ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 309 ดินแดนเทียนหนาน
บทที่ 309
ดินแดนเทียนหนาน
หลังจากที่ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ เธอก็ได้ยิ้มให้เย่เย่อย่างฝืนๆและตอบเย่เย่อย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าหากว่าท่านคิดที่จะออกไปจริงๆ เมืองโม่ไห่ของพวกเราก็จะไม่รั้งท่านเอาไว้ ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าตัวท่านกับเมืองโม่ไห่นั้นไม่ได้มีวาสนาต่อกัน อย่างไรเสียหากเทียบกับการสูญเสียบุคคลที่มีความสามารถไปแล้วนั้น เมืองโม่ไห่ของพวกเรานั้นกลัวการที่ไปสร้างศัตรูที่มีพลังไร้ขีดจำกัดมากกว่า โดยเฉพาะในช่วงที่เมืองนี้กำลังตกอยู่ในวิกฤติเป็นหรือตายเช่นนี้”
ซ่างกวานอวี่ก็ได้ตอบเย่เย่ด้วยสีหน้าที่สงบและจริงใจ
แม้แต่หลินฉีที่อยู่ข้างๆเธอก็ยังมองมาที่ซ่างกวานอวี่ด้วยความตกใจ และไม่คิดว่าตัวนางที่ทำเป็นเข้มแข็งมากเมื่อสักครู่นั้น กลับกลายเป็นสงบเสงี่ยมอย่างมากและไม่กล้าหือกับเย่เย่เพราะการเผชิญหน้ากับปัญหา
ตัวเย่เย่เองก็ยังตกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของซ่างกวานอวี่ แต่ตัวเขาก็สามารถฟื้นคืนความเยือกเย็นคืนมาได้ในทันที ซึ่งหลังจากที่ใช้ความคิดสักเล็กน้อย เย่เย่ก็ได้เงยหน้าขึ้นมาแล้วกล่าวกับซ่างกวานอวี่ “ข้าเพิ่งมาถึงดินแดนว่านหลิงได้ไม่นานและยังไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของที่นี่ดีนัก ดังนั้นตัวข้าจึงไม่อาจที่จะตอบเจ้าได้ในทันที ถ้าหากว่าเจ้าสามารถรอคอยได้ข้าก็หวังว่าเมืองโม่ไห่จะให้เวลาข้าได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน”
“ไม่มีปัญหา! ท่านสามารถใช้เวลาได้มากเท่าที่ท่านต้องการเลยค่ะ เดี๋ยวข้าจะให้คนไปเตรียมที่พักของท่านไว้ให้ในจวนเจ้าเมืองทันที เพื่อที่ท่านจะได้ใช้รักษาตัวจากอาการบาดเจ็บในระหว่างที่ท่านกำลังใช้เวลาไตร่ตรองอยู่นี้”
เมื่อซ่างกวานอวี่เห็นว่าเย่เย่นั้นยังไม่ปฏิเสธทันทีทันใด ก็ได้มองเห็นความหวังที่เย่เย่จะยอมเข้าร่วมกับเมืองโบราณโม่ไห่อีกหน และรีบยอมตกลงกับเงื่อนไขของเย่เย่ด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น
แล้วหลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้สั่งให้คนมาเปิดประตูคุกออกแล้วพาเย่เย่ไปที่จวนเจ้าเมืองโบราณโม่ไห่ด้วยตัวเอง
แล้วซ่างกวานอวี่ก็ได้บอกให้คนไปตระเตรียมตำหนักที่ดีที่สุดในจวนให้เย่เย่ได้ใช้อาศัยอยู่ภายในจวนเจ้าเมือง โดยที่ไม่ได้คิดเร่งให้เย่เย่รีบตัดสินใจแต่อย่างใด ซึ่งจริงๆแล้วหากว่าเย่เย่นั้นยอมอยู่ในเมืองโม่ไห่เป็นเวลานานมากพอ ซ่างกวานอวี่นั้นก็มั่นใจมากกว่าตัวเธอนั้นจะสามารถเกลี้ยกล่อมให้เย่เย่ยอมเข้าร่วมกับเมืองโบราณโม่ไห่ ได้แน่ แม้แต่เรื่องของการจัดการกับมังกรสองหัวนั้น ตัวเธอก็มั่นใจมากว่าจะสามารถอาศัยความแข็งแกร่งของเย่เย่นั้นเข้าแก้ไขปัญหาได้
แต่ทว่าในช่วงเวลานี้ซ่างกวานอวี่นั้นไม่ต้องการให้ตัวตนของเย่เย่นั้นถูกเปิดเผยออกไป เธอจึงได้กำชับให้เหล่าข้ารับใช้ในจวนเจ้าเมืองนั้นปิดกั้นข่าวและเก็บตัวตนของเย่เย่เอาไว้เป็นความลับสุดยอดของเมืองโบราณโม่ไห่
ซึ่งในระหว่างนี้หลินฉีที่เก็บซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้อยู่ตลอดนั้น ภายใต้การสั่งการของซ่างกวานอวี่ แม้ว่าตัวเขานั้นจะต้อนรับเย่เย่แต่เย่เย่ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าท่าทีของหลินฉีนั้นเป็นเพียงแค่การแสร้งทำเท่านั้น และความรู้สึกหนาวเย็นที่เขารู้สึกได้จากตัวของหลินฉีนั้นก็ไม่ใช่ภาพหลอนอย่างแน่นอน เย่เย่จึงได้คอยจับตามองดูเขาเอาไว้
ซึ่งในตอนที่ซ่างกวานอวี่กับหลินฉีได้ถอนตัวกลับออกไปนั้น เย่เย่ก็ได้มีเวลาที่จะสรุปสถานการณ์ในปัจจุบันของตัวเขา
ซึ่งอันดับแรกตัวเขาก็ได้หยิบเอาลูกประคำสีดำที่ใช้แปลงเป็นเกราะสวรรค์นภาทมิฬออกมาและตรวจดูอย่างถี่ถ้วน หลังจากนั้นสักพักใบหน้าของเขาก็ได้แสดงสีหน้าไม่ดีออกมา เขาพบว่าลูกประคำที่แต่เดิมนั้นเรียบลื่นและสีดำสะท้อนแสงนั้นกลับมีรอยแตกร้าวหลังจากที่ถูกบีบอัดด้วยพายุทะเลคลั่ง ถึงแม้ว่าลูกประคำสีดำนั้นจะสามารถดูดซับเอาพลังปราณในอากาศมาใช้ซ่อมแซมรอยแตกเหล่านี้ด้วยตัวเองได้ แต่ความเร็วในการซ่อมแซมตัวเองนี้ก็ยังห่างไกลกับความพึงพอใจของเย่เย่นัก
“ดูเหมือนว่าเราคงจะใช้ชุดเกราะไม่ได้ไปสักระยะล่ะนะ!”
เย่เย่ก็ทำได้แค่ถอนหายใจออกมาอย่างเงียบๆเมื่อเขาเห็นเช่นนี้ แล้วจากนั้นก็ได้เก็บลูกประคำสีดำกลับเข้าไป
ส่วนโทรศัพท์มือถือกับแหวนนั้น ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากพายุทะเลคลั่ง โดยเฉพาะแหวนโบราณอารามวิถีสวรรค์นั้น เหยียนลี่หยางนั้นจะไม่สามารถรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอกและยังคงมุ่งมั่นอยู่กับฝึกวิชาอยู่ภายในมิติชั้น 9 ของอารามวิถีสวรรค์
หลังจากที่เย่เย่นั้นรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ภายในแหวนโบราณเรียบร้อยแล้ว ตัวเขาก็ไม่ได้เสียเวลาต่อ และหยิบเอายารักษาที่ซ่างกวานอวี่เตรียมไว้ให้ทานลงไปแล้วเริ่มฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของตัวเอง
แม้ว่าตัวเขานั้นจะอยู่ในระดับราชันย์เทพแล้วก็ตามที แต่อาการบาดเจ็บที่เกิดจากพายุทะเลคลั่งนั้นก็ได้ทำให้เย่เย่นั้นไม่สามารถหายได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ ดังนั้นเย่เย่จึงได้ทำการเรียนรู้เกี่ยวกับสถานการณ์พื้นฐานของแผ่นดินว่านหลิงโดยผ่านช่องทางต่างๆในระหว่างที่เขากำลังรักษาตัวอยู่นี้ และได้ออกไปจากจวนเจ้าเมืองเป็นครั้งคราวเพื่อสำรวจดูรอบๆเมืองโบราณโม่ไห่
เมืองโบราณโม่ไห่นี้ครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้างกว่าเมืองใดๆในแผ่นดินชางหลาง และใหญ่กว่าเมืองหลิงเฉิงหลายสิบเท่า แต่ที่ทำให้เย่เย่ตกใจคือมีอาคารมากมายในเมืองกลับที่ยังอยู่ในสภาพที่ดั้งเดิมและเรียบง่าย ถึงแม้ว่ากำแพงเมืองกับจวนนั้นจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าของแผ่นดินชางหลาง แต่กลับดูไร้ซึ่งกำลังและความแข็งแกร่ง ราวกับเผชิญกับศึกใหญ่ที่ไม่คาดฝันอยู่ตลอดเวลา
วิถีชาวบ้านในเมืองโม่ไห่นั้นแม้จะดูเรียบง่าย แต่กลับมีสถานการณ์ที่ต้องประดาบโดยไม่พูดไม่จามากกว่าในแผ่นดินชางหลางเสียอีก ถึงแม้ว่าจะมีหอการค้าและธุรกิจมากมายอยู่ในเมือง แต่อย่างไรก็ตามเพราะแผ่นดินว่านหลิงมีทรัพยากรมากมายกว่าแผ่นดินชางหลาง ดังนั้นความต้องการของเหล่าจอมยุทธ์ที่ต้องการทรัพยากรมาฝึกวิชานั้นจึงได้ไม่แสดงออกอย่างเห็นได้ชัดอย่างในแผ่นดินชางหลาง
เดิมทีเย่เย่นั้นคิดที่จะใช้เวลาบางส่วนไปกับการก่อนตั้งหอการค้าขึ้นในแผ่นดินว่านหลิง แต่หลังจากที่รับรู้ถึงสถานการณ์นี้แล้วเย่เย่ก็ได้ล้มเลิกความคิดที่จะใช้ระบบเติมเงินอเนกประสงค์ในการก่อสร้างหอการค้าขึ้นมาใหม่ แต่ทว่าจากภัยของทัณฑ์สวรรค์ที่กำลังคืบคลานเข้ามานั้นทำให้ความคิดของเย่เย่ที่จะใช้ระบบเติมเงินอเนกประสงค์ในการเร่งรุดฝึกวิชานั้นยังคงไม่เปลี่ยน ดังนั้นเขาจะต้องรีบหาทางที่จะให้ได้ตั๋วทองจำนวนมากมาให้ได้
หากปราศจากซึ่งการได้ตั๋วทองที่แน่นอนแล้ว เย่เย่ก็คงไม่สามารถใช้มันในการแลกซื้อสิ่งของในการฝึกวิชาผ่านระบบเติมเงินอเนกประสงค์ได้ และย่อมที่จะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรีบเร่งให้กลายมาเป็นสุดยอดฝีมือของแผ่นดินว่านหลิงอย่างรวดเร็วได้ เพราะถึงแม้แผ่นดินว่านหลิงนั้นจะอุดมไปด้วยทรัพยากร และมียากับอุปกรณ์วิเศษที่ดีกว่าสิ่งของในระบบเติมเงินอเนกประสงค์ก็ตามที อีกทั้งยังสามารถซื้อยาและอุปกรณ์วิเศษเหล่านั้นจากหอการค้าในแผ่นดินว่านหลิงด้วยตั๋วทองได้ แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่อะไรที่ปลอดภัยและซ่อนตัวสักเท่าไรนักกับการแลกเงินจากระบบตรงๆเช่นนี้
หลังจากที่ผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆ เย่เย่ก็ได้พอจะเข้าใจกับสถานการณ์ทั่วๆไปในเมืองโม่ไห่ภายใต้การแนะนำของผู้ดูแลในจวนเจ้าเมือง แต่ทว่าตัวเขาก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเข้าร่วมกับเมืองโม่ไห่และทำงานในเจ้าเมืองดีหรือไม่ แต่เขาก็ยังคงทำความเข้าใจกับสถานการณ์ในปัจจุบันของแผ่นดินว่านหลิงผ่านช่องทางต่างๆต่อ
มีทั้งหมด 9 ดินแดนอยู่ในแผ่นดินว่านหลิง และดินแดนเทียนหนานก็เป็นดินแดนที่เมืองโบราณโม่ไห่ตั้งอยู่ และเป็นดินแดนที่มีขนาดเล็กที่สุดและมีพายุทะเลขนาดใหญ่ที่คั่นระหว่างดินแดนเทียนหนานและแผ่นดินชางหลางเอาไว้ ถึงแม้ว่ายอดฝีมือของดินแดนเทียนหนานนั้นจะรู้ถึงการมีตัวตนของแผ่นดินชางหลาง แต่การติดตอนระหว่างทั้งสองฝั่งนั้นก็ถูกตัดขาดการติดต่อเป็นเวลานานแล้ว จึงเป็นผลให้จอมยุทธ์จำนวนมากในดินแดนเทียนหนานนั้นไม่รู้เลยว่าแผ่นดินชางหลางนั้นอยู่ที่ไหนกันแน่
ซึ่งในบรรดาอีก 8 ดินแดนที่เหลือในแผ่นดินว่านหลิงนั้น จะมีสำนักใหญ่ของทัณฑ์สวรรค์และสำนักสามเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดครองอยู่คนละดินแดน แต่ถึงอย่างนั้นอิทธิพลของทัณฑ์สวรรค์นั้นก็ยังสามารถแพร่กระจายออกไปทั่วทั้งแผ่นดินว่านหลิงได้
ยกตัวอย่างในดินแดนเทียนหนานนั้นมีขุมอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดนั่นคือสำนักต่างไฟ ซึ่งการที่ได้กลายมาเป็นผู้ที่เรืองอำนาจอยู่ได้นั้นก็เพราะได้รับการสนับสนุนมาจากทัณฑ์สวรรค์ ถึงแม้ว่าสำนักใหญ่ของทัณฑ์สวรรค์นั้นจะถูกสามเขาศักดิ์สิทธิ์กดดันอยู่ก็ตามที แต่ก็ยังสามารถแพร่อิทธิพลออกไปยังอีก 5 ดินแดนที่เหลือได้ด้วยการสนับสนุนขุมกำลังที่อ่อนแอกว่า ซึ่งเพราะการได้ทัณฑ์สวรรค์หนุนหลังอยู่นั้น แม้ว่าขุมอำนาจอื่นๆจะพยายามอย่างเต็มที่เพียงใด ก็ยังยากที่จะต่อกรได้ ซึ่งเกือบทุกสำนักที่ได้รับการหนุนหลังจากทัณฑ์สวรรค์อยู่นั้น ในเวลานี้ก็ได้กลายมาเป็นขุมอำนาจอันดับต้นๆของทั้ง 5 ดินแดน
ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าสามเขาศักดิ์สิทธิ์เองก็ได้ให้การช่วยเหลือกองกำลังอื่นๆขึ้นมาช่วยต่อกรกับทัณฑ์สวรรค์แล้ว บางทีสำนักทัณฑ์สวรรค์ก็คงจะเข้ายึดครองอีก 5 ดินแดนที่ในแผ่นดินว่านหลิงนอกเหนือจากดินแดนที่สำนักสามเขาศักดิ์สิทธิ์อยู่ไปแล้ว
ในอีกความหมายก็คือสถานการณ์ทั่วๆไปในแผ่นดินว่านหลิงนั้นเกือบจะเป็นการแข่งขันกันระหว่างทัณฑ์สวรรค์กับสามเขาศักดิ์สิทธิ์ ส่วนขุมอำนาจเล็กๆที่เหลือนั้นก็ทำได้เพียงแค่ดิ้นรนให้มีชีวิตรอดจากการปะทะกันของทั้งสองฝ่าย และโอกาสที่จะกลายมาเป็นมหาอำนาจในดินแดนแดนหนึ่งได้นั้นช่างต่ำมาก ซึ่งการจะขึ้นเป็นใหญ่ในดินแดนที่ทัณฑ์สวรรค์หรือสามเขาศักดิ์สิทธิ์อยู่นั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
ยิ่งไปกว่านั้นหากเทียบกับดินแดนที่ไร้เจ้าของแล้ว สถานการณ์ในปัจจุบันของดินแดนเทียนหนานนั้นก็ยิ่งสาหัสยิ่งกว่า เพราะสำนักต่างไฟนั้นได้รับการช่วยเหลือจากทัณฑ์สวรรค์ก็ได้มีความสามารถมากพอที่จะยึดครองได้ทั้งดินแดนได้อย่างชัดเจน ถึงแม้จะมีสำนักแก้วหลากสีที่เป็นรองเพียงแค่สำนักต่างไฟอยู่ ซึ่งมีความแข็งแกร่งเทียบเท่าเพราะการสนับสนุนจากหนึ่งในสามเขาศักดิ์สิทธิ์อย่างเขาไท่ยวนซาน แต่ก็ยังห่างชั้นจากสำนักต่างไฟอยู่มากนัก
ในเวลานี้เหตุผลที่ว่าทำไมซ่างกวานจ้งเจ้าเมืองโม่ไห่นั้นไม่ได้อยู่ในเมืองและไปที่สำนักแก้วหลากสีพร้อมด้วยผู้นำขุมอำนาจเล็กๆอื่นๆเพื่อหารือเรื่องของการรับมือและจับมือกันเพื่อร่วมกันต่อต้านการแผ่ขยายอำนาจของสำนักต่างไฟ แต่ทว่าจากข่าวที่ได้รับมาล่วงหน้าจากสำนักแก้วหลากสีนั้น ก็พบว่าการประชุมนั้นได้จบลงอย่างน่าเศร้าเพราะเรื่องผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายทำให้ตกลงกันไม่ได้ และเหล่าผู้นำขุมอำนาจย่อยๆรวมถึงเจ้าเมืองโบราณโม่ไห่นั้นก็ได้ทยอยกันกลับมาจากสำนักแก้วหลากสี
ซึ่งก็พอจะเดาได้รางๆว่าดินแดนเทียนหนานนั้นคงได้ตกอยู่ในความโกลาหลที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นแน่ เพื่อที่จะได้ไม่ถูกกลืนหรือถูกทำลายโดยสำนักต่างไฟแล้ว กองกำลังเหล่านี้รวมถึงสำนักแก้วหลากสีนั้นก็จะต้องพยายามอย่างเต็มที่ที่จะต้องขยายอิทธิพลออกไปและเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง และเมืองโบราณโม่ไห่เองก็เป็นเมืองเดียวในดินแดน เทียนหนานที่มีความแข็งแกร่งที่ไม่โดดเด่นเอาเสียเลย ซึ่งแม้แต่เมืองโบราณหลงเจียงนั้นที่จ้องรอขย้ำพวกเขาอยู่นั้น จะรอดไปจากหายนะในครั้งนี้ได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย
ดังนั้นหลังจากที่ผู้คนในเมืองโม่ไห่นั้นได้ทราบข่าวจากสำนักแก้วหลากสีแล้ว พวกเขาต่างก็รู้สึกกระวนกระวายและหดหู่มากกว่าเดิม ต่อให้เมืองโม่ไห่นั้นไม่มีศัตรูตัวฉกาจอย่างมังกรสองหัวแล้ว สถานการณ์ในปัจจุบันนั้นก็ยังไม่ค่อยจะสู้ดีนัก จะเอาตัวรอดจากความโกลาหลนี้หรือรอดไปจากคลื่นกระแสนี้อย่างไรก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ในใจของผู้คนในเมืองโบราณโม่ไห่เลย
ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะรู้สึกสงสารกับสถานการณ์ในเมืองโบราณโม่ไห่ก็ตามที แต่เขาก็คงจะไม่เข้าร่วมกับเมืองโม่ไห่เพื่อช่วยพวกเขาให้รอดจากหายนะนี้ไปได้แน่ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องของความรู้สึกของเย่เย่ที่มีต่อเมืองโม่ไห่เลย ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นในดินแดนเทียนหนานที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าจะต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างอยู่เป็นแน่ ซึ่งเย่เย่นั้นไม่คิดว่าลำพังแค่ตัวเขานั้นจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
แต่ทว่าสิ่งต่างๆนั้นมักดำเนินไปอย่างคาดไม่ถึงเสมอ ในสายตาของเย่เย่นั้นที่คิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่อะไรที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆนั้น แต่ทว่าก็ได้มีสัญญาณพลิกผันปรากฏขึ้นมารางๆ เมื่อเรื่องที่เขานั้นเป็นผู้มาจุตินั้นได้รั่วไหลออกไป
ถึงแม้ว่าซ่างกวานอวี่นั้นจะได้พยายามทุกวิถีทางที่จะปิดบังเรื่องที่เย่เย่เป็นผู้มาจุติแล้วก็ตามที แต่ข่าวนี้ก็ยังแพร่ออกไปอย่างควบคุมไม่ได้และได้ทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในบรรดาขุมอำนาจต่างๆใกล้เคียงเมืองโม่ไห่
เพราะการปรากฏตัวของผู้มาจุติแต่ละคนนั้นมักหมายถึงว่าจะมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น ดังนั้นขุมอำนาจต่างๆใกล้เคียงเมืองโม่ไห่นั้นต่างก็อยากที่จะได้เย่เย่นั้นมาอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา พวกเขาจึงได้พากันส่งยอดฝีมือมายังเมืองโม่ไห่เพื่อตามสืบเรื่องนี้โดยละเอียดทันที
แล้วพวกเขาก็ได้พากันหารือว่าจะชิงตัวเย่เย่มาจากเมืองโบราณโม่ไห่อย่างไรดี