ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 314 เจี่ยงหลีเซิง
บทที่ 314
เจี่ยงหลีเซิง
วันต่อมาในระหว่างที่หลินฉีได้ประกาศเก็บตัวเพื่อที่จะผ่านคอขวดในการบรรลุราชันย์เทพนั้น เย่เย่ก็ได้อาศัยโอกาสนั้นเข้าหาซ่างกวานอวี่และกล่าวกับนาง “แม่นางซ่างกวาน ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องนิดหน่อย และหวังว่าแม่นางจะตอบรับคำขอ!”
“เชิญท่านเย่บอกมาได้เลย!”
เพราะว่าตัวเธอนั้นค่อนข้างคุ้นเคยกับเย่เย่แล้ว ซ่างกวานอวี่จึงไม่ได้ห่างเหินกับเย่เย่เหมือนแต่ก่อน ซึ่งพอได้ยินที่เย่เย่ถามจึงได้รีบตอบรับด้วยความกระตือรือร้น
ซึ่งจริงๆแล้วหลังจากงานเลี้ยงเมื่อคืนนี้ ถึงแม้ว่า ซ่างกวานจ้งนั้นจะไม่ได้แสดงความสนใจต่อเย่เย่มากนัก แต่ตัวเขาก็ได้แอบบอกให้ซ่างกวานอวี่นั้นให้คอยเอาอกเอาใจเย่เย่ต่อไป หากว่าคำขอของเย่เย่นั้นไม่มากจนเกินไป ซ่างกวานจ้งก็ได้บอกให้ซ่างกวานอวี่นั้นจัดหาสิ่งที่เย่เย่ต้องการให้
ไม่ว่าซ่างกวานจ้งนั้นจะตั้งใจหรือไม่ก็ตามที แต่ ซ่างกวานอวี่ก็เข้าใจจุดประสงค์ของซ่างกวานจ้งที่ต้องการจะจับคู่เธอกับเย่เย่ ซึ่งแสดงให้ว่าตัวเขานั้นให้ความสำคัญกับเย่เย่ไม่น้อยกว่าสิงเทียนหมิง เพียงแต่ว่าซ่างกวานอวี่นั้นยังไม่มีความคิดเช่นนั้นในเวลานี้ ซ่างกวานจ้งจึงได้ไม่เร่งและฝืนใจบังคับให้ซ่างกวานอวี่นั้นเข้าหาเย่เย่
ถึงแม้ว่าซ่างกวานอวี่นั้นจะยังไม่มีความคิดเป็นอื่นกับเย่เย่ แต่ท่าทีของเธอที่ต้องการให้เย่เย่มาเข้าร่วมกับเมืองโม่ไห่นั้นยังไม่เคยเปลี่ยน ดังนั้นทันทีที่เธอเห็นเย่เย่มาขอร้องเธอนั้น เธอก็ได้รีบวางเรื่องอื่นไว้ชั่วคราวเพื่อตอบรับเย่เย่ทันที
“คือว่า ต้องขอบคุณการดูแลของแม่นางซ่างกวานในช่วงหลายวันมานี้มาก ทำให้บาดแผลของข้านั้นหายดีแล้ว เพื่อที่จะตอบแทนน้ำใจของเมืองโม่ไห่แล้ว ข้าจึงอยากที่จะออกไปล่าสัตว์ทะเลที่ทำลายเรือนอกฝั่งและทำความเดือดร้อนให้ผู้คน ข้าหวังว่าแม่นางซ่างกวานจะจัดหาคนนำทางที่พอจะคุ้นเคยกับพื้นที่บริเวณนอกฝั่งให้หน่อย จะเป็นพระคุณมาก!”
เย่เย่ก็ได้กล่าวคำขอร้องของเขาให้ซ่างกวานอวี่ฟังด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงของเขานั้นดูจริงใจอย่างสุดๆ ราวกับว่าตัวเขานั้นรู้สึกไม่ค่อยสบายใจถ้าหากไม่ได้ตอบแทนน้ำใจ
แต่จริงๆแล้วเย่เย่นั้นมีเหตุผลอื่นนอกจากที่เขากล่าวออกไปซ่อนอยู่
อีกเหตุผลที่ว่าก็คือเพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขาให้เมืองโม่ไห่และดินแดนเทียนหนานได้เห็น ซึ่งเย่เย่นั้นคิดที่จะฆ่าสัตว์อสูรทะเลในระดับราชันย์เทพสักตัวสองตัว แล้วอีกเหตุผลหนึ่งก็คือซากของสัตว์อสูรทะเลนั้นมีราคามาก ซึ่งเย่เย่นั้นคิดที่จะขนเอาสัตว์ทะเลที่เขาฆ่ากลับมาแล้วขาย ซึ่งหลังจากที่ได้ตั๋วทองมาเขาก็ได้เอาไปเติมเงินเข้าระบบในโทรศัพท์มือถือ
ถึงแม้ว่าจะยังมีซากของมังกรสองหัวอยู่ในแหวนของเขา แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเปิดเผยความจริงเรื่องที่เขาฆ่ามังกรสองหัวไปในเวลานี้เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับความลับของเย่เย่ แต่ทว่าการจะฝึกวิชาในระดับราชันย์เทพนั้นจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรเป็นจำนวนมาก เย่เย่จึงจำต้องหาทางทำเงินแล้วเอาไปเติมเงินโดยด่วน ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่เขาจะมีโอกาสได้ฝึกวิชา
“ท่านเย่ไม่จำเป็นต้องลำบากก็ได้ ลำพังแค่การมาถึงของท่านก็ได้ทำให้เมืองโม่ไห่รุ่งเรืองแล้ว ทำไมจะต้องไปลำบากทำอะไรแบบนั้นด้วย? แต่ถ้าหากท่านเย่ยังคงยืนกรานเช่นนั้นแล้วล่ะก็ ตัวข้าจะอาสาเป็นคนพาท่านไปเอง ไม่ต้องเป็นห่วงนะทั่วทั้งเมืองโม่ไห่แล้วมีคนที่รู้เรื่องของนอกฝั่งดีกว่าข้าแทบจะนับคนได้ มีข้าเป็นคนนำทางแล้วท่านจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน!”
ถึงแม้ซ่างกวานอวี่นั้นจะไม่รู้ว่าเย่เย่นั้นจริงๆคิดอะไรอยู่ แต่เธอก็ยังต้องการที่จะใช้โอกาสนี้สังเกตความแข็งแกร่งของเย่เย่ ถ้าหากความแข็งแกร่งของเย่เย่นั้นเหนือความคาดหมายไว้ ซ่างกวานอวี่ก็จะต้องเพิ่มความพยายามในการชักชวนเย่เย่เข้าไปอีก และยอมทำตามที่ซ่างกวานจ้งเสนอเมื่อคืนให้เธอชักชวนเย่เย่มาเข้าร่วมในฐานะลูกเขยของเจ้าเมืองโม่ไห่
เมื่อคิดเช่นนี้แล้วซ่างกวานอวี่ก็ได้หน้าแดงขึ้นมาและไม่กล้าที่จะมองตาของเย่เย่
เย่เย่ที่เห็นซ่างกวานอวี่มีท่าทีเขินอายแล้วก็คิดว่าเธอคงจะอายในสิ่งที่เธอโอ้อวดเมื่อสักครู่เป็นแน่ จึงได้มีรอยยิ้มจางๆปรากฏบนใบหน้าของเขา
“ขอบคุณแม่นางซ่างกวานมาก! ข้าเชื่อว่าแม่นาง ซ่างกวานจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังเช่นกัน!”
แล้วพวกเขาก็ได้จัดเก็บข้าวของแล้วมุ่งหน้าไปที่ชายหาด
ในขณะที่เย่เย่ได้ตามซ่างกวานอวี่ออกไปนอกชายหาดเพื่อสังหารสัตว์อสูรทะเลนั้น ก็ได้มีจอมยุทธ์ไม่คุ้นหน้าจำนวนมากจู่ๆหลั่งไหลเข้ามาในเมืองโม่ไห่
เกือบทั้งหมดนั้นล้วนมาตามข่าวของผู้มาจุติ แต่ทว่าจุดประสงค์ของพวกเขานั้นล้วนต่างกันไปแต่ละคน มีบางคนที่มาตามสืบหาข้อมูลเฉพาะของผู้มาจุติในฐานะขุมอำนาจหนึ่ง ในขณะที่คนอื่นๆต่างก็สงสัยและอยากจะพบว่าผู้มาจุติในข่าวลือนั้นจะเหนือกว่าคนธรรมดาๆสักแค่ไหน
ซึ่งในบรรดาคนเหล่านี้มีชายหนุ่มร่างใหญ่พกกระบี่ที่ดูโดดเด่นมากอยู่ผู้หนึ่ง
ถึงแม้ว่าชายคนนั้นจะมีร่างกายสูงใหญ่ แต่ก็มีพลังที่แผ่ออกมาอย่างไม่ธรรมดา ราวกับเป็นยอดฝีมือที่เข้าไปยุ่งด้วยง่ายๆไม่ได้ และมีปานแดงอยู่ที่ตาซ้ายซึ่งซ่อนเอาไว้อยู่ภายใต้ลูกตาขวาแลดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก ไม่เพียงแค่นั้นนอกจากเปียสั้นๆที่อยู่บนหลังหัวของชายคนนั้นแล้ว บริเวณอื่นๆบนหัวนั้นไม่มีผมอยู่เลยซึ่งทำให้กลายเป็นที่ดึงดูดสายตาผู้คนมากขึ้นไปอีก
ตัวเขาได้เดินอย่างไม่สนใจอะไรไปตามถนนในเมืองโม่ไห่โดยไม่สนสายตาของผู้คนที่อยู่รอบตัวเขา เมื่อชายคนนั้นได้เดินเข้าไปในร้านอาหารเพื่อทานอาหารนั้น ก็ได้มีเหล่าอันธพาลกลุ่มหนึ่งที่อยู่ที่โต๊ะข้างๆเขานั้นที่ทำตัวห้าวหาญไม่ไว้หน้าเขา ซึ่งในขณะที่กำลังเมาพวกเขาก็ได้หัวเราะเสียงดังและพูดถึงรูปลักษณ์ของชายคนนั้น
“ดูรูปลักษณ์น่ากลัวนั่นสิ สงสัยเขาคงถูกได้ถูกพ่อแม่ทิ้งตั้งแต่เกิดแหงๆเลยว่ะ!”
“เฮ้ยๆ! อย่าพูดอย่างนั้นสิ คนอย่างเขาน่ะถ้าเป็นลูกข้าก็ไม่เอาเหมือนกันล่ะวะ!”
“ฮ่าๆๆ คนเขาเรียกว่าผู้แสวงหาอิสรภาพเจ้าไม่เข้าใจรึยังไง? ไม่ก็เกิดภายใต้ดาวกาลกิณี! บางทีอาจจะเกิดมาจากก้อนหินก็ได้นะ!”
“ที่แท้ก็เป็นลูกไม่มีพ่อแม่นี่เอง เป็นเด็กนอกคอกของแท้เลยว่ะ! สุดยอดๆ!”
แล้วผู้คนกลุ่มนั้นก็พากันพูดคุยและหัวเราะคนที่นั่งอยู่ข้างๆโดยไร้ซึ่งความเกรงใจ ในขณะที่กำลังพูดอยู่ก็มองไปที่ชายคนนั้นอย่างยั่วโมโหราวกับกำลังรอให้เขาโจมตีเข้ามา
แต่ทว่าชายคนนั้นกลับทำหูทวนลมกับคำพูดของพวกเขา และเพลิดเพลินไปกับอาหารและสุราที่อยู่บนโต๊ะด้วยสีหน้าที่สงบตั้งแต่เริ่มยันจบ
เหล่าลูกค้าที่อยู่ในห้องรับรองของร้านอาหารนั้นต่างก็คอยมองดูเหตุการณ์นี้อยู่ พวกเขาต่างก็มองดูราวกับกำลังดูอะไรสนุกๆอยู่ โดยไม่มีใครเปิดปากออกมาเพื่อหยุดมุกตลกฝืดๆของอันธพาลกลุ่มนี้เลยราวกับว่าพวกเขากลัวว่าโลกนี้จะสงบเกินไป จึงได้ส่งสายตาสนับสนุนไปที่กลุ่มอันธพาลเหล่านั้น
แล้วอันธพาลกลุ่มนั้นก็เหมือนกับจะสนุกสนานมากขึ้นไปอีกเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาเหล่านี้ พวกเขาจึงได้พูดยั่วยุชายคนนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ และพูดออกมาแทบจะเป็นคำหยาบคายล้วนๆออกมาเท่าที่พวกเขาจะคิดได้ แต่ชายคนนั้นก็ยังคงนิ่งเฉย ทำให้เหล่าอันธพาลเริ่มไม่พอใจซึ่งหลังจากที่มองหน้ากันเองแล้ว พวกเขาก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาชายคนนั้น
“เฮ้ย แกหูหนวกรึยังไงวะ? แกไม่โกรธบ้างรึยังไงที่พวกข้าพูดเยาะเย้ยแกบ้างรึยังไงวะ โธ่ไอ้ขี้ขลาดเอ๊ย!”
หัวหน้ากลุ่มอันธพาลนี้มีชื่อว่าหวังหล่าง แล้วเขาก็ได้พวกลูกน้องของเขามาหาชายคนนั้น แล้วก็ได้วางขาไว้บนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆชายคนนั้นด้วยสายตาที่ดุดันและยั่วโมโห
ตูม!
แล้วสิ่งที่ทักทายหวังหล่างนั้นคือหมัดเงียบๆของชายคนนั้น!
“อ๊าก!”
แล้วในขณะที่หวังหล่างไม่ทันได้ระวังตัว เขาก็ได้โดยต่อยจนกระเด็นกระดอนโดยชายคนนั้นและกระแทกเข้ากับโต๊ะที่อยู่ข้างหลังเขา มีเลือดไหลออกมาจากจมูกของหวังหล่างและอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็ได้ทำให้หวังหล่างต้องกรีดร้องออกมา ใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยน้ำมูกและน้ำตาอย่างน่าอับอาย
“บ้าเอ๊ย! นี่แกรนหาที่ตายงั้นเหรอ?”
“กล้าทำลายลูกพี่หวัง คงเบื่อชีวิตแล้วสินะ!”
“ถ้าวันนี้แกไม่ทิ้งมือไว้ที่นี่ข้างนึง ก็อย่าหวังจะได้ออกไปจากที่นี่เลย!”
เมื่ออันธพาลคนอื่นๆเห็นหวังหล่างทุกทำร้าย พวกเขาก็ได้พากันรุมทำร้ายชายคนนั้นด้วยความโมโหทันที
พวกเขานั้นต่างก็มีวรยุทธ์อยู่ในระดับเทพอสูร และพวกเขาต่างก็ไม่เห็นชายคนนั้นอยู่ในสายตา และต่างก็คิดว่าที่ หวังหล่างร่วงไปนั้นเป็นเพราะอีกฝ่ายลอบโจมตี แต่ในขณะที่ชายหนุ่มชักเอากระบี่ออกมา ก็ได้มีแสงพาดผ่านคอของคนเหล่านี้ และพวกอันธพาลเหล่านี้ก็ได้พลันรู้สึกตัวขึ้นมา
ซู่ซู่ซู่!
ในขณะที่กำลังอยู่ในภวังค์นั้น พวกเขาต่างก็ได้เห็นเลือดสีแดงพลันไหลพุ่งออกมาจากคอของศพไร้หัว ย้อมเอาเลือดและผักบนโต๊ะกลายเป็นสีแดงฉาน และภาพที่อยู่เบื้องหน้าก็ได้นองไปด้วยเลือดอย่างสุดๆ จากนั้นพวกสารเลวเหล่านี้ก็ได้หลับตาลงไปชั่วนิรันดร์ แล้วหัวขนาดใหญ่ก็ได้กลิ้งลงไปบนถนนจากในร้านอาหาร ทำให้ผู้ที่สัญจรไปมานั้นพากันแตกตื่น
“กรี๊ด!”
“หัวเต็มไปหมดเลย!”
“สวรรค์ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
แล้วก็ได้มีเสียงกรีดร้องอย่างต่อเนื่องดังมาจากบนถนน แต่ในห้องรับรองของร้านอาหารที่เป็นที่เกิดเรื่องนั้นกลับเงียบสงัดอย่างสุดๆ เหล่าลูกค้าที่เห็นการโชว์เมื่อสักครู่นั้นต่างก็รู้สึกราวกับถูกรัดคอโดยยมทูต
หวังหล่างที่ในที่สุดก็ลุกขึ้นมาได้หลังจากที่ถูกต่อยโดยชายคนนั้นก่อนหน้านี้ ก็ได้ทรุดลงไปอีกหนเมื่อเห็นชายที่อยู่ตรงหน้าเขา แล้วก็ได้มีของเหลวอุ่นๆไหลมาจากหว่างขาของเขา!
ส่วนเหล่าสหายที่ร่วมคุยร่วมหัวเราะกับเขาเมื่อสักครู่นั้นก็ได้พากันแยกย้ายในชั่วพริบตา นี่เป็นครั้งแรกที่หวังหล่างรู้สึกกลัวตายขนาดนี้
แล้วชายคนนั้นก็ได้ค่อยๆเดินเข้าไปหาเขาทีละก้าวๆ ความกลัวในหัวใจของหวังหล่างก็ได้มีมากขึ้นเรื่อยๆ และร่างกายของเขาก็ได้สั่นเครืออย่างช่วยไม่ได้ ตัวเขานั้นอยากจะร้องขอความเมตตา แต่ก็พบว่าคอของเขานั้นไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้ ด้วยความกลัวตายนั้นได้เข้าครอบงำทั้งสมองของหวังหล่างแล้ว
“เจ้าไม่ใช่คนแรกหรือคนสุดท้ายหรอกนะที่ล้อเลียนข้าเช่นนี้ แต่ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าหรอก! เพราะคนเราหากตายลงไปแล้วความกลัวมันก็จะหายไป! ข้าอยากให้เจ้ามีชีวิตอยู่ไปพร้อมกับความกลัวไปตลอดชีวิตของเข้าและมีฝันร้ายเพราะข้าไปตลอดทุกคืน! นี่คือผลตอบแทนที่คู่ควรกับความกล้าหาญของเจ้าในวันนี้!”
หลังจากที่ชายหนุ่มเจี่ยงหลีเซิงได้เดินไปหาหวังหล่าง เขาก็ได้คุกเข่าลงและพูดอะไรบางอย่างกับหวังหล่างด้วยความตื่นเต้นในน้ำเสียงของเขา หวังหล่างที่กลัวสุดชีวิตนั้นก็ได้ทรุดลงไปและร้องไห้
“ฮือ—-“
เสียงร้องไห้ของหวังหล่างก็ได้ดังราวกับเข็มที่ตกลงในร้านอาหารที่เงียบสนิท เหล่าผู้ชมเกือบทั้งหมดต่างก็พากันกลั้นหายใจและก้มหน้าลงด้วยความกลัวว่าจะตกเป็นเป้าหมายต่อไปของเจี่ยงหลีเซิง
เมื่อเห็นหวังหล่างเสียสติไปแล้วนั้น เจี่ยงหลีเซิ่งก็ได้ลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม แล้วก็ได้หันหลังกลับ ราวกับกำลังออกจากร้านอาหารไป
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วคนอื่นๆก็ได้พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก แม้แต่หวังหล่างที่กำลังร้องไห้และคิดว่าเขาออกไปแล้ว อย่างน้อยชีวิตของเขาก็รอดจากเจี่ยงหลีเซิงแล้ว
แต่ในชั่วขณะที่เจี่ยงหลีเซิงลุกขึ้นมานั้นเอง กระบี่ในมือของเขาก็ได้ถูกชักออกมาอีกหนอย่างเงียบๆและกลายเป็นแสงพุ่งมาตรงหน้าของหวังหล่าง
“อ๊ากก!”
แล้วเสียงกรีดร้องดังลั่นออกมากว่าเมื่อสักครู่หลายเท่านั้นก็ได้ดังก้องไปทั่วทั้งถนน หวังหล่างที่เพิ่งฟื้นคืนเรี่ยวแรงมาได้นั้น ก็ได้มือกับเท้าแยกจากกันและกลายเป็นแท่งมนุษย์โดยเจี่ยงหลีเซิง
เลือดก็ได้ไหลออกมาอย่างต่อเนื่องจากตัวของหวังหล่างที่ถูกตัดและไม่นานนักห้องรับรองนั้นก็ได้นองไปด้วยเลือด ภาพเหตุการณ์นี้นองเลือดเกินไปจนทำให้ลูกค้าบางคนที่อยู่ในห้องรับรองนั้นถึงกับอาเจียนออกมา
แล้วกลิ่นเลือดกับกลิ่นอ้วกก็ได้ผสมปนเปกัน ทำให้ทั้งร้านนั้นกลายเป็นสถานที่ที่สกปรกที่สุดในโลกไปโดยปริยาย แม้แต่คนที่สัญจรผ่านไปมาตามท้องถนนก็ยังต้องรู้สึกคลื่นไส้
แต่ทว่าราวกับเข้านั้นไม่รู้สึกอะไร เจี่ยงหลีเซิ่งก็ได้เดินออกมาจากร้านพร้อมกับรอยยิ้มทีละก้าวๆ และค่อยๆหายลับตาผู้คนไปอย่างไม่สนใจอะไร