่เรื่องของการลงทัณฑ์ของทัณฑ์สวรรค์ที่สำนักต่างไฟต้องแบกรับแล้ว อาจจะเกิดการขัดแย้งภายในขึ้นระหว่างสำนักต่างไฟจนทำให้ทั้งสำนักต้องเป็นอัมพาต ซึ่งเสิ่งจ้งหมิงนั้นไม่อยากที่จะคิดถึงเลยถึงผลลัพธ์หลังจากที่เซี่ยงหวารับเย่เย่เข้ามาเป็นศิษย์ของสำนักต่างไฟ
แต่ทว่าเมื่อเซี่ยวหวาได้ยินน้ำเสียงที่เป็นห่วงของ เสิ่นจ้งหมิงแล้ว เขาก็ได้หันหน้ามาและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย “ฮ่าๆ ดูสีหน้ากังวลของเจ้านั่นสิ เจ้าคิดว่าข้าแก่แล้วเลอะเลือนอย่างนั้นเหรอ?”
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านหมายความว่าอย่างไรกันแน่?”
เสิ่นจ้งหมิงก็ได้มองไปที่เซี่ยงหวาอย่างสงสัย แน่นอนว่าตัวเขานั้นไม่เข้าใจว่าเซี่ยงหวานั้นหมายถึงอะไรกันแน่
แล้วเซี่ยงหวาก็ได้เก็บรอยยิ้มของเขากลับไป และมีความเย็นยะเยือกปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาแล้วกล่าวกับเสิ่นจ้งหมิง “จริงอยู่ที่สำนักต่างไฟของเรานั้นได้รับการสนับสนุนจากทัณฑ์สวรรค์ แต่สำนักต่างไฟของเราก็ได้ทำงานให้กับทัณฑ์สวรรค์ตั้งมากมายในหลายปีมานี้ จนสำนักของเราแทบจะกลายเป็นสำนักสาขาของทัณฑ์สวรรค์ในเทียนหนานไปแล้ว และนับแต่สำนักต่างไฟของเราได้กลายมาเป็นขุมกำลังอันดับหนึ่งในดินแดน เทียนหนานนั้น การช่วยเหลือจากทัณฑ์สวรรค์ที่มีต่อสำนักต่างไฟนั้นก็ได้ขาดหายไป อีกทั้งยังกดดันสำนักของเราโดยจงใจหรือไม่จงใจก็ตาม ซึ่งทัณฑ์สวรรค์นั้นคงจะกลัวว่าสำนักต่างไฟของเรานั้นจะกลายมาเป็นขุมกำลังอันดับต้นๆระดับเดียวกันกับสามเขาศักดิ์สิทธิ์หลังจากที่พวกเรารวมดินแดนเทียนหนานได้สำเร็จเป็นแน่”
เมื่อพูดเช่นนี้แล้ว ความหนาวเย็นในดวงตาของเซี่ยงหวานั้นก็ได้เย็นยะเยือกกว่าเดิม แล้วกล่าวกับเสิ่นจ้งหมิงต่อด้วยน้ำเสียงที่ดูน่าเกรงขามมากขึ้น “ทัณฑ์สวรรค์นั้นใช้อิทธิพลเข้าควบคุมศิษย์ระดับอาวุโสสำนักต่างไฟของเราเพื่อยุแยงทำให้เกิดการแตกแยกภายในสำนักขึ้น เพื่อดึงเอายอดฝีมือของเราไปและบั่นทอนอำนาจเจ้าสำนักอย่างข้า ถ้าหากข้าไม่ทำอะไรเลยก็เกรงว่าสำนักต่างไฟคงได้กลายเป็นทัณฑ์สวรรค์ไปในไม่ช้า ในเมื่อพวกเขาคิดไม่ซื่อกับพวกเราก่อนก็อย่ามาโทษพวกเราที่คิดไม่ซื่อบ้างก็แล้วกัน เพื่อป้องกันไม่ให้สำนักต่างไฟของพวกเราโดนฉีกหน้าโดยทัณฑ์สวรรค์แล้ว พวกเราจะต้องเตรียมตัวเอาไว้ให้ดี และการชักชวนผู้มาจุติให้มาเข้าร่วมกับสำนักของเราก็เป็นหนึ่งในแผนการนั้น”
หลังจากที่เซี่ยงหวาได้อธิบายให้เสิ่นจ้งหมิงฟัง เขาก็ได้มองไปที่เสิ่นจ้งหมิงและกล่าวต่อด้วยสีหน้าที่จริงจัง “นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมข้าถึงได้เรียกให้เจ้ามาหาในเวลานี้ เพราะเจ้าเป็นศิษย์ในระดับอาวุโสของสำนักเพียงไม่กี่คนที่ข้าไว้วางใจ ข้าอยากให้เจ้าไปที่เมืองโม่ไห่ไปพาตัวเย่เย่มาที่สำนักของพวกเรา หากว่าเขายอมที่จะมาเป็นศิษย์สำนักต่างไฟของเราแล้ว ไม่ว่าคนในสำนักจะคัดค้านมากมายขนาดไหน ข้าก็จะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะฝึกเขาให้กลายมาเป็นศูนย์กลางของสำนักต่างไฟให้ได้ และทำให้เขากลายมาเป็นกระบี่ที่แหลมคมเพื่อใช้สู้กับทัณฑ์สวรรค์!”
เมื่อเห็นแววตาที่แน่วแน่ในดวงตาของเซี่ยงหวาแล้ว เสิ่นจ้งหมิงก็รู้สึกได้ถึงภาระหนักอึ้งที่ตกลงบนบ่าของเขา
ถึงแม้ว่าเมื่อสักครู่เซี่ยงหวานั้นจะพูดเหมือนไม่มีอะไร แต่เขาก็จินตนาการได้ถึงมรสุมเลือดที่เซี่ยงหวาต้องผ่านในสำนักต่างไฟก่อนที่จะเรียกตัวเขามา และที่ตกใจมากขึ้นไปอีกคือเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความลับ แม้แต่คนในสำนักรุ่นเดียวกันกับเขาก็ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้มาก่อน
การที่เซี่ยงหวานั้นมาปรากฏตัวตรงหน้าเขาโดยไร้รอยขีดข่วนเช่นนี้ ก็หมายความว่าเหล่าศิษย์อาวุโสในสำนักที่อยู่ฝ่ายทัณฑ์สวรรค์นั้นคงทำพลาดไปหมดแล้ว และคาดว่าเขาคงจะไม่ได้พบศิษย์อาวุโสเหล่านั้นอีกต่อไปแล้ว
ถึงแม้ว่าจะตกใจเพียงใดเสิ่งจ้งหมิงก็ยังต้องคอยสนับสนุนการตัดสินใจของเซี่ยงหวาอย่างหนักแน่น และในคราวนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เมื่อเห็นสายตาที่คาดหวังของเซี่ยงหวาแล้วเสิ่นจ้งหมิงก็ได้พลันคุกเข่าต่อหน้าเซี่ยงหวาและตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ขอท่านเจ้าสำนักได้โปรดจงวางใจ ศิษย์จะรีบออกไปเดี๋ยวนี้และนำความตั้งใจของท่านเจ้าสำนักนี้ไปส่งถึงเย่เย่ให้จงได้!”
จากสถานการณ์ในปัจจุบันของสำนักต่างไฟแล้ว มันสำคัญมากที่จะชักชวนผู้มีความสามารถและพัฒนาผู้มีความสามารถเหล่านั้นให้มารับใช้สำนักต่างไฟ และผู้มาจุตินั้นมีชะตากรรมที่จะต้องเป็นปรปักษ์กับทัณฑ์สวรรค์ราวน้ำกับไฟ ซึ่งจากสถานการณ์ในปัจจุบันของสำนักต่างไฟแล้ว ผู้มาจุตินั้นจะไม่มีทางทรยศฝั่งของเซี่ยงหวาที่คิดจะสู้กับทัณฑ์สวรรค์เป็นแน่ และด้วยเหตุผลนี้เองที่ว่าทำไมเซี่ยงหวานั้นถึงได้รู้สึกสนใจในตัวของเย่เย่นัก
หลังจากที่เสิ่นจ้งหมิงนั้นเข้าใจว่าทำไมเซี่ยงหวาถึงได้ให้ความสำคัญกับเย่เย่แล้วตัวเขาก็ได้หันหลังและเตรียมที่จะเดินทางไปยังเมืองโม่ไห่เพื่อไปพาเย่เย่มายังสำนักต่างไฟแล้ว ซึ่งก่อนที่จะจากไปเสิ่นจ้งหมิงก็พลันนึกถึงเรื่องๆนึงได้ขึ้นมา เขาจึงได้หยุดเดินแล้วหันกลับไปถามเซี่ยงหวาอย่างระมัดระวัง “ท่านเจ้าสำนักครับ ถ้าหากเย่เย่ไม่อยากที่จะมากับศิษย์ จะให้ศิษย์จัดการ….”
ในขณะที่กำลังพูดอยู่นั้นเสิ่นจ้งหมิงก็ได้ทำท่าเฉือนคอให้เซี่ยงหวาดู
เซี่ยงหวาก็ได้ตกใจไปสักพักหนึ่งราวกับว่าเขานั้นไม่ได้คิดถึงความเป็นไปได้นี้มาก่อน แต่ก็ได้กะพริบตาและส่ายหัวของเขาแล้วกล่าวกับเสิ่งจ้งหมิงเบาๆ “ปล่อยเขาไปก่อนยังไงก็คงได้เจอกันอีกในอนาคต! ผู้มาจุตินั้นมีชะตากรรมที่ต้องเป็นศัตรูกับทัณฑ์สวรรค์อยู่แล้ว ต่อให้เขาไม่เข้าร่วมกับสำนักต่างไฟของเรา แต่เขาก็ยังสามารถช่วยเหลือเราได้ในอนาคตอยู่ดี ปล่อยให้เขาคอยดึงความสนใจของพวกทัณฑ์สวรรค์ให้เราได้ ไม่จำเป็นต้องสังหารเขาหรอก!”
เดิมทีสำนักต่างไฟนั้นเป็นขุมกำลังที่มีทัณฑ์สวรรค์คอยหนุนหลัง ซึ่งก็ควรที่จะต้องไม่ถูกกับผู้มาจุติ แต่เพราะว่าความสัมพันธ์ระหว่างสำนักต่างไฟกับทัณฑ์สวรรค์นั้นกลับตาลปัตร เซี่ยงหวานั้นก็เห็นว่าผู้มาจุดนั้นเป็นพันธมิตรที่มากความสามารถอยู่ดี ซึ่งภายใต้สถานการณ์เช่นนี้แล้วต่อให้ เซี่ยงหวานั้นไม่ได้ผู้มาจุติมาเป็นพวก แต่เขาก็ยังคิดที่จะใช้ประโยชน์จากผู้มาจุตินั้นช่วยเขาดึงดูดความสนใจของทัณฑ์สวรรค์อยู่ดี
หลังจากที่ได้รับทราบคำสั่งที่ชัดเจนจากเซี่ยงหวาแล้ว เสิ่นจ้งหมิงก็ได้ผงกหัวอย่างจริงจังแล้วจากนั้นก็ได้หันหลังและหายไปจากห้องของท่านเจ้าสำนัก
ไม่นานนักก็ได้มีเสียงคล้ายนกเหยี่ยวดังก้องไปทั่วสำนักต่างไฟ แล้วเสิ่นจ้งหมิงก็ได้ขี่เหยี่ยวทะยานฟ้าทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและมุ่งหน้าไปยังเมืองโม่ไห่
เหยี่ยวทะยานฟ้านั้นเป็นสัตว์อสูรบินได้ที่มีความเร็วเหนือกว่าอินทรีทองคำหกปีกเสียอีก ซึ่งทั่วทั้งดินแดนเทียนหนานมีเพียงสำนักต่างไฟเท่านั้นที่สามารถหาสัตว์อสูรชนิดนี้ไว้ใช้ได้ ถึงแม้ว่าสำนักต่างไฟนั้นจะอยู่ห่างจากเมืองโม่ไห่มาก แต่เสิ่นจ้งหมิงที่ขี่เหยี่ยวทะยานฟ้านั้นใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงแล้ว
ในเวลานี้ที่เมืองโม่ไห่นั้นเพิ่งจะฟื้นจากการเฉลิมฉลองที่เย่เย่นั้นยอมเข้าร่วมกับเมืองโม่ไห่ แต่ทว่าเนื่องจากผลกระทบขนาดใหญ่ที่ตามมาหลังจากการต่อสู้ของเย่เย่กับเจี่ยงหลีเซิ่งนั้น และความจริงที่ว่าดินแดนเทียนหนานในเวลานี้นั้นอยู่ในภาวะวิกฤติด้วยแล้ว ซ่างกวานจ้งเจ้าเมืองโม่ไห่หลังจากที่ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว ในที่สุดก็ได้กัดฟันทนและสั่งให้ลูกน้องของเขาเริ่มทำการวางอาคมป้องกันเมืองโม่ไห่ ซึ่งเป็นอาคมป้องกันเมืองทั้งท้องฟ้าและทะเล!
อาคมป้องกันเมืองเทียนไห่นั้นอยู่คู่กับเมืองโม่ไห่มาเป็นเวลานานแล้ว และไม่รู้ว่าเจ้าเมืองรุ่นไหนที่เป็นคนวางอาคมนี้เอาไว้ แต่พลังของอาคมป้องกันเมืองเทียนไห่นั้นก็น่าเกรงขามนี้ก็ได้ฝังรากลึกอยู่ในใจผู้คนมานานแล้ว เปรียบเสมือนเสาค้ำทะเลตงไห่ในใจของชาวเมืองโม่ไห่ เพราะเมื่อใดที่อาคมป้องกันเมืองเทียนไห่ทำงาน แม้แต่ยอดฝีมือระดับสูงสุดของจักรพรรดิเทพก็ยังไม่อาจที่จะทำลายอาคมป้องกันที่สุดยอดนี้ได้ในเวลาสั้นๆได้
ถึงแม้ว่าอาคมป้องกันเมืองเทียนไห่นั้นจะไม่สามารถหยุดยั้งการทำลายของยอดฝีมือจักรพรรดิเทพระดับสูงสุดได้เป็นเวลานานๆก็ตามที แต่มันก็เพียงพอที่จะซื้อเวลาให้ผู้คนในเมืองได้หลบหนีไป อย่างไรเสียอาณาเขตของอาคมป้องกันเมือง เทียนไห่นี้ก็มีขนาดกว้างใหญ่มาก ตราบเท่าที่ผู้คนในจวนเจ้าเมืองนั้นมีเวลาเตรียมการได้มากพอ ต่อให้เป็นยอดฝีมือจักรพรรดิเทพระดับสูงสุดก็ไม่อาจมองหาได้ว่าบุคคลระดับใหญ่โตของเมืองโม่ไห่นั้นหนีไปที่ไหนอย่างแม่นยำได้
จุดอ่อนเพียงข้อเดียวคืออาคมป้องกันเมืองเทียนไห่นี้จำเป็นต้องใช้ยอดฝีมือระดับราชันย์เทพ 1 คนเพื่อเปิดใช้งานด้วยตัวเอง หรือพูดอีกอย่างก็คือในระหว่างที่อาคมเทียนไห่ถูกใช้งานนั้นจะต้องมียอดฝีมือราชันย์ คนอยู่ในเมืองโม่ไห่เพื่อคอยเปิดใช้งานอาคมให้ทำงานอยู่ตลอดเวลาด้วยพลังของตัวเองและไม่สามารถไปไหนมาไหนตามต้องการได้ แม้แต่ในระหว่างที่ผู้คนพากันหลบหนีนั้น ยอดฝีมือราชันย์เทพที่คอยเปิดใช้งานอาคม เทียนไห่อยู่นั้นก็ทำได้แค่มองดูคนอื่นหนีไปเท่านั้นไม่อาจหนีไปกับคนอื่นๆได้
ด้วยหน้าที่อันหนักอึ้งนี้ทำให้เหล่าราชันย์เทพในเมือง โม่ไห่นั้นพากันหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด ถ้าหากไม่ใช่เพราะหลินฉีที่เพิ่งบรรลุขึ้นเป็นราชันย์เทพนั้นเป็นคนขอทำหน้าที่นี้ด้วยตัวเองแล้ว ซ่างกวานจ้งก็คงจะหาผู้ที่รับหน้าที่นี้ในระยะเวลาสั้นๆไม่ได้แน่
ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของซ่างกวานจ้งและเป็นน้องใหม่ที่เข้ามาร่วมก๊วนราชันย์เทพแล้ว หลินฉีจึงย่อมถ่อมตัวเป็นพิเศษ และอาสาเป็นคนรับผิดชอบดูแลอาคมป้องกันเมืองเทียนไห่เอง ซึ่งได้ทำให้หลิ่วซื่อหมิงและคนอื่นๆนั้นรู้สึกอับอาย และความชื่นชอบที่มีต่อหลินฉีเพิ่มขึ้นอย่างมาก
แต่ทว่าความคิดที่แท้จริงในใจของหลินฉีนั้นยังห่างไกลกับที่ซ่างกวานจ้งและคนอื่นๆคิดเอาไว้มาก
ซึ่งเหตุผลเพียงหนึ่งเดียวที่ทำไมหลินฉีนั้นถึงได้รีบบรรลุขึ้นเป็นราชันย์เทพภายใต้แรงกดดันและยังอาสารับงานที่ไม่มีใครอยากทำอย่างอาคมป้องกันเมืองเทียนไห่นี้ นั่นก็เป็นเพราะเย่เย่นั่นเอง!
เดิมทีหลินฉีนั้นไม่ได้เป็นปรปักษ์อะไรกับเย่เย่เลย แต่หลังจากที่เขารู้ถึงฐานะของเย่เย่ที่เป็นผู้มาจุติแล้ว ความคิดที่จะกำจัดเย่เย่นั้นก็ได้ผุดขึ้นมาในใจของเขา
เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขานั้นทำให้หลินฉีนั้นเต็มไปด้วยความชิงชังต่อผู้มาจุติ นอกจากนี้การปรากฏตัวของเย่เย่นั้นก็ยังเป็นภัยต่อตำแหน่งใหญ่โตของเขาในเมืองโม่ไห่ด้วย ดังนั้นความต้องการจะฆ่าเย่เย่ของหลินฉีนั้นก็ได้มีแต่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆตามกาลเวลา
ซึ่งเรื่องที่ตัวตนในฐานะผู้มาจุติของเย่เย่ถูกเปิดเผยออกไปนั้นก็เป็นฝีมือของหลินฉีเอง ซึ่งผู้คุมในคุกนั้นเป็นเพียงแพะรับบาปแทนหลินฉีเท่านั้น แต่เพราะซ่างกวานอวี่และคนอื่นๆนั้นเชื่อใจหลินฉีอย่างมาก จึงได้ไม่สงสัยเขาเลย
และเหตุผลที่ว่าทำไมหลินถึงได้ปล่อยข่าวเรื่องตัวตนของเย่เย่ออกไปนั้นไม่ใช่เพราะต้องการให้ขุมกำลังอื่นๆมาพาตัวเย่เย่ไป แต่จุดประสงค์จริงๆของเขาคือการยืมดาบฆ่าคนและปล่อยให้เย่เย่ต้องตายไร้ที่ฝังศพเพราะตัวตนของเขาถูกเปิดเผย
แต่ก่อนที่เหล่ายอดฝีมือในเมืองหลงเจียงจะมาเพื่อมาหาเย่เย่นั้น หลินฉีก็ได้แอบส่งคนขี่อินทรีทองหกปีกมุ่งหน้าไปยังสำนักแก้วหลากสีเพื่อไปรับซ่างกวานจ้งและคนอื่นๆกลับมา เพราะหลินฉีนั้นไม่มั่นใจว่าเย่เย่นั้นจะยอมไปที่เมืองหลงเจียงหรือไม่
ซึ่งถ้าหากเย่เย่ยอมติดตามไปและได้ทรัพยากรจากเมืองหลงเจียงและพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆแล้ว แผนการยืมดาบฆ่าคนของหลินฉีนั้นก็จะสูญเปล่าและเป็นการช่วยเหลือเย่เย่แทน แน่นอนว่าตัวเขานั้นไม่ยอมปล่อยให้เป็นแบบนั้นแน่ เขาจึงได้เตรียมการล่วงหน้าเอาไว้ก่อน
ซึ่งจริงๆแล้วในตอนที่สิงเทียนหมิงกับคนอื่นๆได้ถูกเย่เย่ปฏิเสธและคิดที่จะสังหารเย่เย่นั้น หลินฉีก็ได้มองเห็นความหวังว่าแผนการของเขาคงจะสำเร็จเป็นแน่ แต่ทว่าในเมื่อเมืองโม่ไห่กับเมืองหลงเจียงนั้นเป็นศัตรูไม้เบื่อไม้เมากัน ซ่างกวานอวี่ก็ได้ปฏิเสธที่จะอยู่เฉยๆมองดูเย่เย่ถูกสิงเทียนหมิงสังหารได้ จึงได้เลือกที่จะยอมเสี่ยงและออกตัวปกป้องเย่เย่ในเวลานั้น
ซึ่งใจหนึ่งเป็นเพราะหลินฉีนั้นมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับซ่างกวานอวี่และไม่อยากที่จะเห็นซ่างกวานอวี่นั้นต้องกลายเป็นเหยื่อเพราะแผนการนี้ของเขา ส่วนอีกใจหนึ่งก็เป็นเพราะตัวเขานั้นต้องการที่จะใช้เรื่องนี้เป็นการทำให้ความสงสัยของเขาที่ว่าจะเป็นคนปล่อยข่าวเย่เย่นั้นหายไป ดังนั้นซ่างกวานอวี่กับคนอื่นๆนั้นจึงได้เข้าใจและเชื่อใจเขามากขึ้นไปอีก
ซึ่งอย่างที่คิดเอาไว้เป็นเพราะความกล้าหาญของหลินฉี ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้ซ่างกวานอวี่กับคนอื่นๆนั้นเลิกสงสัยในตัวของเขาแล้ว แต่หลินฉียังได้บรรลุขึ้นเป็นราชันย์เทพเพราะของรางวัลจากซ่างกวานจ้งในคราวเดียวอีกด้วย
ซึ่งหลินฉีที่คิดว่าหลังจากที่เขาขึ้นเป็นราชันย์เทพแล้วช่องว่างระหว่างตัวเขากับเย่เย่นั้นคงจะลดลงไปอย่างมาก แต่ทว่าพอเขาออกมาข่าวแรกที่เขาได้ยินคือเย่เย่สามารถสังหาร เจี่ยงหลีเซิ่งได้ในการประลอง ชื่อเสียงของเขาก็ได้โด่งดังไปทั่วดินแดนเทียนหนาน และไม่เพียงแค่นั้นซ่างกวานจ้งยังแต่งตั้งให้เย่เย่เป็นรองเจ้าเมืองโม่ไห่อีกต่างหาก ซึ่งกลายเป็นว่าทั้งพลังและฐานะนั้นเหนือกว่าหลินฉีไปไกลมาก ทำให้หลินฉีนั้นแอบชิงชังเย่เย่ในใจ แล้วความอยากฆ่าเย่เย่ของเขานั้นก็ได้หนักแน่นมากยิ่งขึ้นไปอีก